ที่มา thaifreenews
โดย Porsche
จากคุณ : สาละวิน
หากเป็นอาชญนิยาย ประพันธกรก็คงเริ่มเปิดฉากไว้ดังนี้....
คล้อยหลังเวลาตีสามซึ่งเป็นช่วงเวลารอรับอรุโณทัยของวันใหม่ 15 มกราคม 2553
พลันที่กระแสลมหนาวยังโชยพัดโอบกอดกรุงเทพฯให้เคลิ้มอยู่ในนิทรารมย์อยู่นั้น แสงไฟหน้าของปิกอัพสีเขียวเข้มสภาพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งสาดส่องเป็นลำวูบ
ขณะหักเลี้ยวมุมโค้งวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แล้ววิ่งตรงมามาทางด้านลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ด้วยอัตราเร็วค่อนข้างสูง เพื่อไปสู่จุดหมายที่ใดที่หนึ่งโดยมีถนนราชดำเนินเป็นทางผ่าน
ภายในรถ นอกจากคนขับแล้ว จะมีใครนอกเหนือนั้นไม่อาจระบุชัด แต่บนกระบะด้านหลังกลับมีชายฉกรรจ์สองคนต่างนอนเอนพิงกองสัมภาระ
ดูคล้ายกำลังหลับด้วยความเหนื่อยล้าหลังกิจกรรมหนักมาค่อนคืน
เมื่อแล่นผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศเข้าสู่ถนนราชดำเนินนอก รถคันนั้นชะลอความเร็วลงชั่วขณะ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับชายบนกระบะท้ายคนหนึ่งสะกิดเพื่อนให้ผงกชันตัวขึ้น
"ใกล้ถึงแล้ว" เสียงกระซิบกำชับพลางชี้ไปยังเป้าอันเป็นอาคารสูงทะมึนเบื้องหน้า ซึ่งบัดนี้ ไฟเตือนระดับความสูงส่งประกายสีแดงกระพริบวาบวับอย่างทรนง
ทรนงด้วยด้วยตบะ ศักดิ์ อำนาจ และบารมีของสถานที่อันได้ชื่อว่า กองบัญชาการกองทัพบกไทย !
ชายคนที่ถูกสะกิดบิดตัวอย่างเกียจคล้าน ก่อนควานมือไปคว้าสิ่งหนึ่งมาวางบนตัก
มันคือเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 (M79 40mm Grenade Launcher) ชนิดติดศูนย์เล็งแบบพับ อาวุธสัญชาติอเมริกันชนิดนี้ทหารเวียตกงยุคสงครามเวียตนาม
และหรือเกจิที่เกี่ยวข้องกับสงครามย่อมรู้ดีว่ามันทรงอานุภาพน่าสยองขนาดไหน
"กรูโคตรเซ็งงานกระจอกแบบนี้หวะ....mรึงไม่ลองบ้างหรือ..แท่น"
คนชื่อแท่นสั่นหน้า พึมพำตอบ....
"ถ้าเป็นกลางวันและยืนฟัดกับพวกนั้นแบบจะจะละก้อ กรูไม่ง้อmรึงหรอก i เล็ก"
ไม่ทันที่ชายคนชื่อเล็กแต่ตัวใหญ่จะโต้ตอบด้วยถ้อยคำใด
ยานพาหะที่นำชายทั้งสองมาก็ถึงตรงตำแหน่งเป้าหมายพอดี
เขาประทับพานท้ายของเครื่องยิงลูกระเบิดกับบ่าด้วยท่วงท่าสุดชำนาญ เล็งปากกระบอกไปยังเป้าหมายโดยมิพักต้องพึ่งการเล็งผ่านศูนย์
แล้วเหนี่ยวไก
เสียงฟลุ้บปรากฏขึ้น
นั่นแสดงถึงวาระหัวกระสุนระเบิดพุ่งพ้นลำกล้องไปแล้วด้วยความเร็วต้น 76 เมตรต่อวินาที วิถีโค้งแบบโพรเจกไทล์ของมันมุ่งสู่ห้องชั้น 6
ซึ่งเป็นที่ทำการของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ด้วยความมั่นใจขั้นเอกอุ ฝีมือยิงระดับพระกาฬเรียกพี่เช่นเขา คงไม่ต้องรอดูผลใดๆอีก
ปิกอัพคันนั้นจึงควบตะบึงเลี้ยวตัดมาทางด้านหน้าวัดเบ็ญจมบพิตร
ก่อนที่จะกลืนลับไปกับราตรีของนครหลวง
แน่นอนว่า แม้พลเอกอนุพงษ์ไม่บาดเจ็บล้มตายด้วยสะเก็ดระเบิดลูกนี้
แต่เสียงบึมสะนั่น และรอยระเบิดทีฝากไว้
ย่อมบาดลึกเข้าสู่กระแสรู้สึกของเขาลามไปถึงทุกองคาพยพของกองทัพบก
เหนืออื่นใด มันฉีกเกียรติยศ
และละลายความน่าเชื่อถือของผู้บัญชาการทหารบกนามอนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปจนหมดสิ้น
ซึ่งการสูญเสียสองสิ่งนี้ ในทางทหารถือว่า.....ไม่ตายก็เหมือนตาย !
พลเอกอนุพงษ์ต้องคิดแล้วว่า ท่านและคนของท่านนำกองทัพบกไทยทำกรรมใดไว้กับบ้านเมืองนี้บ้างในอดีตที่ผ่านพ้นไปหมาดๆ
กองทัพไทย ควรเป็นของชาติ ของประชาชนคนไทยทั้งผอง
หาใช่กองทัพของพระราชาตามนิยามที่พลเอกเปรมเอ่ยอ้างไว้นั้นไม่ !
หากกองทัพไทยยังยอมสยบอยู่ใต้เงื้อมมือของระบอบอำมาตย์ แล้วใช้อำนาจกระบอกปืนกดหัวประชาชนเพื่อให้อำมาตย์เถลิงอำนาจอย่างที่กระทำอยู่
คนในกองทัพนั่นแหละจะปลีกตัวมาอยู่เคียงข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
แล้วหันปากกระบอกปืนไปยังเหล่าท่าน
เอ็ม 79 ลูกเล็กๆ...
จึงแสดงถึงรอยปริร้าวลึกในกองทัพไทยชนิดยากเกินเยียวยา...ด้วยประการฉะนี้
แดงพึงระวัง ปฏิบัติการจากฝ่ายอำมาตย์ ที่ท่านเปรมให้สโลแกนไว้ว่า
รวดเร็ว รุนแรง เฉียบขาด
ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรมแล้ว
กลศึกประเภทยัดอาวุธ ตรวจค้นเจอ แล้วจับกุมกวาดล้างครั้งใหญ่จะถูกนำมาใช้ เพื่อนำไปสู่....
การปราบอย่างชอบธรรม !
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8794377/P8794377.html