ที่มา Thai E-News
โดย คุณ วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
16 มกราคม 2553
การชุมนุมที่เขายายเที่ยง หน้าบ้านของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้จบลงด้วยดี โดยไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมือง ได้รับรู้ความจริงในการครอบครองที่ดินขององคมนตรีผู้อื้อฉาว ซึ่งเป็นที่ดินแปลงสวยงาม อากาศเย็นสบาย วิวทิวทัศน์ดูน่ารื่นรมย์ก็ตาม แต่ความจริงแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ผืนป่า’ อันเป็นสมบัติของบ้านเมือง ซึ่งประชาชนคนไทยทุกคน มีสิทธิขึ้นไปชมความงดงามตามธรรมชาติ แต่กลับมีอันต้องตกมาอยู่ในความครอบครอง ของคนใหญ่คนโตในบ้านเมือง (ที่มีอดีตเป็น ผบ.ทบ. อดีต ผบ.สูงสุด อดีตองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันได้กลับมาเป็นองคมนตรีอีกครั้ง) โดยท่านได้ไปปลูกบ้านใหญ่โตโอฬาร เสมือนเป็นการเสริมบารมีของผู้มีบุญมากอย่างตัวท่านนี้เอง
การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ได้จุดประกายความคิดของประชาชน ให้หันไปพิจารณาดูการกระทำของผู้ที่มีอำนาจวาสนาในบ้านนี้เมืองนี้ ที่สามารถนำทรัพยากรของชาติไปถือคอรง และใช้ได้ในกิจการอันเป็นการส่วนตัว อย่างหน้าเฉยตาเฉย แถมเมื่อมีเรื่องมีราว เพราะประชาชนเขาเริ่มทวงความชอบธรรมคืน กลับดันมีรูเลี้ยวทางกฎหมายให้หลุดรอดไปเสียอีก
มีข่าวจากไทยรัฐออนไลน์วันที่ 11 มกราคม 2553 เขาลงบอกว่า พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุก นายทหารคนสนิทของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ว่าตัวท่านองคมนตรี รู้ตั้งแต่ตอนซื้อที่ดินเขายายเที่ยง แล้วว่าไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ แต่หวังใช้สิทธิเพื่อทำประโยชน์ และที่ผ่านมา ไม่เคยนำพื้นที่ไปใช้สร้างผลประโยชน์ในทางธุรกิจ ยืนยัน พร้อมคืนพื้นที่ทันที หากทางราชการต้องการ
อยากจะบอกกับท่านนายพลนินนาทฯว่า ปัญหาเรื่องนี้ มันอยู่ที่ตัวพล.อ.สุรยุทธ์ฯเองต่างหาก ซึ่งท่านองคมนตรียังเป็นปุถุชนที่ยังมี “กิเลส” อัดอยู่หนาแน่น จนเกิดความละโมบ อยากได้ที่ดินแปลงนี้เอาไว้ในความครอบครองของตนเอง ซึ่งนิติกรรมต่างๆ ที่ทำกันมาจนท่านได้ที่ป่ามารอบครอง และปลูกบ้านพักโอ่อ่าขึ้นมานั้น
บัดนี้ เบื้องหลังของมันได้ถูกถลกออก แบหราโชว์ให้ผู้คนได้เห็น จนรู้กันทะลุปรุโปร่งไปทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่า ที่มาที่ไปของมันนั้น
โปร่งใส หรือกระดำกระด่างอย่างไรกัน!?
ผมเองเคยเขียนเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด ลำดับความเป็นมาของเรื่องเอาไว้ในบทความชื่อ “ความเป็นธรรม...แล้วแต่ใครกำหนด!” (ความเป็นธรรมกับความยุติธรรม มันคนละเรื่องกันเลยนะ!) ซึ่งลงใน ‘ผู้จัดการออนไลน์’ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ในตอนนั้นกระแสเรื่องนี้กำลังแรง
คนที่กำลังดังจากการขับไล่ทักษิณอย่าง “ประสงค์ สุ่นศิริ” หลังจากการรัฐประหารของ “ไอ้บัง กบฏ” หนังสือพิมพ์พากันคาดว่า ‘เฒ่าสงค์’ อาจได้รับตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรี’ ในยุคไอ้บังกับพวกกำลังเรืองอำนาจ ตาเฒ่ารายนี้ถึงกับฝันหวาน แต่ก็พลาดไปเพราะชื่อของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถูกหยิบยกขึ้นมาตัดหน้า ฝันของบุรุษเฒ่า ‘หน้าแหลมฟันดำ’ มีอันพังครืนลงไป
อีตาเฒ่ารายนี้เลยสำแดงฤทธิ์ ฟาดงวงฟาดงาใส่ พล.อ.สุรยุทธ์ฯ อย่างแรง ในกรณีที่ดินเขายายเที่ยง จนถึงขั้นมีการตั้งกรรมการที่อุตส่าห์กะโผลกกะเผลก ไปตรวจสอบกันถึงเขายายเที่ยง จนเป็นข่าวฮือฮากันไปใน พ.ศ.นั้นแต่ก็แค่ตดยังไม่หายเหม็น เรื่องก็จางหายไป เหมือนกับอีกหลายๆเรื่อง ที่เคยเกิดขึ้น...ในประเทศนี้!
เรื่องที่ดินเขายายเที่ยง กลับมาโผล่เอาอีกครั้ง ก็เพราะคนเสื้อแดงหยิบยกเอามาเป็นประเด็น คราวนี้ความเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มนี้ เกิดเป็นความฉาวโฉ่ทั่วแผ่นดิน เพราะดันมีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” ของอัยการสูงสุด ได้ออกมาตัดหน้าการเคลื่อนพลของคนเสื้อแดง ที่กำลังพาเหรดขึ้นเขาไป เพื่อชุมนุมหน้าบ้านเจ้าปัญหาของ พล.อ.สุรยุทธ์ฯ บนเขายายเที่ยง
ชาวบ้านก็มองว่า การสั่งคดีของฝ่ายอัยการครั้งนี้ มีเงื่อนงำเพื่อลดกระแสของคนเสื้อแดง แต่ยังดีที่อัยการอุตส่าห์ชี้ประเด็นห้อยติ่งเอาไว้หน่อยหนึ่งว่า
พล.อ.สุรยุทธ์ฯนั้น ไม่มีสิทธิ์ ‘ครอบครอง’ ที่ดินผืนดังกล่าว! (แต่ผู้ชุมนุมยังไม่รู้ว่า มีอีกหนึ่งคดี คือคดีตัดถนนตรงไปยังบ้านของ พล.อ.สุรยุทธ์ฯ ซึ่งผมจะเปิดเผยเพิ่มเติมภายหลัง!)
ความจริงแล้ว หาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ฟังเหตุผล ตามที่ผมเคยเขียนไว้ในผู้จัดการออนไลน์สักหน่อย ท่านก็คงจะไม่ต้องมาร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างทุกวันนี้
ได้เขียนเอาไว้ตอนนั้นว่า หากเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตัวผมก็จะอภิปรายเรื่องบ้านเขายายเที่ยงของท่านสุรยุทธ์ อย่างนี้ครับ
...คนอย่างท่านนายกฯ (พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) ไม่รู้เลยหรือครับว่า ไอ้เจ้าเอกสาร ภบท.๕ นั้น ความมุ่งหมายของทางราชการ ให้เฉพาะชาวบ้านที่ ‘ยากจน’ ไม่มีที่ทำกิน ได้มีโอกาสเข้าไปทำมาหากิน ในที่ดินของรัฐ เขาไม่ได้มีความประสงค์ ให้คนที่มีฐานะดี เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย คนรวยที่เข้าไปถือครองอย่างท่านนายกฯ นั้น เป็นพวกที่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจคนจน!
“ศีลธรรมจรรยา ความรับผิดชอบชั่วดี หายไปไหนหมดครับ...ท่านนายก!!?”
