ที่มา ประชาไท เป็นเรื่องใหญ่เสียแล้วสำหรับเครื่อง จีที 200 หลังผลพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ปรากฏออกมาชัดเจนว่า มันไม่ได้มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกว่า ‘เครื่องมือหาระเบิด’ หรือหาวัตถุต้องสงสัยใดๆ ผลทดสอบด้วยการค้นหา 20 ครั้ง แล้วเจอเพียง 4 ครั้ง พูดแบบสุดๆ หน่อยก็อาจจะเรียกว่า มีความน่าจะเป็นที่จะพบวัตถุต้องสงสัยมากกว่า การซื้อหวยวิ่งตัวเดียวเพียงเล็กน้อย เรื่องนี้คงต้องยกความดีความชอบให้พลเมืองในเว็บบอร์ดทั้งหลายโดยเฉพาะ ‘พันทิป’ ที่สืบสาวราวเรื่องจนความจริงกระจ่าง กระทั่งเป็นอีกปรากฏการณ์ที่มีนัยสำคัญบ่งชี้ถึงบทบาทของพลเมืองในอินเทอร์เน็ต เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพราะเงินหลายร้อยล้านที่ต้องหมดไปกับการซื้อเครื่องนี้ ซึ่งจะต้องชำระสะสางกระบวนการทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ การจัดหา จัดซื้อ ไปจนถึง ทำไมบางหน่วยงานซื้อแพง บางหน่วยงานซื้อถูก มาถึงตรงนี้ ต่อให้มันใช้ได้จริงเฉพาะในพื้นที่ และด้วยเหตุผลกลใดก็ตามทำให้มันใช้ไม่ได้ในห้องทดสอบตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะถ้ามันไม่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับนี้แล้ว ต่อให้ใช้ได้ก็มีแต่จะสร้างปัญหา ว่าไปก็มีมุมที่น่าเห็นใจ เพราะในภาวะอับจนปัญญาของหน่วยงานความมั่นคงที่จะต้องจัดการกับระเบิดที่มีอยู่เต็มเมืองนั้น การมีเครื่องมือสักชนิดที่จะสร้างความมั่นใจให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยจนกล้าลงไปเสี่ยงตายค้นหา ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ และเมื่อมีคนมาเสนอขาย จึงอาจจะเป็นเหตุให้เกิดเป็นความลำเอียงต่อเครื่องมือ และกลายเป็นอุปาทานหรือ ‘คิดไปเอง’ ว่ามันใช้ได้ดีเป็นลำดับต่อมา แต่นี่ก็เป็นมุมที่พยายามคิดเข้าข้างแบบสุดๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ทั้งในกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง หากด้วยกระบวนการจัดหาจัดซื้อที่อาศัยเพียงความลำเอียง และอุปทานเพียงเท่านี้ มันก็เท่ากับ “การหาอะไรสักชิ้นเพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยลงไปเสี่ยงตาย” เรื่องบางเรื่อง เราอาจจะหลอกด้วยความเชื่อ อุดมการณ์ หรือวัตถุมงคล แต่เรื่องของชีวิตที่เห็นเป็นและตาย ซึ่งหลอกได้ยากกว่า ก็ใช้เครื่องมือที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ หาข้อมูลในพื้นที่สักหน่อย มีความเป็นไปได้ที่จะมีระเบิดแน่แล้ว ก็เอาเจ้าหน้าที่ลงไปค้นหา แล้วก็สร้างสิ่งที่เรียกว่า “อุปาทานหมู่” ขึ้นมา แต่ก็นั่นแหละ นี่ก็เป็นอีกมุมที่พยายามคิดเข้าข้างแบบสุดๆ เป็นเรื่องใหญ่ เพราะอุปาทานหมู่นั้นคงเกิดขึ้นไม่ได้ตลอดต่อเนื่องมาหลายปี และคงเกิดขึ้นไม่ได้แน่ หากการค้นหาวัตถุต้องสงสัยมีอัตราการพบเจอเพียง 4 ใน 20 หรือร้อยละ 20 แล้วปล่อยให้ที่เหลือในสัดส่วนอีก 16 ลูก ระเบิดตูมขึ้นมา กระนั้นเราก็ต้องเคารพเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็ยืนยันว่า มันได้ผล และเชื่อมั่นเอามากๆ และนั่นคือคำถาม เพราะหากตรวจเจอเพียง 4 นั่นก็หมายความว่า มีที่ตรวจไม่พบ หรือระเบิดขึ้นมาถึง 16 หรือหากภูมิใจในประสิทธิภาพของเครื่องมาก เพราะมันหาได้เจอถึง 100 กรณี ด้วยอัตราเทียบเคียงจากผลการทดสอบ ก็น่ามีตัวเลขของการหาไม่พบ กระทั่งอาจจะระเบิดขึ้นมาถึง 400 กรณี แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มันก็ไม่ได้มีระเบิดเกิดขึ้นมากมายขนาดนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ใครจะแอบคิดไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนว่า แท้ที่จริงแล้ว เครื่องมือนี้นอกจากไม่ใช่เครื่องตรวจหาระเบิดอย่างที่ว่าแล้ว หากมองโลกแง่ดีสักหน่อย อย่างมากเครื่องมือนี้ก็เป็นได้แค่เครื่องลางของขลังสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ และหากมองแง่ร้ายแล้วล่ะก็ เครื่องมือนี้ก็มีเพื่อ ‘ยัด’ วัตถุต้องสงสัยอันทรงประสิทธิภาพ เพื่อที่จะ ‘ยัด’ ข้อหาให้กับเหยื่อที่ต้องการกำจัด โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวอีกอย่างก็คือ มันเป็นข้อสงสัยว่า รัฐและกองทัพ ได้ซื้อเครื่องมือราคาแพงนี้ ในฐานะที่มันมีคุณสมบัติเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกำจัดเป้าหมายที่ตัวเองไม่ต้องการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ เหมือนกับที่ต้องสร้างความชอบธรรมในการกำจัดศัตรูทางการเมืองด้วยการรัฐประหาร ต่างกันก็ตรงที่ งานนี้ ‘ซื้อ’ แต่การรัฐประหารต้องสร้าง อย่างเช่นการเกิดขึ้นของ ‘กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย’ ในกรณี 19 กันยายน 2549 และกลุ่มหัวรุนแรงเช่น ‘กระทิงแดง’ ‘นวพล’ ในกรณี 6 ตุลาคม 2519 และจีที 200 ก็เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด เป็นระเบิดที่ตรวจพบในกระเป๋ากางเกงของรัฐบาล ที่ต้องจัดการกับกองทัพที่อุ้มรัฐบาล และเป็นเรื่องบั่นทอนเอกภาพในกองทัพ ที่เพิ่มรอยแตกแยกระหว่างทหารผู้น้อยกับนายทหารระดับสูง สำคัญที่สุด ในความพยายามของกองทัพและรัฐบาลที่จะขายภาพการเคารพสิทธิมนุษยชน นี่ย่อมเป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งบัดนี้แทบจะฟันธงได้เลยว่า ‘หมดกัน’