ที่มา Thai E-Newsแท้จริงปรากฏการณ์ทักษิณ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่รากฐานอันใหญ่โตของภูเขาน้ำแข็งนั้นคือการตื่นตัวขึ้นมาของคนรากหญ้า ยักษ์หลับได้ตื่นขึ้นแล้ว ดังนั้นนี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่เราจะได้ร่วมมือกับมวลชนสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาธิปไตยไทยให้เป็นจริง
ที่มา ประชาไท
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:คำประกาศนักเขียนอิสระ 'คนต้องเท่ากัน' ถึงคนเดือนตุลา
ศิลปิน นักคิด นักเขียน ปัญญาชน ที่คิดเป็นปฏิปักษ์กับมวลชนอันไพศาล
นับแต่เมฆร้ายสีเหลืองได้เข้าบดบังดวงตาอันแจ่มใสในอดีตของจิตวิญญาณอันอุดมไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเห็นมวลชนอันไพศาลทั้งแผ่นดินได้ลุกขึ้นมามีสิทธิมีเสียงในประเทศที่พวกเขาได้ลงแรงลงเหงื่อสร้างมันขึ้นมา วันนี้ ทุกครั้งที่พวกท่านเอ่ยคำประนามหยามเหยียดพวกเขาว่าโง่เง่า พวกเขาจะเจ็บปวดรวดร้าวไปกับอดีตที่ครั้งหนึ่งพวกท่านได้ปลุกให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง
วันนี้พวกเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว ตื่นขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ที่พวกท่านได้เคยโปรยปรายเอาไว้ พวกเขาจะก้าวข้ามคำประนามหยามเหยียดของพวกท่านไป เขาจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ยืนอย่างมีศักดิ์ศรีในแผ่นดินนี้ พวกเขาไม่เคยคิดโกรธเกลียดพวกท่าน พวกเขาเพียงแต่เสียใจและเสียดายสิ่งที่พวกท่านเคยทำ พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะเคียดแค้นและทำลายพวกท่านดอก แต่จิตวิญญาณที่ดีงามของพวกท่านจะทำร้ายตนเองไปจนวันตาย
ท่านยังมีเวลาคิดไตร่ตรองให้ดี วาระสุดท้ายที่พวกท่านจะหวนคืนสู่อ้อมอกของมวลชนผู้ยากไร้ ยังมีอยู่ ขอให้ท่านกลับมาเถิด มวลชนรักพวกท่านเสมอ
เครือข่ายเดือนตุลา
00000000000
จดหมายเปิดผนึกจากเครือข่ายประชาชนนักเขียนศิลปินประชาธิปไตย
ถึงเพื่อนกวี นักเขียน นักเพลง จิตรกร ศิลปินทุกสาขา
ฤดูร้อนเดือนมีนาคม 2553 ยิ่งร้อนขึ้นอีกหลายเท่า สำหรับอุณหภูมิทางสังคมและการเมือง เมื่อมีการเคลื่อนตัวของมวลชนเสื้อแดงเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศ และก็มีความร้อนใจอันเกิดจากความไม่เข้าใจกันแพร่ลามไปในสังคม รวมทั้งในหมู่คนทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมดัวยกัน
ขบวนคนเสื้อแดงที่เปรียบเสมือนลาวาสีแดงหรือไม่ก็สึนามิการเมืองหลากไหลสาดซัดจากชนบทเข้าสู่เมืองกรุงช่วงวันที่ 13-14 มีนาคม 2553 เป็นพลังการเมืองที่ศิลปินควรพิจารณาอย่างมีสติ มิใช่อย่างมีอคติตามกระแสคนชั้นกลางบางส่วน เพราะศิลปินที่แท้จริงย่อมมีมนุษยธรรมในหัวใจ เห็นอกเห็นใจผู้ที่ลำบากยากจน
มองวิเคราะห์อย่างหาสัจจะจากความเป็นจริง จะเห็นว่าแม้มวลชนเสื้อแดงประกอบด้วยหลากหลายชนชั้นและอาชีพ แต่จำนวนมากที่สุดคือคนรากหญ้า ที่กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางใหม่ในชนบท เป็นพลังทางการเมืองที่ขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นมา และต้องการเวทีสำแดงบทบาททางการเมืองชนิดที่ใครก็มาขัดขวางมิได้