ถ้าเจ้าของคฤหาสน์เขายายเที่ยง ปฏิเสธว่า “ผมไม่รู้” ในฐานะผู้อภิปราย จะย้อนถามกลับอีก ว่า
...ตอนที่ท่านนายกฯ ยังรับราชการอยู่กองทัพภาคที่ ๒ พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และใกล้เคียง อยู่ในความดูแลของกองทัพภาค ที่นายกฯเคยเป็น ‘แม่ทัพ’ และผิดชอบโดยตรง ซึ่งท่านมีทั้ง ฝ่าย สธ.๒ นายทหารแผนที่ นายทหารภูมิอากาศ เจ้าหน้าที่รวบรวมข่าวสารอีกแผงใหญ่ ทำหน้าที่วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการให้
ท่านไม่ทราบเลยหรือครับ ว่า ที่ดินแปลงนี้เป็น ‘ป่า’ ซึ่งคนเป็นแม่ทัพอย่างท่าน มีหน้าที่ปกปักรักษาเอาไว้ ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน สำหรับลูกไทยหลานไทยในวันข้างหน้า หรือให้คนจนได้อาศัยทำกิน สมดังความมุ่งหมายของทางราชการ
ทำไมกลับปล่อยให้ภริยาตัวเอง เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ตนเอง ได้ลงคออย่างนี้... “ไม่รู้จัก ‘เกรงใจ’ ชาวบ้านตาดำๆ บ้างเลย หรือครั...บท่านนายก!?”...
ถามกันตรงๆอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของยายเที่ยงแมนชั่น จะตอบคนถามเขาว่าอย่างไร? ผมเองก็อยากรู้จริงๆ...
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของข้อเขียนของผม ดังนั้น การที่ พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุก ออกมาแก้ต่างแบบเบี้ยวๆ แทนเจ้านาย นอกจากไม่ได้แสดงความฉลาด หรือทำให้เหตุการณ์เบาบางลง แต่ยังได้เปิดช่องให้ผู้คน เขากระแทกซ้ำได้อีกว่า
“ทำไมคนอย่างท่านสุรยุทธ์ เส้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของท่าน ถึงอยู่ลึกนัก!”
ท่านผู้อ่านครับ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากคือความเป็น “สุภาพบุรุษ” ของคนที่เป็นผู้ชาย (คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ นี้ คุณเปรมชอบใช้) เขาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ลากมากดี เศรษฐีมหาเศรษฐี หรือมีตำแหน่งแห่งที่ เป็นแม่ทัพนายกอง รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี หรอกครับ เพราะพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า “ขอทาน...ก็เป็นสุภาพบุรุษได้!”
ผมว่า ถ้าพล.อ.สุรยุทธ์ฯ มีความเป็นสุภาพบุรุษเพียงพอ ท่านไม่เอาหรอกครับ สมบัติของชาติซึ่งเป็นที่ป่าที่เขาอย่างนี้ หากใครมาอ้างว่า
“เฮ้ย ใครๆ เขาก็เอากันทั้งนั้น ท่านสุรยุทธ์ฯ เอานิดเอาหน่อยจะเป็นไรไป!”
ใครที่พูดหรือคิดอย่างนี้ ผมก็อยากจะเอ่ยถึงนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นเดียวกับท่านองคมนตรีสุรยุทธ์ฯ แหละ บุคคลผู้นี้นี้ชื่อว่า ‘พล.ต.ท.ล้วน ปานรสทิพย์’ ครับ
นายตำรวจเกษียณราชการ รุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ท่านนี้ คือ พล.ต.ท.ล้วนฯ มีบิดาชื่อ พล.ต.ต.เลื่อน ปานรสทิพย์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองคดี กรมตำรวจ
พล.ต.ต.เลื่อน ปารสทิพย์ มีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง ท่านทำงานเข้าและเลิกตรงเวลา ทำให้ลูกน้องต้อง ทำตาม ตำรวจกองคดียุคนั้นถือว่าวินัยดีมาก
ความตงฉินของท่าน ดูได้จากการใช้รถประจำตำแหน่ง ซึ่งท่านใช้รถเฉพาะจากบ้านไปที่ทำงานจริงๆ หากระหว่างเดินทางกลับบ้าน บังเอิญมีธุระส่วนตัว ท่านก็จะบอกให้คนขับรถหยุด และสั่งให้นำรถไปบ้าน ท่านก็ขึ้นแท็กซี่ไปทำธุระ...ขนาดนี้เลย!
