WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 31, 2012

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ '2 นปช.' เหลือคุก 9 ปี 4 เดือน

ที่มา uddred

 กรุงเทพธุรกิจ 31 ตุลาคม 2555 >>>






ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ"2 แนวร่วม นปช."คุกเหลือ 9 ปี 4 เดือน - ปรับ 6,100 บาท จากโทษเดิม 11 ปี 8 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.2274/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุม ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548, พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. 2549, พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และร่วมกันลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 335, 336
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2553 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2553 จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป บริเวณที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจำเลยที่ 1-2 ขับรถกระบะโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ ทะเบียน ปว-2816 กรุงเทพมหานคร โดยร่วมกันมีวัตถุระเบิดและเครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต ไปในเมือง หมู่บ้านฯ และเข้าไปในเส้นทางที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และจำเลยทั้งสอง ยังงัดประตูร้านค้า 7-Eleven เข้าไปลักทรัพย์รวม 60 รายการ เป็นเงิน 38,251 บาท เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน และ แขวง ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2554 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 8 เดือน ฐานฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, จำคุกคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันลักทรัพย์ด้วยการทำลายสิ่งกีดกั้น, จำคุกคนละ 6 ปีฐานมีวัตถุระเบิด และปรับ 6,000 บาท ฐานมีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 100 บาท ฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะ รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 6,100 บาท พร้อมทั้งให้ริบของกลาง ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสองเบิกความยอมรับว่า เข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นเวลา 2 เดือนเศษ และในช่วงที่มีการประกาศ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 17 พ.ค. 2553 จำเลยทั้งสองขับรถกระบะผ่านไปยังด่านตรวจค้นแล้วเจอเจ้าหน้าที่ทหาร ตั้งด่านสกัดอยู่บริเวณ ถนนเพชรบุรี เมื่อตรวจค้นพบวัตถุระเบิด มีด ขวาน วิทยุสื่อสาร จึงถูกนำตัวมาส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ซึ่งจำเลยให้การว่าจำเลยทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง มีดและขวานพกเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนหนังสติ๊กและระเบิดขวดจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในรถของจำเลย
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ผู้ตรวจค้นพบของกลางเป็นเจ้าพนักงานรัฐ ซึ่งไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเชื่อได้ว่าไม่ได้ปรักปรำจำเลย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าในการชุมนุมเจ้าหน้าที่ทหารก็ปะทะกับคนเสื้อแดงจึง เป็นพยานปฏิปักษ์กับจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่าฝ่ายจำเลยไม่มีพยานที่จะนำสืบให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่จับกุม นั้น เป็นผู้เข้าร่วมทำร้ายคนเสื้อแดงอย่างไร ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นอาสาสมัครป้องกันพลเรือนจึงพกพาวิทยุสื่อสารนั้น จำเลยก็ไม่ได้นำสืบประเด็นนี้มาก่อน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้ว่าจำเลยพกพาวิทยุสื่อสารและ ร่วมกันพกพาอาวุธและวัตถุระเบิด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ส่วนการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามใช้เส้นทางตามที่ห้ามชุมนุม ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์ออกจากที่ชุมนุมเพื่อ เดินทางกลับบ้าน พยานหลักฐานโจทก์ในส่วนนี้จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดข้อประกาศที่ ห้ามใช้เส้นทางบริเวณที่ชุมนุม
สำหรับข้อหาลักทรัพย์นั้น ทางนำสืบ เจ้าหน้าที่ตำรวจ พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลย ได้ตรวจค้นพบเครื่องอุปโภค บริโภค เช่น เหล้า บุหรี่ บัตรเติมเงิน ฯลฯ ขณะที่นายพิมล บุญมา เจ้าของร้าน 7-Eleven ที่เกิดเหตุ ผู้เสียหาย เบิกความว่า ได้ปิดร้านตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 2553 เนื่องจากมีการชุมนุม ซึ่งมีคนทุบกระจก บุกเข้าไป ภายหลังพบว่าสินค้าถูกรื้อค้นกระจัดกระจายและสูญหาย เมื่อตรวจสอบจากบาร์โค๊ดของกลางที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดมา พบว่าเป็นสินค้าจากร้าน แต่ในทางนำสืบโจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน เห็นว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ พยานหลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ โดยพฤติการณ์ ของจำเลยฟังได้เพียงว่า ครอบครอง ทรัพย์สินของผู้เสียหายไว้จึงมีความผิดฐานรับของโจรที่ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์คนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองฐานรับของโจร คนละ 3 ปี และให้ยกฟ้องข้อหาร่วมกันใช้ยานพาหนะฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ เข้าไปในสถานที่หวงห้าม ส่วนข้อหาอื่นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น โดยเมื่อรวมโทษจำเลยทั้งสองในความผิดอื่นแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 9 ปี 4 เดือน และปรับ 6,100 บาท