WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, December 31, 2011

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: การเมืองแบบราชานิยม

ที่มา ประชาไท

ดูท่าสังคมไทยคงจะต้องถกเถียงกันเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ไปอีกนาน ทั้งๆที่สถาบันนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ตั้งประเทศแล้ว แต่สังคมไทยกลับแสดงออกราวกับว่ายังหาตำแหน่งแห่งที่ให้ไม่ได้หรือได้ก็ไม่ เหมาะสมเสียที แต่สาเหตุหลักที่จะต้องทุ่มเถียงหรือบางคราวอย่างเช่นในปัจจุบันก็เกินเลยไป ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง ดูๆไปอาจจะถึงทะเลาะตบตีกันให้เลือดตกยางออกก็ได้ เพราะเหตุว่าเถียงไปคนละเรื่อง และประการสำคัญการถกเถียงนั้นไม่ได้มุ่งหวังหาทางออกให้กับสังคม หากแต่มุ่งจองล้างจองผลาญกันเสียมากกว่า สภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ หากแต่เป็นผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เองด้วย

ปัญหาสำคัญในเวลานี้ซึ่งทำให้การถกเถียงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็น เรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือ หากได้คงไม่ได้คำตอบเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งหวังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปาก ตัวเองบอกว่าจงรักภักดีเสียเต็มประดานั้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง มากกว่าอย่างอื่น สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ใช้กำจัดคู่แข่งทางการ เมือง

การกล่าวหาหรือแม้แต่ป้ายสีว่าอีกฝ่ายหนึ่งขาดความจงรักภักดีต่อพระมหา กษัตริย์ทำได้ง่ายกว่าบ้วนน้ำลายตามท้องถนนเสียอีก ใครๆก็สามารถเดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพี่อให้จับใครก็ได้ด้วยข้อหาหมิ่น พระมหากษัตริย์ ด้วยพยานหลักฐานเพียงเล็กน้อย หรือแทบจะไม่มีเลยก็ได้ อาจจะเป็นถ้อยคำทางอินเตอร์เน็ต หรือ โทรศัพท์มือถือ (ซึ่งไม่แน่นักว่าใครเขียนหรือใส่เข้าไป) และเจ้าพนักงานก็แทบไม่ต้องใช้ดุลยพินิจใดๆ เลย นอกจากดำเนินคดีตามที่ได้รับแจ้ง ไล่จับผู้ต้องหายัดคุกไว้ก่อน ที่เหลือไปพิสูจน์กันชั้นศาล ตำรวจที่ไม่รับแจ้งความ หรืออัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะตกเป็นจำเลยเสียเอง

ยิ่งไปกว่านั้นความผิดฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็มีปรากฏเพ่นพ่านอยู่ใน กฎหมายฉบับนั้นฉบับนี้เต็มไปหมด แม้แต่กฎหมายว่าด้วยคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถใช้เป็นกฎหมายที่เอาผิดฐานหมิ่น พระมหากษัตริย์ได้ด้วย ทั้งๆที่เจตนารมณ์ของกฎหมายน่าจะเอาไว้ปกป้องระบบคอมพิวเตอร์จากพวกแฮกเกอร์ หรือการก่อการร้ายผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่า นับวันคดีความอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขัดกับวาทกรรมที่พยายามสร้างกันเหลือเกินว่า ประชาชนไทยทั้ง 65 ล้านคนล้วนแล้วแต่รักเทิดทูลและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ด้วยกันทั้งสิ้น

เวลานี้ไม่มีใครกล้าพูดถึงบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศ ไทยได้เลยจริงๆ แม้แต่ในวงวิชาการ กระแสทางการเมืองที่เชี่ยวกราก บีบบังคับให้การพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้นทำได้เพียงทางเดียวคือ การแซ่ซ้องสรรเสริญ หรือ เขียนบทอาเศียรวาท เท่านั้น ผิดไปจากนี้พวกนั้นจะถูกจัดอยู่ในประเภทที่ขาดความจงรักภักดี หรือ หนักเข้าเป็นพวกจ้องทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ความผิดสถานเบาของคนพวกนี้คือต้องโทษจำคุก หนักไปกว่านั้นพวกเขาจะถูกไล่ออกนอกประเทศ หรือ ถูกตัดสิทธิความเป็นพลเมืองไทย หรือ จริงๆแล้วถูกตัดสินว่าไม่สมควรจะอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีก ต่อไป