ท่านให้เหตุผลว่า “รถหลวง ใช้เฉพาะงานหลวง ไปงานส่วนตัว ต้องนั่งรถอื่น!” อย่างนี้จริงๆ!!
พล.ต.ท.ล้วน ปานรสทิพย์ สืบสายเลือดความซื่อสัตย์จากบิดา ตำรวจเรียกท่านว่า “ล้วน...ดีล้วน!”
ท่านเคยไปเป็นผู้บังคับกองเมือง จว.ชลบุรี พล.ต.ท.ล้วนฯก็ปฏิบัติตัวตรงไปตรงมา ผู้กว้างขวางในเมืองซึ่งเคยวิ่งเต้นตำรวจได้ต่างเกรงใจ ไม่กล้าขวางทางท่าน หรือทำผิดแบบเย้ยกฎหมาย เสี่ยระดับเจ้าพ่อ(ตอนนี้ตายแล้ว) ถึงกับพูดว่า
“ผู้กองล้วน เป็นข้าราชการที่อั๊ว ‘ไหว้’ ได้สนิทใจ”
ความดีของท่าน เมื่อถึงคราวโยกย้าย ผู้มีอิทธิพลในเมืองรายหนึ่ง ยกที่ดินให้ผู้กองล้วนหลายไร่ มีเอกสารสิทธิพร้อม เพื่อตอบแทนคุณงามความดี ที่ท่านทำความสงบสุขให้เมืองชลบุรี แต่ท่านตอบปฏิเสธ ไม่ขอรับโดยบอกสั้นๆว่า “ผมมีบ้านแล้ว!”
เรื่องนี้มีหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน เคยกล่าวขวัญกันเกรียวกราวนานมาแล้ว แต่มาวันนี้ ผมต้องยกขึ้นมาอ้างเป็นตัวอย่างอีกครั้ง เพื่อให้ผู้คนในบ้านในเมืองรู้กันว่า
คนที่เขาไม่ “มักได้” และมีความเป็นอยู่อย่าง “พอเพียง” อย่าง พล.ต.ท.ล้วน ปานรสทิพย์ หรือ “ผู้กองล้วน” ของคนชลบุรี นั้น ก็ยังมีอยู่อยู่ในเมืองไทย เพียงแต่ผู้คนไม่ค่อยรู้ หรือรู้แต่ลืมแล้วที่มีมา...นานแล้วด้วย!
ไม่ใช่มาสอนให้ผู้คนเขารู้จักความ “พอเพียง” แต่เสือกขี่ ‘เฟอรารี่’ โชว์ชาวบ้าน!
ในทางกลับกัน เมื่อบ้านเรามีคนดีๆ อย่าง “ผู้กองล้วน” ของคนเมืองชล แต่ก็ยังมีคนที่สร้างปัญหา ความขุ่นเคืองใจให้กับสังคมไทยแบบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในพฤติกรรมเข้าครอบครองที่ดินอันเป็นผืนป่า โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะยึดถือไว้เพื่อตน ทั้งๆ ที่ตัวเองเคยเป็นแม่ทัพ แถมยังเคยเป็นประธานปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า และในฐานะแม่ทัพ ท่านต้องรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่า ป่านั้นเป็นสมบัติของชาติ เป็นทรัพยากรของของลูกไทย หลานไทยเราทุกคน
ดังนั้น การที่ท่านองคมนตรี เอาที่ดินเขายายเที่ยง มาเป็นของตัว และยังคงดื้อด้าน ยึดถือเอาไว้จนทุกวันนี้ ช่างเป็นการทำร้ายน้ำใจคนไทยเสียจริงๆ ผลกรรมเลยส่งให้เป็น ‘ทุกขลาภ’อย่างที่เห็นกัน!
