ที่มา Thai E-News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 32
หลังจากนั่งเครื่องบินออกจากนครหลวงพนมเปญแห่งกัมพูชาพร้อมกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ผมก็ไปพักอยู่กับท่านหลายวันที่ดูไบ และรีบกลับมาก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบกับครอบครัวโดยไม่มีใครรบกวน
สองท่านที่ไปพร้อมกันคืออดีตประธานรัฐสภา คุณยงยุทธ ติยะไพรัช และอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจของเราแต่ไม่จำเป็นจะต้องขานชื่อกันในขณะนี้
เรื่องที่ไปฟังและไปบอกท่านมีไม่มาก วิธีการก็ไม่ได้ประชุมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูตาและดูใจกันเสียมากกว่า แล้วก็ได้ความสงบทางใจ
ไม่มีอะไรทำลายยุทธศาสตร์ได้เท่ากับความคลางแคลงใจอย่างที่พุทธธรรมเรียกว่าวิจิกิจฉา เมื่อทำให้ข้อนั้นหมดหรือลดลงไปได้ ก็เท่ากับได้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดคืนมา
ผมไปหาแม่ทัพขบวนการประชาธิปไตยถึงกลางทะเลทราย แต่พบว่าบรรยากาศทางใจเหมือนอยู่ในโอเอซิส เพราะในที่สุดแล้วชิ้นต่างๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลื่อมกันไปบ้าง เกยกันอยู่บ้างแต่เดิม บัดนี้กลับเข้าที่หมด กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยเคลื่อนอย่างฝืดๆ น่าจะคล่องตัวขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ในส่วนที่พวกเราเกี่ยวข้องอยู่
มิจฉาทิฐิที่เคยมี เช่นว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระประธาน หรือพระประธานไม่พูดสั่งสอนเสียงดังๆ ได้เหมือนในนวนิยายเรื่อง “ไผ่แดง” (ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายอิตาลี โดยฝีมือของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอำมาตย์ไทยยุคนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็จะพากันฉิบหายหมด
หรือเชื่อว่าเขาเป็นคนดีมีศีลธรรม เพราะเกิดมาเป็นตัวก็มีแต่คนพร่ำใส่หูว่าดีอย่างประเสริฐ เขาก็ย่อมจะเห็นอกเห็นใจและเข้าใจเพื่อนร่วมชาติ และอยากเห็นบ้านเมืองสงบระงับจากวิกฤติในที่สุด
ไปคราวนี้ได้เห็นว่ามิจฉาทิฐิหรือความยึดที่ผิดๆ อย่างนี้สลายลงไปมาก
ผมรู้สึกขอบคุณนักฆ่าผู้สูงศักดิ์ที่สั่งฆ่าและทำลายล้างนายกรัฐมนตรีและขบวนการประชาธิปไตยอย่างเลือดเย็นและต่อเนื่อง จนปลุกคนส่วนใหญ่ให้ตื่นจากความหลับใหลยาวนานหลายสิบปีได้
เคยอ่านจากที่ไหนก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า ผืนทะเลทรายมีอานุภาพอันน่าทึ่ง เม็ดทรายน้อยๆ ที่รวมตัวเป็นลมปนทรายและปลิวกระจายไปทั่วตะวันออกกลาง หรือในทะเลทรายโกบี หรือซาฮาร่า สามารถเปลี่ยนสภาพทุกสิ่งทุกอย่างได้หากปลิวปะทะนานพอ
ในเมืองไทยเองลมทะเลทรายก็คงพัดมาถึง เพราะรูปทองบางอย่างค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยทุกวันในอัตราเร่ง จนเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ผู้มีธรรมแต่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) อยู่ภายใน
หัวใจบริสุทธิ์ที่ถูกความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกาะกุมอยู่ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพด้วยวิถีนี้
ดูไบเป็นหนึ่งในเจ็ดนครรัฐที่รวมเข้าด้วยกันเป็นประเทศเดียว ในรูปแบบสหพันธรัฐ และเรียกตัวเองว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี แต่ละรัฐมีเจ้าครองแคว้นของตนเอง รัฐใหญ่ที่สุดคือ อาบูดาบี กลายเป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองแคว้นอาบูดาบีรั้งตำแหน่งกษัตริย์หรือสมเด็จพระราชาธิบดีตลอดกาล
