WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, September 4, 2012

PATANI FORUM: ฟังเสียงจากพื้นที่ ปฏิกิริยา ต่อปฎิบัติการชูธงมาเลย์

ที่มา ประชาไท

สันติกวี 
ยังคงเป็นข่าวครึกโครมให้ตื่นตกใจทุกวี่วัน สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ โดยล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ (31 ส.ค.55) เกิดเหตุป่วนในพื้นที่ ท้าทายภาครัฐ รับวันชาติมาเลย์ ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเบอร์ซาตู (ก่อตั้งเมื่อ 31 ส.ค.52 โดย ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน ประธานบีไอพีพี) ทั้งนี้จากรายงานของศูนย์ข่าวอิศรา ระบุว่า มีการลอบวางระเบิดกว่า 100 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 3 จชต. และ 4 อำเภอสงขลา แต่ที่น่าตกใจคือมีการปักธงชาติมาเลย์ พร้อมติดป้ายยั่วยุท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะที่ในพื้นที่อำเภอจะแนะเกิดเหตุระเบิดจริง ทหารพรานเจ็บ โดยเหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วช่วงอดีตนายกอภิสิทธิ์พร้อมผู้นำมา เลย์เข้าพื้นที่เมื่อปลายปี 52 โดยการก่อเหตุครั้งนี้มีนักวิเคราะห์ชี้ว่าเพื่อตอกลิ่มเพื่อนบ้านและโชว์ ศักยภาพ
อย่างไรก็ดีหากจับสถานการณ์อย่างเกาะติด จะพบว่ายังมีควันหลงและแง่มุมอื่นๆจากเหตุการณ์ป่วนครั้งนี้ชวนให้คิด วิเคราะห์กันต่อ โดยเฉพาะในแง่ของผลกระทบต่อเนื่องจากปฏิบัติการ อีกทั้งผลสะเทือนทางการเมืองไม่เพียงแค่ภายในประเทศ แต่หมายรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียอีกด้วย
ปฏิบัติการปูพรมธงชาติมาเลย์ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนใต้ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกเคยปรากฏขึ้นเมื่อปี 53 ดังนั้นในมุมของฝ่ายความมั่นคงแล้ว แน่นอนตัวผู้ก่อเหตุจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากกลุ่มฝ่ายขบวนการเรียกร้อง เอกราชปาตานี โดยก่อนหน้านี้ทางด้านหน่วยข่าวกรองเองก็ทราบข่าวและรายงานไปยังหน่วยกอง กำลังต่างๆให้เตรียมความพร้อมรับมือการก่อเหตุต่างๆ ทำให้สอง สามวันก่อนวันก่อเหตุ มีการตรวจตรา ควบคุมพื้นที่อย่างเข้มงวด แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้เกิดเหตุจนได้
ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างวิเคราะห์ตรงกันว่ากลุ่มขบวนการมีการทำ งานอย่างมีระบบ ระเบียบ วินัย อีกทั้งมีความชำนาญการเส้นทางการเดินตรวจตราของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างดี ทำให้การปฏิบัติการในครั้งนี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองตามไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เช้าวันก่อเหตุ จนเป็นข่าวครึกโครมบนสื่อไทย และต่างประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากลุ่มของฝ่ายขบวนการเองยังคงมีศักยภาพที่สามารถจะทำอะไร ที่ไหนอย่างไรได้ง่ายแม้จะมีกองกำลังของรัฐไทยอยู่เต็มพื้นที่ก็ตาม แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกยิ่งขึ้นกลับพบว่า อาจเป็นมากกว่าการแสดงศักยภาพเท่านั้นก็เป็นได้
หากเริ่มต้นด้วยการเกาะติดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ก่อนทีจะไปเจาะลึก การวิเคราะห์ จากที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านในหลายพื้นที่ ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ในหลายพื้นที่ชาวบ้านรู้สึกตื่นตกใจไม่กล้าออกไปกรีดยาง หรือออกนอกบ้าน เพราะเห็นเจ้าหน้าที่ทหารมากกำลังปฏิบัติหน้าที่มากกว่าวันปกติ จนชาวบ้านเข้าใจว่ามีเหตุการณ์รุนแรง ดั่งเช่นที่บ้านสะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา หรือบ้านยาแลเบาะ ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บางชุมชนในอำเภอปานาเระที่มีการจับเข่าคุยกันในวงน้ำชา หรือแม้กระทั่งในมัสยิดช่วงละหมาดวันศุกร์ คิดว่าจะมีการปฏิวัติ ตนเองควรทำอย่างไรดี ถึงกระนั้นก็ยังมีหลายพื้นที่ยังไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเหตุอะไร
เสียงจากวัยรุ่นจากชุมชนดาลอ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี คนหนึ่งบอกว่า “วันนี้เป็นวันอะไร ทำไมธงมาเลย์ถึงเยอะ ผมไม่รู้เลยว่ามีทั่วสามจังหวัด  ก็พึ่งมารู้ก็ตอนเข้าเมืองเมืองปัตตานีนี่เอง” ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้วัยรุ่นคนนี้ตื่นตูมมากนัก