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น เคยได้รับการปั่นกระแสโฆษณาชวนเชื่อ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถึงความเก่งกล้าสามารถ โดยท่านบอกว่า “บิ๊กแอ้ด” ของท่านนั้น ยิ่งใหญ่เปรียบเทียบได้กับ ท่านเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ มหาบุรุษแห่งเกรทบริเตน ขนาดนั้นเลยทีเดียวเชียว!
ที่แปลก คือ คุณป๋าของหนูแอ้ดไม่เคยให้รายละเอียดว่า หนูแอ้ดนั้นเหมือนท่านเชอร์เชอร์ชิลล์ตรงไหนกัน? อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาลอยๆ คล้ายๆ เห็นคนหัวโล้น แล้วก็บอกว่าเหมือน ‘พระอรหันต์’ พิกลจริงเชียว...ป๋านี่!
คุณป๋าของหนูแอ้ด อ่านประวัติของท่านเชอร์เชิลล์บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้? เพราะขนาดเด็กๆ นักเรียน อ่านประวัติท่านเชอร์เชิลล์ แค่ในวิกีพีเดียเท่านั้น ยังสงสัยกันว่า มันเหมือนตรงไหน เพราะดูยังไงก็ไม่มีเหมือนสักมุมเดียว แต่อย่างว่าละครับ มุมมองของคุณป๋าอาจไม่เหมือนคนอื่น ถึงได้อยากให้ท่านมาบอกให้ชัดว่าเหมือนตรงไหน(หว่า)
ใช่แต่แค่นั้นนะ
‘บิ๊กแอ้ด’ ยังได้รับการยกย่อง (จากกลุ่มเดียวกันอีกนั่นแหละ) ว่า เป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีกับผู้คน แต่กรณีเขายายเที่ยงนั้น ทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กลายเป็น ‘ผู้ร้าย’ ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก แทบจะทันที หลังจากที่ความจริง ถูกเผยให้กับสาธารณะชนทราบ!
ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่าน ทราบว่า ที่แน่นอนคือ ท่านเชอร์ชิลล์นั้น ไม่เคยมีประวัติในการฉ้อฉลเอาที่ดินของรัฐมาเป็นของตัวเอง มีแต่เสียงร่ำลือ แซ่ซ้องกันว่า เป็นผู้ซื่อสัตย์ กล้าหาญ องอาจดุจสิงโตแห่งเจ้าป่าใหญ่ รับใช้บ้านเมืองยามคับขันได้เป็นอย่างดี จนพาอังกฤษฟันฝ่าอุปสรรค ชนะศึกสงครามต่อเยอรมันได้ในที่สุด ถึงเวลาไม่อยู่ในตำแหน่งยังต้องเขียนหนังสือกิน เพราะเงินทองท่านไม่ค่อยจะพอใช้
ส่วน ‘บิ๊กแอ้ด’ นั้น เฉพาะเครื่องเพชรภรรยา (เท่าที่แจ้ง ป.ป.ช.) ก็ปาเข้าไปเกือบ 30 ล้านบาทแล้ว โอ้..หล่า..ล้า...
