WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, January 13, 2010

เบื้องลึกเวรกรรม'ตัดตอน'สมคิดน้องคมช.

ที่มา Thai E-News


ภาพมันฟ้อง-พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม (ขวา)ถูกอัยการสั่งฟ้องคดีสังหารนักธุรกิจซาอุฯ โดยมีนิติธร ล้ำเหลือ (หัวโล้น)ทนายความพันธมิตรคนใกล้ชิดสนธิ ลิ้มฯ เป็นทนายความให้

โดย คนเมือง
13 มกราคม 2553

หลายคนที่ติดตามข่าวการสั่งฟ้องคดีของอัยการฯ ต่อศาลอาญาคดีอุ้มฆ่าอัลลูไวรี นักธุรกิจซาอุฯ หากได้ฟังคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 จากที่ออกสื่อโทรทัศน์เท่านั้น คงรู้สึกเห็นอกเห็นใจแกเป็นอย่างยิ่ง

จากคำพูดต่างๆ ทำนองนี้ “ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง” (แต่ก็เคยขอเลื่อนเข้ามอบตัวต่อดีเอสไอ และร้องเรียนอัยการไปยัง ปปช. ฯลฯ)

“คำให้การของพยานปากนั้น ไม่น่าเชื่อถือ” (ประเด็นนี้ทำไมไม่ปล่อยให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย ก็ไหนว่ายินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไงล่ะ)

แต่นั่นก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนเมือง (ในดินแดนล้านนา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนที่เขามีอำนาจอยู่) เช่นกัน และนี่ก็คือความจริงอีกด้าน (เพิ่มเติม) เกี่ยวกับคนๆ นี้ที่ไม่สามารถจะรู้ได้จากสื่อแขนงใดๆ ทั้งสิ้น)

คนเสื้อแดงทั่วประเทศคงจะไม่ทราบแน่นอนว่า เมื่อวันที่ 10 เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา “สนธิ ลิ้มทองกุล” แต่คนเสื้อแดงเชียงใหม่ที่ติดตามวิทยุชุมชนของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 อยู่ ประจำจะทราบเรื่องนี้แน่ๆ (แต่ก็ทราบกันเมื่อพ้นไปหลายวันแล้ว) เป็นการกระทำที่ย่ำยีหัวใจคนฮักประชาธิปไตยแต๊ๆ เมื่อหัวหน้าผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจาก พล.ต.ท.สมคิด โดยนำรถตู้ของทางราชการไปรับจากสนามบิน และพามารับประทานกลางวัน ณ ห้องรับรองแขก (ชั้น 1) สุดหรู ซึ่งก็เพิ่งจะปรับปรุงเสร็จหมาดๆ ใช้เวลาอยู่ที่ภาค 5 กว่า 2 ชั่วโมง

รับประทานอาหารชั้นเลิศจากโรงแรมไป คุยกันไป (เผื่อว่าจะให้ช่วยเหลือวิ่งเต้นล้มคดีได้หล่ะมั้ง) ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงรายพร้อมกับคณะอีกแค่ไม่กี่คน โดยไม่มีกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มใดในจังหวัดเชียงใหม่ไหวตัวทัน แม้แต่ตำรวจที่ต้องมาเตรียมสถานที่ และคอยให้การต้อนรับก็ยังทราบเรื่องในเช้าวันนั้นเอง จึงมีตำรวจผู้โชคดีเพียงไม่ถึง 10 คนเท่านั้นที่ได้มีโอกาสเจอผู้ยิ่งใหญ่ตัวเป็นๆ ณ ตำรวจภูธรภาค 5 เป็นบุญตา โดยหลายคนต้องกล้ำกลืนฝืนทนความรู้สึกอันแท้จริงไว้ข้างในใจ

แน่นอนที่สุด การโค่นล้มรัฐบาลทักษิณในปี 2549 (หรือรัฐบาลฝ่ายทักษิณ เมื่อปี 2551) ที่พยายามคืนความสัมพันธ์อันดีกับทางซาอุดิอาระเบียได้ ย่อมเท่ากับเป็นการปิดหนทางเดินก้มหน้าเข้าสู่คุกในบั้นปลาย ไม่ต่างไปจากที่เรียกว่าเป็นการตัดตอนนั่นเอง