นี่คือการตื่นขึ้นมาของยักษ์หลับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุคปี 2575 ยุคการเคลื่อนไหวทางการเมืองจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 - ปี 2500 หรือยุค 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนคนรากหญ้า กรรมกรชาวนายังเป็นยักษ์หลับ ยังไม่รู้สึกรู้สากับอำนาจอธิปไตยอันควรเป็นของตัวเอง เกมการเมืองประชาธิปไตยยุคก่อนๆ จึงเป็นเรื่องเล่นกันอยู่ในหมู่ชนชั้นปกครองเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ
เพื่อนศิลปินเพลงเพื่อชีวิต กวีเพื่อชีวิต หรือแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทยสมัยหลัง 14 ตุลาคม 2516 คงจำได้ว่า แม้นักศึกษาปัญญาชนและศิลปินเพื่อชีวิตจะพยายามปลุกระดมมวลชน กรรมกรชาวนา ทั้งในเมืองและชนบทให้ตื่นตัวกับประชาธิปไตย ก็นับเป็นเรื่องยากเข็ญ เพราะมวลชนยังรู้สึกว่า ประชาธิปไตยนั้นกินไม่ได้
แต่ว่าหลังจากปี พ.ศ.2544 ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ทำให้มวลชนคนรากหญ้ามองเห็นว่าประชาธิปไตยกินได้ พวกเขาจึงตื่นตัวขึ้นมาในแบบ “ไม่ต้องจ้าง กูมาเอง” และกูไม่กลัวมึง ไม่ว่า “มึง” นั้นจะติดอาวุธสงครามตั้งแต่หัวจนจรดตีน
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งทำให้มวลชนตื่นตัวกว้างขวางยิ่งขึ้น เมื่อประจักษ์ชัดว่าพวกตนถูกปล้นอธิปไตยไปอย่างหน้าด้านๆ ตามมาด้วยขบวนการตุลาภิวัตน์ ซึ่งที่สุดกลายเป็น “ตุลาการวิวาท” เพราะทำให้ความขัดแย้งยิ่งประทุรุนแรงขึ้น เนื่องจากเป็น 2 มาตรฐาน ขาดความยุติธรรม
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปิดเผยโครงสร้างอัปลักษณ์ของการเมืองไทย ว่าแท้จริงแล้วการเลือกตั้งเป็นเพียงละครลิงของระบบอำมาตย์ หากผลการเลือกตั้งจากมือประชาชนคนส่วนใหญ่ออกมาไม่ได้ดั่งใจพวกอำมาตย์ พวกอภิสิทธิ์ชน พวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว พวกเขาก็จะทุบทิ้งการเลือกตั้งนั้นด้วยวิธีต่างๆ โดยใช้กลไกรัฐที่มีอยู่ในมือเขา ได้แก่ กองทัพ, ศาล, คุกตะราง ฯลฯ
เพื่อนศิลปินที่รัก ศิลปินย่อมมิอาจตัดขาดตัวเองออกจากสังคม กวีมิใช่เพียงนักประดิดประดอยถ้อยคำ จิตรกรไม่ใช่แค่สลัดสีลงบนผ้าใบ นักเพลงมิใช่เพียงคนเพาะถั่วงอกตัวโน้ต ศิลปินกินข้าวที่ชาวนาปลูก อยู่ในบ้านที่สร้างด้วยแรงงานกรรมกร อุปโภคบริโภคผลจากหยาดเหงื่อแรงงานของผู้คน ในยุคสมัยมืดมน ผู้คนเดือดร้อน ศิลปินจึงต้องสร้างศิลปะในลักษณะของผู้ชูคบไฟและส่องโคมทองในความมืด
แน่นอนว่าขบวนคนเสื้อแดงหนาแน่นด้วยคนรักทักษิณ นี่คือข้อดีของจิตใจแบบชนบทที่รักใครรักจริง ไม่ทอดทิ้งยามยาก ใครเคยทำดีไว้ให้ พวกเขาไม่ลืม ลบคำสบประมาทว่า “คนไทยลืมง่าย”
แท้จริงปรากฏการณ์ทักษิณ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่รากฐานอันใหญ่โตของภูเขาน้ำแข็งนั้นคือการตื่นตัวขึ้นมาของคนรากหญ้า ยักษ์หลับได้ตื่นขึ้นแล้ว และสำแดงบทบาทร่วมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย นี่คือสิ่งที่ศิลปินที่มีหัวใจรักประชาธิปไตยปรารถนามาเนิ่นนานแล้วมิใช่หรือ
ดังนั้น เพื่อนศิลปินที่เคยมองปรากฏการณ์เหล่านี้ด้วยกระแสอคติใด ๆ ก็ตาม โปรดพิจารณาไตร่ตรองเสียใหม่ นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่เราจะได้ร่วมมือกับมวลชนสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาธิปไตยไทยให้เป็นจริง หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาเกือบ 80 ปี
ด้วยภราดรภาพ
เครือข่ายประชาชนนักเขียนศิลปินประชาธิปไตย
(People writer artist democracy)