หากวิญญาณเลดี้เคลเมนไทน์ ภริยาท่านเชอร์เขอร์ชิลล์ รู้เข้า ท่านคงตกกะใจพิลึก ที่ภริยานายกฯในประเทศด้อยพัฒนา ร่ำรวยถึงปานนี้ เพราะตัวเลดี้เองนั้น ตอนแก่ๆ ท่านต้องขายรูปวาดฝีมือของสามีกิน เพราะไม่ค่อยจะมีสตางค์ ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนนักการเมืองไทยบ้านเรา
หากจะให้เปรียบว่าพล.อ.สุรยุทธ์ฯ เหมือนใคร คนที่ชอบฟังเทศน์มหาชาติอย่างผม กลับเห็นว่า
“บิ๊กแอ้ด” นั้น เหมือนตัวอีตา “ชูชก” ในเรื่องพระเวสสันดร มากกว่า
ในกัณฑ์มหาราชนั้น แม้พระเจ้ากรุงสัญชัยจะทรงประทานรางวัลให้ตาเฒ่า เป็นบำเหน็จในการนำพระนัดดาทั้งสอง คือ ‘กัณหา-ชาลี’ มาถวายแล้ว แต่อีตาชูชกนักภิกขาจารก็ตะกลามมาก กินอาหารพระราชทานเข้าไปเกินขนาด จนเตโชธาตุไม่ย่อย ให้อึดอัดคัดข้องเหลือกำลัง ให้ทุรนทุรายถึงขั้นพยุงชีวิตตนเองเอาไว้ไม่ได้ จนถึงกาลดับจิต สิ้นชีวิตไปในที่สุด
พล.อ.สุรยุทธ์ฯ เองได้รับราชการ จนมีตำแหน่งสูงสุด ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินเดือนทหาร แถมยังได้รับเงินในตำแหน่งอื่นอีกมาก ทรัพย์สินที่มีอยู่ตามบัญชีที่ท่านได้แถลงกับ ป.ป.ช. ก็มีกว่าร้อยล้านแล้ว
แต่เมื่อยามอัศดงแห่งชีวิต ท่านกลับต้องตกมาเป็นขี้ปากชาวบ้าน ถูกเขาสาปแช่ง ก่นด่า แค่ดูจากป้ายที่ผู้คนเขาถือไปชุมนุมที่หน้าบ้านท่านบนเขายายเที่ยง ก็ถึงกับ ‘ผงะ’ แล้ว เพราะแสบสันเหลือกำลังลาก จนไม่ต้องไปฟังคำปราศรัย เชือดเฉือนอีกด้วยซ้ำไป
ขนาดมีเรื่องราวฉาวโฉ่ ตั้งแต่ตอนที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ตัวท่านก็ยังไม่ยินยอมสละที่ดินเจ้าปัญหา แต่กลับยังสู้อุตส่าห์ยึดยื้อ ถือเอา ‘ที่ป่า’ ซึ่งเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เอาไว้เป็นของตัวเองต่อไป แทนที่จะตัดใจคืนไป เพื่อตัดปัญหาให้หมดไป
นี่เป็นเพราะ...แรงมิจฉาทิฐิโดยแท้!
‘เชอร์ชิลล์’ ไทยแลนด์ เลยต้องกลายเป็น “ชูชก” ชักแหงกๆ แดดิ้นสิ้นชื่อเสียงไปเลย!!
เตโชธาตุของท่านสุรยุทธ์ ย่อย ‘ผืนป่า’ ไม่ไหว ดังนั้น แม้จะไม่ตายอย่างเฒ่าชูชก แต่เกียรติยศที่เคยสะสมไว้ ดูเหมือนจะพลอยตาย มลายหายไปสิ้นเรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พฤติกรรมของท่าน ทำให้สถาบันองคมนตรี พลอยเสื่อมเสีย...... อันเป็นการระคายเคือง ไปถึงเบื้องพระยุคลบาทอีกด้วย!!
ผมจึงเชื่อสนิทว่า ประชาชนคนไทยรับไม่ได้กับพฤติกรรมของ พล.อ.สุรยุทธ์ฯ และด้วยพฤติกรรมอย่างนี้แหละ เมื่อถึงคราวที่ท่านต้องตายจริงจากโลกนี้ไป ชาวบ้านเขาคงไม่สรรเสริญเกียรติคุณ พากันไปงานศพกันแน่นวัดจนล้นหลาม เหมือนอย่างงานของคุณสมัคร สุนทรเวช เป็นแน่แท้
นอกจากนั้น ยังเชื่อต่อไปอีกด้วยว่า...
ชาวบ้านจะพากันด่าส่ง แม้กระทั่งไฟเผาร่างท่านมอดไหม้ไปแล้ว เสียงก่นด่าเรื่องที่ดินเขายายเที่ยง ก็ยังคงดังกึกก้องสังคมไทย ต่อไปอีกนานเท่านาน
จำเป็นตัวอย่าง เอาไปสอนลูกหลานบ้าง...ก็คงจะดี!!!