อนึ่ง คดีนี้ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ และเข้าสู่กระบวนการสอบสวน (ดีเอสไอ) อีกครั้งในช่วงปี 2547 (ซึ่งก่อนหน้านี้แกก็เคยถูกคำสั่งสำรองราชการมาแล้ว ครั้งเป็น รอง ผกก.สส.น.ใต้) ก่อนที่กลุ่มพันธมิตรเริ่มเคลื่อนไหวหนักหน่วงในปีต่อๆ มา

โดยผลงานยอดเยี่ยมที่ส่งผลให้ได้ขึ้นมาผงาดคุมถิ่นคนเสื้อแดง อย่างพื้นที่ภาค 5 ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่พื้นเพ หรือทำงานเติบโตขึ้นมาในแถบนี้แต่อย่างใด นั่นก็คือ กรณีการซื้อเสียงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งร่วมทำงานกับพี่ชาย (พล.อ.สมเจตน์) อย่างใกล้ชิดถึงที่เชียงราย จนกลายเป็นเหตุผลให้นำมาใช้ยุบพรรคพลังประชาชนในเวลาต่อมา

และเมื่อได้เป็นแล้วแกก็ยังตามล้างตามเช็ดตำรวจหลายนายที่เคยติดตาม (และช่วยหาเสียงให้) นายยงยุทธ สั่งให้เอาเรื่องขึ้นมาดูใหม่ เพื่อเล่นงานทางวินัย (ฐานวางตัวไม่เป็นกลาง – แล้วตัวเองเป็นกลางนักเหรอ) ทั้งๆ ที่ตำรวจบางนายก็ได้ลาออกจากราชการไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่เว้น

โดยเร่งรัดให้มีการตรวจสอบว่าการลาออกนั้นถูกต้องเป็นไปตามกฎตามเกณฑ์ไหม นี่ขนาดยังไม่เอ่ยถึงวีรกรรมสารพัดที่ลักลอบทำกับคนเสื้อแดงภาคเหนือ (ตอนบน) โดยเฉพาะที่มีต่อแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เลยนะเนี่ย

อีกทั้งกระทั่งทนายความในคดีอุ้มฆ่าของเขาและพวกที่เชิดหน้าออกสื่อ (อีกแล้วครับท่าน) เมื่อวานนี้ ก็ยังใช้บริการจากทนายคนสำคัญของพันธมิตร (นายนิติธร ล้ำเหลือ) คนเดียวกับที่ทำลายฝ่ายประชาธิปไตยมาคนแล้วคนเล่า โดยใช้อำนาจ ตลก. ภิวัฒน์ ทั้งนายนพดล ปัทมะ (กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา) นายยงยุทธ ติยะไพรัช (คดีซื้อเสียงเลือกตั้ง)

ยังมิพักเอ่ยถึงบทบาทในการสร้างเงื่อนไขให้มีการรัฐประหารแล้วล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแข็งขัน เช่น คดีที่ร้องคัดค้านให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นโมฆะ รวมถึงการยุบพรรคพลังประชาชน ฯลฯ

แกจึงถือเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยอย่างมิต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากดูอย่างผิวเผินแกคงเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง ธรรมะธรรมโม ดูได้จากโครงการสร้างพระพุทธประทานยศบารมี เพื่อหาเงินเข้ากองทุนเรื่องสวัสดิการของตำรวจภาค 5 เมื่อพระได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้คนเช่าบูชามหาศาลจากทั่วทุกสารทิศ ก็เริ่มมีข้อกังขากับโครงการนี้ขึ้นเรื่อยๆ

เป็นต้นว่าเมื่อพระไม่พอ แกก็ได้สั่งการให้เรียกพระคืนจากโรงพักขนาดเล็ก (ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่ง ผกก. เป็นหัวหน้าสถานี) เพื่อนำมาให้เช่าบูชาเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่ก็ได้มีพิธีการส่งมอบไปแล้ว นอกจากนี้แกก็ยังได้ขอพระจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 ที่ได้รับแจกพระชนิดนวโลหะไป ซึ่งนับถือศาสนาอื่น (คริสต์, อิสลาม) ร่วมกว่าครึ่งร้อยกระมัง

หนำซ้ำยังได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งซึ่งทราบมาว่าได้เอาพระที่รับแจกไปปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อมาต่อว่าเป็นการส่วนตัวอีกด้วย แน่นอน การที่พระพุทธประทานยศบารมีเป็นที่นิยมนั้นย่อมทำให้ราคาในตลาดพระพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว งานนี้ใครบ้างที่สามารถตุนพระไว้ตั้งแต่ต้นก็คงยิ้มแก้มปริกันถ้วนหน้า (ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็น...???)