รัฐที่ลดหลั่นลงมาเป็นอันดับสองคือ ดูไบ เจ้าผู้ครองแคว้นก็ได้รั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตลอดกาลเช่นกัน ส่วนอีก ๕ นครรัฐที่เหลือคืออัจมัน, ฟูจาร์ราห์, อุมอัล-กูเวน, รัสอัล-ไคมาห์ และซาร์จาห์ ก็พอใจในสมการทางการเมืองแบบนี้
เจ้ายูเออีเขาคงไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ถึงถือแคว้นถือตระกูลกันมาอย่างไรก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ถึงขั้นวางโครงสร้างการเมืองที่ทำให้คงสภาพร่วมกันได้
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนน้ำหนักของมงกุฎทับจนบี้แบน
น่าสังเกตว่านายกทักษิณมีเพื่อนฝูงเป็นกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นทั่วโลก นอกจากบรรดาเจ้าในตะวันออกกลางหลายประเทศ ก็ยังมีบรูไนดารุสซาลามในอาเซียน สวาซิแลนด์ในแอฟริกา ตองก้าในแปซิฟิคใต้ และพระราชวงศ์อื่นๆ อีกมากมายหลายภูมิภาค
กษัตริย์เหล่านี้ล้วนเป็นประมุขแห่งรัฐที่ทันสมัยและก้าวหน้า ยอมรับวิถีประชาธิปไตยโดยดุษฎี โดยไม่โดดเข้าขวางโอกาสที่ประชาชนของตนจะกลายเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ยืนยงสถาพรและไม่แสลงต่อโลกที่ประชาชนรากหญ้าเป็นใหญ่
เขาละโมหะจริตในความเป็นเทพลงเสียบ้าง และสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับบ้านเมืองอย่างในกรณีของนครรัฐดูไบ นั่นคือความเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก (economic hub) จนกลายเป็นจุดสนใจของโลก ทั้งเจ้าทั้งไพร่ต่างได้รับประโยชน์
ความเป็นเจ้าของเจ็ดผู้ครองแคว้นในยูเออีจึงคงเจิดจรัสท่ามกลางเศรษฐกิจที่พัฒนาไป ทุนนิยมก้าวหน้าไม่ได้ขัดแย้งใดๆ เลยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากมองด้วยทัศนะใหม่และไม่คับแคบ
ผมคิดว่าใครที่ไปอยู่ดูไบอย่างนายกทักษิณคงจะได้สังเกตเรื่องนี้กันทุกคน
ช่วงเวลาอันยาวนานที่จำต้องพำนักอยู่ที่นั่น ในที่สุดก็กลายเป็นช่วงเวลาอันมีประโยชน์ต่อนายกทักษิณอย่างที่อำมาตย์ไทยนึกไม่ถึง นอกจากได้ทบทวนถึงความใจดำและความเห็นแก่ตัวซ้ำซากแล้ว ยังเป็นเวลาของบทเรียนใหม่ในระดับโลกว่า สถาบันโบราณ กับ โลกยุคใหม่ อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร
บางคนกระซิบผมว่า ความสมานฉันท์แบบนี้น่าจะเกิดในเมืองไทยได้ง่ายกว่า เพราะผู้ปกครองมีธรรมะ
ธรรมะ?
เมื่อ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร สกลนคร ยังไม่มรณภาพ บุคคลสำคัญขนาดหนักของเมืองไทยได้ไปกราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับท่านครั้งหนึ่ง บุคคลผู้นี้ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนมากเข้าวัด
อาจารย์ฝั้นตอบสวนทันทีว่า “ตัวท่านก็เข้าวัดเสียก่อนสิ!”
เป็นที่ลือลั่นกันว่าความลึกซึ้งในธรรมตามภาพที่สร้างกันมาเนิ่นนานนั้น อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป
เจ้ายูเออีและสุลต่านบรูไนฯ เป็นมุสลิม คงจะไม่ได้ยึดพุทธธรรมเป็นหลักแน่ เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษผู้เป็นคริสต์แองกลิกันและสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ถือชินโต
น่าแปลกใจที่หลายพระองค์เหล่านี้กลับถือวิถีพุทธโดยไม่ต้องแสดงองค์เป็นพุทธมามกะ จนบ้านเมืองของเขาร่มเย็นเป็นสุข
ผมเริ่มสงสัยว่า พุทธมามกะบางคนที่ออกนอกลู่ทางจนเกือบกู่ไม่กลับแล้วนั้น เป็นเพราะลุ่มหลงในเรื่องคุณไสยและเดรัจฉานวิชา หรือไม่ก็หลงใหลในตนเองอย่างที่เรียกว่า ติดดี
จนลืมพุทธธรรมไปแล้วหรือไม่?
-------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)