ที่มา ประชาไท
เมื่อวันที่ 28 ต.ค.55 เวลา 13.00 น. บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ได้จัดกิจกรรมเสวนาบาทวิถี ภายใต้ชื่อ “นักโทษการเมืองภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเสียสละอิสรภาพของประชาชน” มีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน โดยมี อธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ นามปากกา "ใบตองแห้ง" เป็นวิทยากร วิจารณ์บทบาทรัฐบาลกับการช่วยเหลือนักโทษการเมือง การสร้างประชาธิปไตย การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่ผ่านมา การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและบทบาทของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแผ่งชาติ หรือ นปช.ในปัจจุบัน
อธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ นามปากกา "ใบตองแห้ง"
ชี้ รบ.ล้มยาก ไม่ว่าคนมามากขนาดไหนที่นางเลิ้งอธึก กิต มองว่า การที่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ปัจจัยหลักอยู่ที่กระแสสังคมทั่วไป สังคมทั่วไปยังไม่ต้องการแตกหักแบบที่จะให้รัฐบาลไปล้างโครงสร้างของกลไกรัฐ ธรรมนูญ 50 ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ใช่แดง-เหลือง ยังไม่พร้อม เขายังรู้สึกว่า อยู่ไปอย่างนี้ก่อน ในขณะเดียวกันก็บอกว่า อย่าล้มรัฐบาลด้วย เป็นกระแสที่เป็น 2 มุม เพราะฉะนั้น พวกเคลื่อนไหวที่สนามม้านางเลิ้ง (การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม) ยังไงก็ล้มรัฐบาลไม่ได้ เพียงแต่ว่า ถ้ารัฐบาลทำอะไรเต็มที่ คนทั่วไปก็ไม่เห็นด้วย เหมือนสภาพที่เหนื่อยมา 6 ปี คนจึงรู้สึกว่า อยู่ไปแบบนี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน แก้กันทีละเรื่อง เป็นนิสัยของสังคมไทยอยู่แล้วไม่ต้องการการแตกหักเด็ดขาด สังคมไทยเป็นสังคมประนีประนอมสูง ดังนั้นการจะไปรื้อโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญมันจึงลำบาก
แต่อีกฝ่ายก็จะล้มรัฐบาลได้ยาก เพราะต่อให้คนมามากขนาดไหนที่สนามม้านางเลิ้ง โพลล์ก็บอกอยู่แล้วว่าคน 97% ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ก็เลือกตั้งชนะไม่ได้อยู่แล้ว พรรคการเมืองที่จะเกิดใหม่ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร พรรคเพื่อไทยอยู่ได้ 3 ปี แล้วก็ชนะอยู่แล้ว โดยแนวโน้ม ถ้าไม่เลวร้ายเกินไปก็จะอยู่อย่างนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่สะดวกนัก
สำหรับการเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้งจะปูทางไป สู่การรัฐประหารนั้น ใบตองแห้ง กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ คนมันเข็ดแล้ว เข็ดรัฐประหาร 19 ก.ย. ไม่ใช่ว่าเสื้อแดงต่อต้าน คนวงกว้างก็ไม่เอา มันไม่มีใครเอาแล้ว แต่ถามว่าคนวงกว้างที่พูดนี้ชอบรัฐบาลไหม อาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ว่าเขาไม่ชอบเขาก็มีบทเรียนแล้วว่า ถึงไม่ชอบ แต่ยิ่งรัฐประหารมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้นการขยายบานปลายไปผมว่ามันยาก มันจะต้องมีมุขใหม่ แต่มันก็หามุขไม่ออก”
อธึก กิต กล่าวว่า ถ้าพูดเฉพาะนักโทษการเมืองในเงื่อนไขของรัฐบาลนี้สามารถที่จะออกพระราชกำหนด ในการนิรโทษกรรมของนักโทษการเมืองโดยเฉพาะส่วนที่เป็นประชาชนได้ แต่พอออก พรบ.ปรองดอง ไปผูกคุณทักษิณ ชินวัตร ไปด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แก้ได้ยาก เป็นเงื่อนไขที่คนยังไม่ยอมรับ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนมองว่าคุณทักษิณผิด เพียงแต่ว่า คนกลัวว่าถ้าคุณทักษิณกลับมันจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอีก พอเป็นในมุมนี่ เรื่องคุณทักษิณจึงยังไม่ผ่านง่ายๆ ในระยะปีสองปีนี้ แต่ถ้าทำเฉพาะมวลชน คิดว่าสังคมยอมรับได้ แต่รัฐบาลไม่ทำ มวลชนเสื้อแดงในกลุ่มก้อนใหญ่ก็ยังไม่ได้กดดันเรื่องนี้เท่าที่ควร เหมือนมีเพียงกลุ่มที่กระจัดกระจายทำ มวลชนเสื้อแดงก็เป็นตัวของตัวเองไม่สามารถเป็นปึกแผ่นได้
รัฐมนตรียุติธรรมเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้ แต่ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องนี้เลย บทบาทน้อยมาก ทำงานเป็นข้าราชการประจำคนหนึ่งเท่านั้น รัฐมนตรียุติธรรมสำคัญมากในการช่วยเหลือคนติคุก สำคัญมากในการคืนความยุติธรรมให้มวลชน ถึงแม้จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับศาลไม่ได้ แต่อยู่รอบศาลทั้งหมด แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะทำ
ใบตอง แห้ง กล่าวอีกว่าอย่าไปกลัวเรื่องการประคองรัฐบาล เพราะคิดว่าเรื่องรัฐประหารหรือการยุบพรรคเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากมาก กลายเป็นอะไรที่ล้าหลังเต็มที แม้แต่ตอนที่อาจารย์นิด้าไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจำนำข้าว ซึ่งไม่ใช่แค่เสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับการฟ้องดังกล่าว คนก็วิจารณ์กันมาก กระแสก็ไม่ขึ้น กระแสของการใช้อำนาจศาลเข้ามาสกัดกั้นรัฐบาลมันจะใช้ได้เป็นเรื่องๆ ในกรณีที่รัฐบาลหรือเพื่อไทยไม่สามารถที่จะสร้างความชอบธรรมให้สังคมเห็นได้ ศาลไม่กล้าเล่นอะไรที่ฝืนกระแสมาก อะไรที่ฝืนกระแสมากๆ ต่อไปนี้พวกกลไกตุลาการภิวัฒน์ก็จะไม่กล้าเล่น ถ้ารัฐบาลกระแสตกต่ำมาก การยุบพรรคมันจะกลับมาได้ แต่ในภาวะที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะยุบพรรคไม่ต้องพูดถึง การรัฐประหารก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เป็นไปได้ยาก
เพราะฉะนั้นความคิดเรื่องการประคองรัฐบาลไม่น่ากังวล แต่มวลชนส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับความคิดเรื่องประคองรัฐบาล กลัวรัฐประหาร การจี้รัฐบาลจึงยังทำไม่เต็มที่ อีกส่วนก็เป็นความรู้สึกของผู้ชนะอยู่ รู้สึกพอใจ ยังมีอยู่ การที่จะมาเร่งเร้ารัฐบาลจึงยังมีน้อย จึงต้องปรับความคิดช่วงหนึ่งว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการประคองรัฐบาลมากเกินไป และหันมาเรียกร้องอะไรที่จริงจังกับรัฐบาลบ้าง ถือว่าพ้นช่วงฮันนีมูนระหว่างมวลชนกับรัฐบาลแล้ว
ในกระแสการเมืองแบบนี้ ที่ชวนให้เฉื่อยที่ชวนให้อยู่ได้แน่ๆ รัฐบาลจึงไม่ขันแข็งพอ ซึ่งปีกการเมืองหนึ่งก็ไม่ได้สนใจประชาธิปไตยอยู่แล้ว ปีกกลางก็จะไม่ค่อยสนใจ จะมีเพียงส่วนหนึ่งที่ยังขันแข็ง ซึ่งก็ไม่เยอะ คิดว่าอีกส่วนหนึ่งของรัฐมนตรีไม่ได้คิดเรื่องเอาทักษิณกลับบ้านด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็ต้องมองให้เห็นว่า รัฐบาลถ้าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพลินไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับไม่ทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็จะนำไปสู่ทางตันใหม่ ที่ว่ารัฐบาลนี้ก็เบื่อแล้ว แต่ไม่เอาประชาธิปัตย์ ตุลาการภิวัฒน์ รัฐประหาร ไม่เอารัฐบาลพระราชทาน ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แล้วจะทำอย่างไร จะนำไปสู่จุดที่ตอบไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ นำไปสู่ทางตัน อยู่ในจุดที่คนไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
การ ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด อธึกกิต มองว่าไม่มีสัญญาณที่มีรัฐมนตรีที่จะผลักดันภารกิจเรื่องประชาธิปไตยให้มวล ชน เหมือนไม่มีเลย อาจจะมีคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ดูจะดีหน่อย แต่ก็คือรัฐมนตรีศึกษาธิการ สัญญาณที่จะผลักดันประชาธิปไตยมีค่อนข้างน้อย ซึ่งน้อยมาทุกชุด แต่ชุดนี้ยิ่งน้อยลงไปอีก จะมุ่งไปสู่เชิงเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจ และโควต้าต่างตอบแทน คณะรัฐมนตรีชุดนี้เหมือนอยู่ในภาวะปกติ ถ้าบอกว่าเป็นภาวะปกติ แสดงว่ามันดีแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ภาวะปกติ
เป็นไปไม่ได้ที่ นปช.กลาง จะเป็นศูนย์รวมของคนเสื้อแดงแล้ว
นอก จากนี้ "ใบตองแห้ง" ยังได้วิจารณ์การนำของ นปช.ส่วนกลางด้วยว่า ต่อไป นปช.ส่วนกลางเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นศูนย์รวมกับคนเสื้อแดงแล้ว เพราะได้กระจายไปแล้ว ทิศทางจะเป็นว่า มีจุดร่วมอะไรก็จะทำด้วยกันเป็นครั้งๆ แต่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก บางส่วนเข้าไปสู่การเมืองท้องถิ่นมากขึ้น ถึงมีมวลชนพื้นฐานอยู่ แต่ก็แปรผันมากขึ้นในแต่ละส่วน จึงมีลักษณะกระจาย
ยุคต่อไปองค์กรจัดตั้งใน facebook มากกว่า และเป็นการเชื่อมระหว่างแกนนำกลุ่มต่างๆ เป็นกลุ่มแนวรวมที่มีจุดร่วมกันมากกว่าที่จะเป็นเรื่องการสั่งการหรือใคร ขึ้นต่อใคร สำหรับการรวมตัว เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรนำอะไรที่เด็ดขาดเป็นการเชื่อมกันทางความคิด เพราะปัจจุบันการรวมตัวเป็นเรื่องของความคิดมากกว่าการเป็นรูปแบบองค์กรที่ มันพ้นยุคแล้ว