WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 3, 2012

47 ปี ‘มาร์ค’ กับวาทกรรม ‘ดีแต่พูด’ ความทรงจำ อันขมขื่น บนเก้าอี้นายกฯ

ที่มา uddred

 ไทยรัฐ 3 สิงหาคม 2555 >>>






ชีวิตของนักการเมืองคนหนึ่ง หากจะให้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตคงหมายถึงการขึ้นถึงจุดสูง สุดในชีวิตทางการเมือง ตามที่นักการเมืองทุกคนไฝ่ฝัน นั่นก็คือสักครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้ได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่กุมอำนาจฝ่ายบริหารสูงสุดของประเทศ
วัดกันด้วยเหตุผลข้อนี้ ชื่อของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ก็คงต้องติดทำเนียบนักการเมืองที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดของ ชีวิตนักการเมืองไทยคนหนึ่ง
แน่นอน ไม่นับ ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้น ตั้งแต่ปี 2551-2554 กว่า 2 ปี จะมีความทรงจำที่น่าจดจำ หรือ ขมขื่นกับเหตุการณ์ความรุนแรงของการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงปี 2552-2553 แค่ไหน เพียงไร ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
รวมไปถึงเหล่าวาทกรรม ที่ฝ่ายตรงข้าม ประเคนเข้าใส่ตลอดเวลาของการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่27 ของไทย ไม่ว่า"ดีแต่พูด", "เก่งแต่กู้"  หรือแม้แต่ที่นายอภิสิทธิ์เจ็บปวดที่สุด คือถูกยัดเยียดจาก กลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นผู้สั่งปราบปรามประชาชนทำให้มีผูเสียชีวิต 91 บาดเจ็บกว่า 2 พันคน
แต่อีกด้านก็ได้รับคะแนนสงสาร แบบถล่มทลาย เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ที่โดนกลุ่มคนเสื้อแดง ไล่ลา ก่อกวนอย่างเอาเป็นเอาตาย จนถึงขั้นต้องขับรถหนีตายก็หลายครั้ง
วันนี้ศุกร์ที่ 3 ส.ค. 2555 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด ครบ 47 ปี ของหัวหน้าพรรค “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” คนปัจจุบัน ที่กำลังมีเรื่องถูกกล่าวหา จากฝ่ายตรงข้ามทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเป็นที่เกรียวกราว เป็นที่ สนอกสนใจ ของประชาชนทั้งประเทศ อย่างกรณีหนีทหาร และ ใช้หลักฐานเท็จมาสมัครเข้ารับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุล จอมเกล้า (จปร.) จนถึงขั้น นายอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจ ฟ้องหมิ่นประมาทรวมถึง ขู่จะฟ้องหมิ่นฯ รมว.กลาโหม
และเนื่องในวันนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 47 ย่าง 48 ปี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (มาร์ค) ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ จึงทำการคัดบทสัมภาษณ์ ที่เราได้เลือกมาเพียงบางส่วน เนื่องจาก มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์พิเศษ นายอภิสิทธิ์ เมื่อ ปลายปี 2554 และเห็นว่า เนื้อหาการสัมภาษณ์บางส่วน ยังคงทันสมัย เข้ากับเหตุการณ์การเมืองในปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อ....

ในฐานะเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และอยู่ในวงการเมืองมา ปีนี้ 20 ปีพอดี ดูการเมืองในปี 2555 ของไทย จะเป็นอย่างไร ?
ผมก็มีความเป็นห่วงมาก ว่าความขัดแย้งจะลุกลามออกไป ซึ่งความจริงมันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น และคนที่เลือกได้ก็คือรัฐบาล ถ้ารัฐบาลจะละเว้นไปหยิบเรื่องปมความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ วันนี้ มันไม่ควรมีความขัดแย้ง อย่าลืมว่าสถานการณ์ในขณะนี้พวกผมเป็นฝ่ายค้าน ไม่มีการไปก่อกวนอะไร ต้องเรียกว่าช่วยรัฐบาลไปได้ตั้งเยอะ แต่ถ้ายังปลุกระดม แล้วก็ไปหยิบยกความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญบ้าง คดีความของคุณทักษิณบ้าง มันก็จะทำให้เราย้อนกลับมาสู่เรื่องเดิมๆ มันก้าวพ้นได้แล้วล่ะครับ เอาประโยชน์ของส่วนรวม ของสังคมประชาชนเป็นที่ตั้ง
   “ส่วนที่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรมในเรื่องใดก็ตาม ก็ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายกันไป ฉะนั้นผมคิดว่ามันเลี่ยงได้ ที่เป็นห่วงคือสัญญาณที่ออกมาทุกทางนั่นแหละ ไม่คำนึงถึงตรงนี้ กลับมองประโยชน์ของคน ของกลุ่มมากกว่าส่วนรวม คือก็เป็นเรื่องไปหยิบประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนของสังคม ทำให้เกิดความรุนแรงทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นมา ทั้งที่ความเป็นจริง รัฐบาลสามารถเดินหน้าแก้ปัญหาสังคมได้อยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ดูการทำงานของรัฐบาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีแล้ว อยากแนะนำอะไรบ้างหรือไม่ ?