ความจริง แม้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงหรือกลุ่มที่จงรักภักดีจริงๆและต้องการเห็นสถาบันพระ มหากษัตริย์มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าวัฒนาถาวรก็ยอมรับกันบ้างแล้วว่า สังคมไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างถึงรากถึง แก่นในเรื่องการจัดวางฐานะ ตำแหน่ง ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับสถาบันอื่นๆ และรวมถึงพระราชอำนาจด้วย แต่พวกเขาเหล่านั้นคงไม่กล้าที่จะทำประเด็นเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องถก เถียงในสาธารณะหรือแย่ไปกว่านั้นพวกเขาเองอาจจะได้ประโยชน์จากการสถานะที่ เป็นอยู่ในปัจจุบันของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จึงได้แต่พล่ามเตือนห้ามมิให้ใครพูด ทั้งๆที่วิญญูชนต่างรู้กันทั่วโลกแล้วว่า พวกเขาเมาท์เรื่องนี้กับจนน้ำลายแตกฟองในที่รโหฐาน

เวลานี้ประเด็นการถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้มข้น ที่สุด กลับไม่ใช่ปัญหาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เองเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองกษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าว่าจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป บรรดานักวิชาการที่เสนอให้มีการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นพระมหากษัตริย์ (ส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งๆที่ไม่ใช่) ถูกโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียว่า เป็นพวกเสียสติ มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้บัญชาการทหารของประเทศไทยถึงกลับขับไสไล่ส่งให้พวกเขาออกไปอยู่นอกประเทศ

สิ่งที่บรรดานักวิชาการเสนอนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์โดยตรงเลย หากแต่พยายามจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้รอดพ้นจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือทาง การเมืองหรือพยายามทำให้การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ปลอดการ เมือง (depoliticise) เท่านั้นเอง

ในทางวิชาการดูเหมือนจะเป็นที่ตกกันแล้วว่า พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในฐานะที่ทำหน้าที่ประมุขแห่งรัฐนั้น จะต้องได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายให้รอดพ้นจากการถูกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ อาฆาตมาดร้าย ไม่มีใครสักคนเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้เพื่อจะบอกว่า การกระเช่นว่านั้นจะไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย เพราะพื้นฐานสิทธิมนุษยชนทั่วๆไป อย่าว่าแต่จะเป็นกษัตริย์หรือประมุขแห่งรัฐเลย คนธรรมดาสามัญ ก็ไม่สมควรที่จะถูก หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย หรือทำให้ได้รับความเกลียดชังได้

ประเด็นสำคัญที่กำลังมีการเสนอกันในเวลานี้คือ กฎหมายมาตรา 112 นี้จะใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมเข้ากับยุคสมัยและคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มที่และไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่างหาก ปัญหาที่จะต้องพิเคราะห์คือ ใครบ้างที่มีอำนาจในการใช้กฎหมายนี้ สมควรที่จะให้ “ใครก็ได้” แจ้งความจับ “ใครก็ได้” ในฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือ องค์รัชทายาทหรือไม่ และโทษอันเกิดแต่การใช้วาจาหรือลายลักษณ์อักษรทำละเมิดพระมหากษัตริย์สมควร จะสูงเสมอเหมือนกับการฆาตกรรมเลยหรือ และเจ้าพนักงานมีดุลยพินิจเพียงใดในการจะพิจารณาว่า ถ้อยคำอย่างไร เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุภาพและสุจริต หรือแม้แต่การศึกษาทางวิชาการในสถาบันการศึกษา เป็นสิ่งที่ละเมิดพระมหากษัตริย์หรืออย่างไร

ความจริงในประมวลกฎหมายอาญาหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ มาตรา 133 นั้นคุ้มครองกษัตริย์ต่างประเทศด้วย ผู้ใด หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาทหรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศต้องระวางโทษตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี แต่ทำไมไม่เห็นมีใครแจ้งความจับบุคคลที่ด่าทอกษัตริย์กัมพูชาบ้างเลยหรือว่า ประเทศไทยใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติแบบนี้เสมอมา

แต่เหลือเชื่อว่า ทั้งผู้บัญชาการทหาร พรรคฝ่ายค้าน หรือ แม้แต่ผู้พิพากษาระดับประธานศาล กลับตอบสนองต่อข้อเสนอทางวิชาการเหล่านั้นราวกับว่าบรรดาผู้ที่เสนอแก้ไข กฎหมายมาตรานี้กำลังเสนอให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ ครั้นจะว่าบุคคลเหล่านี้ไม่เข้าใจข้อเสนอ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดก็ใช่ที คนเหล่านี้ไม่ใช่เด็กนักเรียนอนุบาลพอจะฟังเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรือไขว้ เขว ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ สติปัญญาด้วยกันทั้งนั้น

แต่การตอบสนองข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายถูกเบี่ยงเบนไปได้ไกลขนาดนั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเหล่านี้เองนั่นแหละที่ต้องการจะใช้อำนาจของกฎหมายนี้เพื่อประโยชน์ ทางการเมืองของตัวเองเสียมากกว่าอยากจะคุ้มครองพระมหากษัตริย์จริงๆ กฎหมายเปิดช่องให้ใครก็ได้เป็นผู้เสียหายในคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์โดยไม่ ต้องมีการกลั่นกรองเลย ย่อมทำให้พวกเขาเองอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจใช้กฎหมายนี้ได้ ความก็ปรากฏชัดเมื่อกองทัพแจ้งความดำเนินคดีนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์ ความเห็นของเจ้าฟ้าหญิง ซึ่งคดีนี้แม้นักเรียนกฎหมายชั้นต้นก็เข้าใจได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดเลยแม้แต่น้อย ยังไม่นับว่าถ้อยคำที่นักวิชาการท่านนั้นใช้ก็ล้วนเป็นไปโดยสุภาพ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตธรรมดาๆเท่านั้น ไม่อาจจะนับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายใครเลย

พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ไม่อยากให้แก้ไขกฎหมายมาตรานี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ไขแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิจะใช้กฎหมายนี้แจ้งความเอาผิด คู่แข่งทางการเมืองฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ได้ บางทีเมื่อหมดปัญญาจะเสนอนโยบายทางการเมืองที่โดนใจผู้ลงคะแนนเสียงได้ พรรคฝ่ายค้านคงอาจจะเห็นว่า มาตรา 112 นี้ดูจะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดที่จะใช้สยบคู่แข่งทางการ เมืองได้ เพราะพรรคการเมืองนี้เคยใช้เครื่องมือนี้มาแล้วอย่างได้ผลในประวัติศาสตร์ก็ จึงอยากจะรักษาเอาไว้

ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะเสนอทางเลือกอื่นใด นอกเสียงจากแสดงการปกป้องกฎหมายมาตรานี้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับว่ากฎหมายนี้คือสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง เพราะเชื่อว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลที่ถูกกล่าวหา ว่าไม่จงรักภักดีหรือได้รับการสนับสนุนโดยพวกไม่จงรักภักดีนั้น มีความจงรักภักดีมากกว่าใครทั้งหมดในโลกนี้ บางทีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลนี้อาจจะจำเป็นต้องทำตัวเป็นพวกที่ more royalist than prince
ฉะนั้นจงอย่าได้แปลกใจที่อีกหน่อยจะได้เห็นว่ารองนายกรัฐมนตรีไปทำหน้าที่ สารวัตรตำรวจ ไล่จับคนทำผิดมาตรานี้และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง มีความโน้มเอียงอย่างสูงที่คดีความในหมวดนี้ภายใต้รัฐบาลนี้จะมีมากกว่า รัฐบาลที่บริหารโดยพวกอนุรักษ์นิยมขวาจัดเองเสียอีก