ที่มา uddred
ประชาไท 31 กรกฎาคม 2555 >>>
การถามหาจริยธรรมของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
จริยธรรมที่คอยกำกับพฤติกรรมของตน
และประเด็นนี้ก็ท้าทายสำนึกทางการเมืองของประชาชนด้วย
ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักการเมืองรุ่นใหม่
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย
อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และอดีตนายกรัฐมนตรี
เป็นนักการเมืองที่ถูกสังคมกำลังกังขา ถามหาถึงจริยธรรม (Ethics) มากที่สุด
เพราะในห้วงหลายปีที่ผ่านมาใช้วาทศิลป์เป็นประโยชน์กับฝ่ายตนได้เป็นอย่างดี
และเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามได้อย่างโดดเด่น
ประกอบกับการมีสถานะเป็นนักเรียนอังกฤษหัวก้าวหน้า ทำให้นายอภิสิทธิ์
กลายเป็นนักการเมืองดาวรุ่ง และเป็นความหวังของสังคมตามมา
การเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดเสมือนเป็นโรงเรียนการเมืองให้กับนักการ
เมืองมาหลายๆ รุ่น จึงมิใช่เรื่องยากเย็นมากนัก
สังคมมองกันว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม
มักจะใช้วาทศิลป์ตอบโต้กับปฏิปักษ์อย่างสม่ำเสมอหนักบ้างเบาบ้างตามจังหวะ
และเวลา
บางครั้งถึงขนาดอบรมสั่งสอนนักการเมืองผู้อาวุโสกลางสภาก็ยังเคยทำมาแล้วโดย
ไม่เลือกหน้า จึงทำให้นายอภิสิทธิ์ มีศัตรูมากพอๆ กับมิตร
นักการเมืองหลายคนอาจจะชื่นชอบและเป็นพวกเดียวกันได้
แต่บางคนบางฝ่ายไม่นิยมชมชอบ ชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ
ถึงกระนั้นนายอภิสิทธิ์ก็โชคดี
เมื่อพรรคพลังประชาชนที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นถูกยุบด้วยคำสั่ง
ศาลรัฐธรรมนูญ
นักการเมืองที่เคยสังกัดพรรคพลังประชาชนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายอภิสิทธิ์
แปรพักตร์หันไปสนับสนุน
ดวงชะตาพลิกผันจนได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกือบสามปี
ท่ามกลางความคลางแคลงของการได้มาในตำแหน่งดังกล่าว
เพราะมีการเกื้อหนุนจากบุคคลที่มองไม่เห็น (Invisible man)
จนเรียกกันติดปากว่านายกเทพประทาน
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงเป็นที่มาของคดีความการสั่งฆ่าประชาชน 91 ศพ
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนมูลเหตุแห่งการตายตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา
นี่เป็นกรณีหนึ่งที่สังคมกำลังถามหาความรับผิดชอบและจริยธรรมจากนาย
อภิสิทธิ์
การดำเนินบทบาทของนายอภิสิทธิ์ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือทางการเมือง
เริ่มถูกสังคมเพ่งมองและตั้งคำถามในความถูกต้องชอบธรรมและความเหมาะสม
โดยเฉพาะเมื่อนายกมล บันไดเพชรได้ขุดคุ้ย
พฤติกรรมส่วนตัวที่ไปผูกโยงกับสาธารณะและประโยชน์ของส่วนรวม
มีประเด็นให้โจษขานถึงการใช้อำนาจอิทธิพลของชนชั้น
เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะการที่ชายไทยต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารตามกฎหมายกันทุกๆ คน
แต่นายอภิสิทธิ์
ก็ได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว้าด้วยการเกณฑ์ทหารเช่นชายไทยคน
อื่นๆ จึงมีทั้งคำถามและข้อครหาคละกันไปว่า
นายอภิสิทธิ์ได้ใช้สถานะความเป็นชนชั้นสูงหลบหลีกและหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร
ในห้วงอดีตที่ผ่านมา
นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่สังคมกำลังถามหาความรับผิดชอบและจริยธรรมจากนาย
อภิสิทธิ์ เช่นกัน
พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะออกมาแถลงข่าวยืนยันข้อเท็จจริงว่า
“อภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้ารับเกณฑ์ทหารตามกฎหมายเยี่ยงชายไทยจริง”
และมีการใช้เอกสารไม่ถูกต้องในการสมัครเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ในโรงเรียน
นายร้อย
โดยมีการสั่งลงโทษข้าราชการที่เกี่ยวข้องไปแล้ว...สอคล้องกับคำยืนยันของผู้
บัญชาการทหารบก ที่บอกว่า เรื่องมันจบไปตั้งแต่ปี 2542 แล้ว แต่ที่จบนั้น
ก็คือการลงโทษข้าราชการที่ได้กระทำความผิดในการปลอมแปลงเอกสารราชการ
แต่ผู้ที่ใช้เอกสารราชการปลอมเราจะดำเนินการกันอย่างไรยังไม่มีคำตอบ
จากกระทรวงกลาโหม และกองทัพบก
แม้ว่านายอภิสิทธิ์ และนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์
จะมีความเชี่ยวชาญและเจนจัดในแง่มุมกฎหมาย