ขณะที่เงินที่ว่าจะให้เป็นกองทุนสวัสดิการก็ไม่ได้เหลือมากมายนัก เพราะหมดไปกับการปรับปรุงอาคารสถานที่ กำแพง เสาธง รวมถึงซุ้มพระอย่างอลังการงานสร้างมากกว่า ฤาเพื่อให้พร้อมเอาไว้อวดสายตาคนสำคัญระดับประเทศอย่างนายสนธิ (ฮา)

ข่าววงในรายงานว่าหลายครั้งที่แกอารมณ์เสีย (จะใช่เพราะเรื่องคดีความรึเปล่าหนอ) ก็อาจถึงขั้นดุด่าใส่ลูกน้องที่เข้าพบ(เรื่องงานล้วนๆ) ด้วยประโยคที่ได้ยินกันปล่อย เช่น “XXX !!! รู้บ้างไหมว่างานผมเยอะขนาดไหน” (ก็ไม่เคยเห็นท่านอยู่เชียงใหม่บ้างเลยนิ กลับมาทีงานมันก็สุมหัวซิขอรับเจ้านาย) เป็นต้น

หากตำรวจรายอื่นๆ (ที่ไม่ได้สวมเสื้อเหลืองข้างใน) ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาความผิดข้อหาเล็กน้อยกว่านี้อีก จักต้องถูกสั่งให้พักราชการ ไม่ได้รับการผ่อนปรนใดๆ และในวันเดียวกันนี่เองที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหม ให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก (ที่เลือกสวมเสื้อแดงข้างใน) พักราชการตามการเสนอของกองทัพบกที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนความผิดทางวินัยแล้วละก็ กรณีของ นายพลเสื้อเหลือง คนนี้ก็สมควรมีชะตากรรมเฉกเช่นเดียวกัน

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหนื่อยเขียนระบายไปก็ป่วยการ ไอ้ความหวังที่จะเห็น พล.ต.ท.สมคิด ถูกพักราชการนั้น (เข้าใจว่าขั้นตอนคือ ผบ.ตร.ต้องตั้งคณะกรรมการวินัยร้ายแรงขึ้นมาเพื่อชี้ขาดว่าจะให้พักราชการนายตำรวจระดับสูงน้องชายของอดีต คมช. คนหนึ่งคนนี้จะดีไหมเอ่ย?) เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็ตั้งใจขีดๆ เขียนๆ ให้คนเสื้อแดงเหมือนกันได้อ่านกัน

อย่างน้อยให้ได้รู้กันว่า เวรกรรมมีจริงๆ

000000000000

บทความเกี่ยวเนื่อง: เปิดปูมฉาวนายพลตร.ห้าร้อยน้องคมช. จากสนองคุณแผ่นดินคดีเพชรซาอุฯถึงย่ำยีแดงเชียงใหม่

แฉ สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 ผู้นำในการดำเนินการต่างๆ กับกลุ่มคนเสื้อแดงในเชียงใหม่ และ จว.อื่นๆ อย่างแข็งขันตลอดหลายเดือนมานี้ เช่น กรณีที่เกิดขึ้นที่ สภ.ภูพิงค์ ฯลฯ ซึ่งผมประมวลมาจากคำบอกเล่าของคนในผู้อึดอัดหลายๆ นายจนออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

1. ประวัติของแกคร่าวๆ เกิด 25 มี.ค. 2495 เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 7 คน (พี่ชายคนหนึ่งคือสมเจตน์ คมช.) นตท.12 นรต.28 ป.โท รป.ม. จุฬาฯ วปอ. รุ่นที่ 4616 เคยเป็นผู้การเชียงราย (ขึ้นสมัยชวนอยู่ถึงสมัยทักษิณตอนต้น) และเคยเป็นผู้การทางหลวง