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าการที่ได้รับการยอมรับไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม ให้มาเป็นหัวหน้ารัฐบาลและต้องมีสถานะความเป็นผู้นำ ก็อยากจะให้ใช้สถานะตรงนี้ในการลดปัญหาในประเทศ ผมก็ต้องบอกว่านับแต่คำพูด จะแก้ไข ไม่แก้แค้น เป็นต้นมา เรายังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมตามคำที่ว่าเป็นผู้นำ ปล่อยให้เกิดความอึมครึม ขัดแย้งให้ดำรงอยู่ตลอดเวลา และโอกาสที่หลุดลอยไปแล้วที่จะดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายในสังคมเข้ามาเป็น หนึ่งเดียว แต่กลับทำการตอกย้ำความเป็นกลุ่มเป็นสี
ฉะนั้นอยากให้ตั้งหลักตรงนี้เสียใหม่ วันนี้เป็นนายกฯ ก็ต้องเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ และก็ต้องคิดถึงประโยชน์ของคนส่วนรวม แล้วก็คนอื่น ใครจะมีประสบการณ์บทบาทอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเป็นนายกฯ ก็ควรปรามคนที่กำลังจะสร้างปัญหาซะ ท่านนายกฯจะรู้หรือไม่ ผมไม่สามารถไปก้าวล่วง แต่นายกฯต้องปรามคนของตัวเอง เพราะสุ่มเสี่ยงทำให้สังคมต้องยกพวกตีกันอีก ก็ไม่ควรปล่อยอย่างนั้น

ที่ผ่านมา ปชป. เล่นการเมือง พยายามพุ่งเป้าไปที่คนๆเดียว มองอย่างไร ?

ไม่หรอกครับ ไม่มีหรอก มีแต่คนๆเดียว และอีกฝ่ายล่ะครับ ที่ไม่เลิกเล่นประเด็นคนๆเดียว ผมก็บอกตลอดเวลาว่า อย่าไปยุ่งกับคนๆเดียว แก้ปัญหาแรงงานรอ 300 บาท คนจบปริญญาตรี อยากมีรายได้ 15,000บาท แล้วใครล่ะครับ ไปเอาคนๆเดียวมาพูดอยู่ตลอด ทั้งนิรโทษกรรม คดียึดทรัพย์ ผมถือว่าคนๆเดียวจบแล้ว แต่พวกคุณต่างหากที่ไม่ยอมจบ พวกผมมีแต่บอกว่า อย่าไปยุ่งกับคนๆเดียว แต่ให้มาทำงานให้คน 60 ล้านคน
ที่ผ่านมาพวกผมไม่อยากยุ่ง ในคนนั้นอยู่ต่างประเทศต่อไปก็ดีแล้ว เมื่อไม่อยากกลับมายอมรับกฎหมายไทย ถ้าอยากมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องยอมรับกฎหมายไทย พวกผมสู้ตั้งแต่วันที่เค้ามีอำนาจ ในวันที่หลายคนยังชื่นชมเค้าอยู่ แต่ผมเห็นว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีอะไรดีนะครับ ความคิดบางอย่าง นโยบายบางอย่างเป็นประโยชน์ แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างมาทำผิดกฎหมาย ไม่ใช่ข้ออ้างที่มาละเมิดสิทธิ์คนอื่น ฉะนั้นเราต้องทำของเราในแง่รักษาความถูกต้องในบ้านเมือง

เศรษฐกิจโลกปีหน้า น่าวิตกหรือไม่ ?

ยุโรปจะกลายเป็นตัวปัญหา แต่ผมคิดว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจ การเติบโตของ จีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวม ก็ทำตัวเลขได้เหมือนกัน เพราะปี 2554 มันมาชะงักช่วงน้ำท่วม แต่ความเป็นอยู่จริงของประชาชนกับตัวเลขการขยายตัว มันจะไม่สอดคล้องกัน
ยกตัวอย่าง บ้านถูกน้ำท่วมพังทั้งหลัง แล้วคุณต้องหาเงินมาจ่ายให้บ้านกลับมาอยู่สภาพเดิม พอวัดออกมาเป็นจีดีพี เงินที่คุณใส่เข้าไปทั้งหมดเนี่ย มันเหมือนเป็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่พอคุณสร้างบ้านเสร็จ มันก็กลายเป็นว่า คุณกลับมามีบ้านเหมือนเดิมเท่านั้นเอง ผมจึงอยากเน้นกับรัฐบาล คือ ชีวิตคนที่เค้าสูญเสีย บางครอบครัวคนในครอบครัวไป บางครอบครัวสูญเสียบ้าน รถ รายได้ ขอให้รัฐเน้นการฟื้นฟูที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนจริงๆให้มาก อย่าไปเน้นเฉพาะแค่ว่า มีการใส่เงินเพื่อกระตุ้นตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเดียว
สังเกตให้ดี นายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำหนุ่ม ที่ผ่านมาเริ่มลงแส้ ค่อยๆปรับเปลี่ยนสไตล์การทำงานของลูกพรรค ให้ดูถึงลูกถึงคนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าเดิม หรือที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "ให้เท้าติดดิน" มากขึ้น เพื่อลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับพรรค ปชป. ที่ดูห่างเหินในช่วงก่อน ที่เป็นจุดอ่อนหนึ่งที่ทำให้พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทย ทำให้เชื่อว่า หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตโอกาสที่พรรคจะกลับเข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาล คงเกิดขึ้นได้ไม่ช้าก็เร็ว...