จึงทำให้มองเห็นลู่ทางการต่อสู้คดีได้อย่างชัดเจน
ดังเช่นหลายคดีที่ผ่านมามักจะเป็นคุณกับฝ่ายตนเสมอ
อาจพลิกสถานการณ์จากความเสียเปรียบเป็นได้เปรียบโดยไม่ยากนัก
แต่ในครั้งนี้สังคมเริ่มมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์และคณะ
อาจใช้อิทธิพลและสถานะความเป็นชนชั้นสูงเข้าไปแทรกแซงระบบการเมืองและกระบวน
การยุติธรรมในสังคมไทย
ทำให้เรื่องการใช้เอกสารราชการปลอมเงียบหายไปอีกครั้งหนึ่ง
จึงมีประเด็นคำถามของสังคมที่ว่า จำเป็นหรือไม่ที่นักการเมืองอย่าง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี
จะต้องคำนึงถึงจริยธรรมที่คอยกำกับพฤติกรรมของตน
ประเด็นนี้นับว่าท้าทายสำนึกทางการเมืองของประชาชน
และท้าทายสามัญสำนึกทางจริยธรรมของนายอภิสิทธิ์เอง อย่าลืมว่านายอภิสิทธิ์
เคยกล่าวหลายครั้งทำนองว่า
“ความรับผิดชอบทางจริยธรรมต้องอยู่เหนือความรับผิดชอบทางกฎหมาย”
นั่นหมายความว่าในความรับผิดชอบของนักการเมืองนั้น
จะมีการกระทำผิดต่อกฎหมายหรือไม่
ไม่สำคัญหากมีการกระทำผิดจริยธรรมแล้วต้องมีสำนึกรับผิดชอบ
ที่ผ่านมาเราจะพบเห็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรีบางคนถูกจำคุก
บางคนมีข้อกล่าวหาเจตนาฆ่า สมาชิวุฒิสภาบางคนล่วงละเมิดทางเพศ
นักการเมืองบางคนถูกจำคุก บางคนทุจริต
บางคนใช้อำนาจโดยมิชอบแทรกแซงระบบราชการ ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา
ล้วนทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าสังคมควรจะจริงจังกับจริยธรรมในการควบคุม
พฤติกรรมบุคคลเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
นิคโคโล แมคเคียวเวลลี ( Niccolo Machiavelli ) กล่าวไว้ในหนังสือ The
Prince (เจ้าผู้ครองนคร) บางตอนว่า “.....เพราะฉะนั้น
เจ้าผู้ครองนครจึงไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ
เลอเลิศอย่างที่ข้าพเจ้าได้พรรณนาไว้ข้างต้น
แต่เขาควรจะแสดงออกมาว่าเขามีคุณสมบัติเหล่านั้น
ข้าพเจ้าอยากจะพูดให้ถึงขนาดว่า
ถ้าเจ้าผู้ครองนครมีคุณสมบัติเหล้านี้และประพฤติดังกล่าวจริงๆ
กลับจะนำตนไปสู่หายนะ
แต่ถ้าหากเพียงแสดงว่าตนมีคุณสมบัติเหล่านี้จะกลับเป็นประโยชน์ต่อตน”
นั่นหมายความว่า Machiavelli
ได้เสนอความเห็นว่าผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม
แต่ต้องแสดงว่าตนเป็นผู้มีจริยธรรมก็เพียงพอแล้ว
เพราะประชาชนจะมองเห็นผู้ปกครองได้แต่ภายนอก
มีคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่รู้พฤติกรรมว่าผู้ปกครองเป็นเช่นไร
การประพฤติตนภายในกรอบจริยธรรมกลับเป็นผลร้ายมากกว่า
Machiavelli ยังกล่าวอีกว่า ...
“ผู้ปกครองไม่ควรหลีกเลี่ยงจากการกระทำความดีหากเป็นไปได้
แต่เขาจะต้องรู้วิธีทำความชั่วร้ายหากจำเป็น”
เมื่อ “การเมือง” ได้รับมอบหมายจากประชาชน
ให้มีอำนาจในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ มีอำนาจสั่งการ (Authorities)
ตามกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน
แต่กฎหมายเป็นเพียงเจตจำนงของรัฐาธิปัตย์
ซึ่งโดยตัวของมันเองมิอาจสร้างสันติสุขขึ้นมาได้
เพราะเมื่อใดที่ถูกบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรม
ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญย่อมเกิดขึ้น ดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
และที่สำคัญอำนาจรัฐมิได้อยู่เหนือข้อกำหนดในทางศีลธรรมหรือจริยธรรมใดๆทั้ง
สิ้น อำนาจตามกฎหมายเพียงอย่างเดียว
จึงมิใช่เครื่องยืนยันว่าจะสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขให้เกิดขึ้นกับประชาชน
ตราบใดที่อำนาจรัฐอันชอบธรรม
กับธรรมที่เป็นแหล่งที่มาแห่งอำนาจมิใช่สิ่งเดียวกัน ฉะนั้น
นอกเหนือจากอำนาจตามกฎหมายแล้ว คนเหล่านี้จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า
“จริยธรรม (Ethics) ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วย
แต่หากยึดถือแนวคิดของ Niccolo Machiavelli ในการปกครองแล้ว พอสรุปได้ว่า
นักการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตนภายในกรอบของจริยธรรมแต่ประการใด
ทั้งยังสามารถทำอะไรหรือมีพฤติกรรมอย่างไรก็ได้
เพื่อความอยู่รอดของตนและพวกพ้อง
เพียงแต่แสดงออกว่าเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมเท่านั้นก็เพียงพอ
แล้วเราจะยอมรับพฤตกรรมเช่นนี้กันหรือ เพราะมันเป็นการเมืองที่เน้นผลลัพธ์
โดยไม่คำนึงถึงมรรควิธีแต่ประการใด