และเมื่อรัฐบาลทักษิณต้องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุฯ แกจึงโดนเด้งไปเป็นผู้บังคับการกองบังคับการอำนวยการ สำนักงานวิทยาการตำรวจ เพราะแกเป็นเหมือนชนวนเหตุ ในเรื่องความไม่พอใจของทางการซาอุฯ ซึ่งทางโน้นเชื่อว่าแกอาจจะมีส่วนพัวพันกับการที่นักธุรกิจซาอุฯ ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (ศพรายที่ 4)

เพราะอดีตแกได้รับมอบหมายให้เข้าไปสืบสวนติดตามคนร้ายที่ฆ่า 3 เจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ ซึ่งเข้ามาติดตามเรื่องเพชรซาอุฯ ในยุคนั้น ก่อนที่จะขยับเป็น รอง ผบช. การศึกษา (ช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ) และขื้นติดยศ พล.ต.ท. ยุค คมช. ในตำแหน่ง ผบช. ประจำ สนง. ผบ.ตร. และผงาดออกจากกรุในช่วงอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกฯ ควบคุมดินแดนผืนใหญ่ของชาวเสื้อแดง คือ 8 จว.ภ.เหนือ

*ชีวิตสมรสนั้น ในทางเปิดเผย แกสมรสกับ ทันตแพทย์นิศา มีลูก 2 คน คนแรกผู้ชายเป็นตำรวจ คนหลังกำลังเรียนหมอ

แต่ในทางลับ เป็นที่ทราบกันดีว่าแกยังมีเมียและลูกอยู่ที่เชียงใหม่อีก เมียแกคนนี้ทำงาน กกต.ลำพูน แต่ที่แน่ๆ ลูกสาวคนเล็กของแกตอนนี้โตพอสมควรแล้วเรียนชั้นประถมอยู่ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีฯ โดยใช้นามสกุลบุญถนอมอีกด้วย

2. ซึ่งการที่แกได้ขึ้นมาคุมพื้นที่ภาค 5 นั้น เป็นการทดแทนคุณของ ปชป. คงจะไม่ผิดนัก ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ ก่อนการเลือกตั้งปี 50 ช่วงปลายสุรยุทธ์ แกกับพี่ชายของแกได้ทำงานรับใช้ คมช. อย่างแข็งขัน

ผลงานที่เป็นตัวการันตี คือ การให้ทีมงานทหารติดตามบันทึกภาพ ยงยุทธ ติยะไพรัตน์ ในแทบทุกฝีก้าว แล้วยืมมือผู้สมัครที่แพ้เลือกตั้งของชาติไทยเอาหลักฐานยัดใส่มือให้เข้าร้องเรียนต่อ กกต.จว.ชร. ให้แทน ซึ่งในภายหลังเขาได้ถอนการร้องเรียน แต่ กกต.กลาง ไม่สนใจ ต่อมายงยุทธ์ก็โดนใบแดง และเป็นเหตุให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบในท้ายที่สุด

นอกจากนี้ แกยังขนกำลังเข้าไปตั้งด่านสกัดกั้นมิให้ประชาชนเข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียงที่ จ.เชียงราย อีกหลายครั้งจนถูกร้องเรียน แต่ต่อมา กกต.กลาง ก็ได้ยกคำร้องเรื่องนี้

3. และตลอดระยะเวลาราวๆ 6 เดือนที่แกทำงานอยู่ที่นี่ แกทำอยู่จริงๆ แค่ 2 เรื่อง โดยเรื่องสำคัญที่สุดที่แกสนใจไม่ใช่เรื่องปราบเสื้อแดงอย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นเรื่องขายพระ (ดูรายละเอียด http://www.police5.go.th/site/bhuda/detail.php )

แกขอความร่วมมือให้ผู้กำกับโรงพักช่วยรับองค์ราคา 39,999.- ไปคนละองค์ แน่นอนว่าแกสั่งประชุมเรื่องนี้แทบจะวันเว้นวันเลยทีเดียว ท่ามกลางเสียงท้วงติง (อยู่ในใจ) ของผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องจากตอนแรกแกอ้างว่าทำเพื่อหาเงินเข้ากองทุนเรื่องสวัสดิการของตำรวจภาค 5 โดยเฉพาะชั้นผู้น้อยๆ แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นว่าจะเอาเงินไปปรับปรุงภูมิทัศน์ของสถานที่แทน ทั้งๆ ที่ ผบช. คนก่อนเพิ่งปรับปรุงไปแท้ๆ

แน่นอนว่าในความนึกฝันของแกยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก คือ 1. สร้างซุ้มพระขนาดใหญ่อลังการ ออกแบบโดย อ.เฉลิมชัย 2. ทำเสาธงชาติไทยสูงที่สุดในโลก 33 เมตร 3. ก่อกำแพงอิฐ (ประมาณประตูท่าแพ) เป็นรั้ว (ซึ่งตอนนี้ทำเกือบเสร็จแล้ว และมีน้อยคนมากที่เห็นว่าเข้ากันสวยดี) ฯลฯ รวมแล้วประมาณว่าน่าจะหมดเงินไปไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ทั้งนี้ส่วนใหญ่นำเงินกำไรจากการขายพระมาใช้ แต่มีบางส่วนที่ใช้งบแผ่นดินสบทบเข้าไป

ปัจจุบันเข้าใจว่ามีคนสั่งจองพระเข้ามาจนเกือบเต็มจำนวนทุกแบบทุกขนาดแล้ว ตอนนี้ถ้าหากไปถามตำรวจภาค 5 ว่าอะไรคือผลงานของแก ตำรวจนายนั้นตอบคงตอบได้เลยทันทีโดยไม่ต้องคิดมากว่า แกขายพระเก่ง

*ผมว่าแกเป็นคนหนึ่งที่มีวิธีคิดแบบอำมาตย์จ๋ามาก คือต้องสร้างวัด สร้างพระคู่บุญให้คนได้โจษจันถึง (ฤาเสริมบารมีตัวเอง) ทั้งๆ ที่ผมว่ามันไม่เห็นเกี่ยวกับงานของตำรวจเลย ยาเสพติดก็เพิ่ม คดีฆ่ากันตาย และลักเล็กขโมยน้อยอีกมากมายกลับจับไม่ได้ สงสารคนเมืองครับที่ดันได้คนอย่างนี้มาดูแลนโยบายความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินให้แก่เขา*

ขณะอีกเรื่องที่สำคัญรองลงมาก็คือเรื่องการคอยแซะกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ให้เคลื่อนไหวได้ลำบากๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งออกแนว hardcore เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ได้มารู้ตอนหลังว่าเรื่องนี้อันที่จริงแล้วแกเป็นคนขี้ขลาด ถึงขนาดแสร้งทำเป็นดีด้วยต่อหน้าเมื่อตอนเชิญแกนนำเชียงใหม่ 51 มาประชุมพูดคุยกัน และสั่งให้เลี้ยงอาหารอย่างดี

แต่ลับหลังก็อย่างที่เห็นๆ กันเหมือนเมื่อตอนให้ตำรวจบุกไปปิดสถานีวิทยุเชียงใหม่51เมื่อ 20สิงหาคมปีกลาย อีกทั้งพอมีหนังสือสั่งการเกี่ยวกับเสื้อแดงมา แกจะโบ้ยให้รองคนอื่นๆ ที่รักษาการลงนามแทน แต่ในบางเรื่องแกกลับกัดไม่ปล่อย เช่น ให้รื้อฟื้นการดำเนินการทางวินัยกับ ตร. ชั้นประทวนที่เคยติดตามยงยุทธ์ ซึ่งปัจจุบันได้ลาออกจากราชการไปแล้วชนิดเอาจริงเอาจัง เป็นต้น

4. การประชุมเกี่ยวกับพิธีการพุทธาภิเษกพระครั้งหนึ่ง ในวาระเรื่องการจราจร ซึ่งจะต้องนำเสนอเรื่องบัตรจอดรถของเหล่า VIP ทางนายตำรวจผู้รับผิดชอบได้เลือกใช้สีแดงเป็นสีของ VIP แม้นแกจะไม่ได้ต่อว่าตำรวจนายนั้นออกมาซึ่งๆ หน้า และสีหน้าแกที่แสดงออกมาก็ไม่บ่งบอกชัดว่าแกคิดยังไง แต่คนในที่ประชุมก็พอจะคาดเดาได้ว่าแกคงไม่ชอบใจเท่าไหร่

กระทั่งล่าสุดได้ทราบมาอีกทีว่า สีบัตรจอดรถของ VIP ได้กลายเป็นสีเหลืองไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนสมคิดแล้ว และก็ไม่มีสีแดงอยู่ในบัตรจอดรถของแขกกลุ่มใดๆ อีกด้วย