เช่นเดียวกับลูกจ้าง 4,500 คนหนึ่งในพื้นที่หนองจิกบอกว่า  “เห็นธงชาติมาเลย์เต็มตามข้างทางถนน ก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอย่างไร และเธอก็วิเคราะห์ให้ฟังเพิ่มเติมว่า ที่จริงไม่ได้มีทุกหมู่บ้านนะ คิดว่า หมู่บ้านไหนมีธง น่าจะเป็นพื้นที่ที่มียูแวเยอะ แต่บ้านตัวเองไม่มีนะ มีก็แต่พวกที่ชอบกินใบกระท่อม พวกนี้เนี่ยะทำไมทหารไม่จับไปให้หมดๆ อีก”
ขณะที่คนทำงานราชการ และครูของบางโรงเรียน ต่างก็รู้สึกกลัวไม่กล้าไปทำงาน ทำให้บางโรงเรียนหยุดการเรียนการสอนไปหนึ่งวัน เช่นที่บ้านสะเอะ หรือแม้กระทั่งบางโรงเรียนแทบยะรัง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการบางเจ้าถึงขั้นปิดค้าขายเพราะไม่ไว้ใจในสถานการณ์ เช่น ร้านบากูส แถวถนนสาย มอ.ปัตตานี
ผลสะเทือนดังกล่าว เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองท่านหนึ่งวิเคราะห์ว่า มีสิ่งที่ต้องขบคิดว่าประการแรก การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ที่ฉวยจังหวะโอกาสต่างๆ สามารถข่มขวัญ และป่วนเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างมากมายบ่งบอกว่า ฝ่ายขบวนการเองมีการสู้รบมากกว่าการใช้กำลังอาวุธ มีการคิดค้นยุทธวิธีใหม่อยู่ตลอดเวลา  เพราะทีผ่านมาก็มีการต่อสู้ด้วยการปล่อยเพลงปฏิวัติปาตานีใหม่ๆเยอะ หรือแม้กระทั่งในโลกเฟสบุค ก็มีการปลุกเร้า ปลุกระดมกันอย่างตรงไปตรงมา ทำให้มองได้ว่าให้ห้วงปีนี้อาจมีการก่อเหตุที่รุนแรง หลากหลายมากกว่าที่ผ่านมา ประการที่สอง ถึงแม้การปฏิบัติการจะชี้ไปยังฝ่ายขบวนการที่แฝงตัวอยู่ในชุมชนซึ่งเป็น กลุ่มคนที่ไม่เอารัฐไทย แต่ก็ยังมีชาวบ้านในสัดส่วนพอๆกัน ต่างก็ไม่รู้สึกรู้สา หรือตอบรับกับการปฏิบัติการครั้งนี้สักเท่าไหร่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มชินชากับสถานการณ์ในพื้นที่ หรือบางคนถึงขั้นไม่ตอบรับต่อแนวทางการของฝ่ายขบวนการไปเลยเพราะต้องสูญเสีย ผลประโยชน์ในการทำงานของตนเอง เลยมองได้ว่า มวลชนในพื้นที่มีทั้งเอา และไม่เอากับฝ่ายขบวนการ
ขณะที่การวิเคราะห์อีกด้านหนึ่ง การปฏิบัติการ ชูธงชาติมาเลย์ว่อนคลอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของไทยซึ่งตรงกับวันชาติ มาเลย์-ก่อตั้งเบอร์ซาตู แน่นอนย่อมเป็นประเด็นที่อ่อนไหวค่อนข้างมากระหว่างรัฐไทยและมาเลย์ ยิ่งถูกปรากฏบนสื่อรับรู้ทั่วโลกแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งนี้หลายคนอาจคิดว่าปฏิบัติการที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่การข่มขวัญ สร้างสถานการณ์เหมือนที่ผ่านมา แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกยิ่งขึ้นอาจมีอะไรมากกว่านั้น ลองมาตั้งคำถาม แล้วลองวิเคราะห์กันดูว่า ทำไมต้องเป็นธงมาเลย์ หรือวันชาติมาเลย์ ทำไมไม่เป็นอินโดนีเซีย หรือ เป็นเพราะมีสัญญาณอะไรที่ที่เกี่ยวกับมาเลย์ในห้วงระหว่างนี้
เมื่อฟังจากการวิเคราะห์จากคนในพื้นที่ อาจทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น กล่าวคือ จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้เกิดการเจรจาระหว่างรัฐไทยและฝ่ายขบวนการ และเป็นกระแสที่มาแรงท่ามกลางการก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ ปีนี้ แต่ที่ผ่านมา รัฐไทยมีการเจรจาสะเปะสะปะ ไม่มีตัวกลางที่ชัดเจน แต่การปฏิบัติการครั้งนี้อาจส่งสัญญาณที่จะให้รัฐบาลมาเลเซีย กลายเป็นตัวกลางด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามแต่ แต่ภาพภาพข่าวที่นำเสนอออกไป จำต้องทำให้ทั้ง 2 ประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องในแง่ของความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้มากยิ่งขึ้น ยิ่งประจวบเหมาะกับเร็วๆนี้ จะมีการประชุมขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ประเทศมาเลเซีย ยิ่งเป็นแรงผลักให้ทั้งมาเลย์ และไทยจำต้องอธิบายหากมีคำถามจากที่ประชุมขึ้นมา จนมองได้ว่าปัญหาภาคใต้ที่หมักหม่ม มานาน อาจจะมีอะไรดีๆมาบ้างในวงประชุม โอไอซี ครั้งนี้ ไม่แน่เราอาจจะได้เห็นประเทศมาเลย์ เป็นตัวกลางที่ไม่ถึงขั้นเจรจาแต่อาจเพียงแค่ขั้นพูดคุยสันติภาพตรงตัวมาก ยิ่งขึ้นก็เป็นได้
 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน PATANI FORUM