ที่มา Thai E-News
สำนักข่าวต่างประเทศนำเสนอภาพข่าวคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยผู้จัดการชุมนุมได้คาดการณ์ว่าในวันนี้ จะมีผู้เข้าร่วม1ล้านคน(ภาพข่าว:รอยเตอร์)
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 41
น่าสังเกตว่า ในระยะนี้มีการพูดถึงแนวทางในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและสมควรถกเถียงกันให้กว้างขวาง น่าจะเป็นเพราะการเคลื่อนทัพของฝ่ายประชาธิปไตยที่ผ่านมายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นัก จนมวลชนเกิดความล้าและเกิดคำถาม
ในที่สุดก็ฝ่ายที่กุมการนำในขบวนการประชาธิปไตยให้คำตอบง่ายๆ ว่าเราต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลยุบสภาและเลือกตั้งใหม่
โดยหวังจะใช้อำนาจรัฐจากการเลือกตั้งสถาปนาประชาธิปไตยในบ้านเมือง ตามแนวทางที่เรียกอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า “ปฏิรูป”
คำๆ เดียวกับการรวมอำนาจรัฐสู่ศูนย์กลางในสมัยรัชกาลที่ ๕ ล้มอำนาจของขุนนางและรัฐบาลท้องถิ่นลงเกือบเด็ดขาด
คำๆ เดียวกับชื่อคณะทหารที่ก่อการยึดอำนาจรัฐ หลังสังหารโหดนักศึกษาและประชาชนในฝ่ายประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
คำๆ เดียวกับที่นักวิชาการอย่าง นายแพทย์ประเวศ วะสี ชอบใช้ เช่นเมื่อครั้งที่ผลักดันให้เกิดการ “ปฏิรูปการเมือง”
การใช้คำพ้องกันเช่นนี้มิใช่เหตุบังเอิญ แต่มีสิ่งที่เชื่อมโยงความคิดในหัวสมองแต่ละคนเข้าด้วยกัน ความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ทางความคิดที่ว่านี้ ก็มิได้หมายความว่าเขาร่วมกันวางแผนหรือนัดกันมาพูด แต่เป็นทัศนะที่สะท้อนความคิดในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ความก้าวหน้าหรือล้าหลังจึงไม่แตกต่างจากกันนัก
ถ้าเอาทัศนะทางประวัติศาสตร์มาจับ จะพบว่าการ “ปฏิรูป” ที่ผ่านมาในสังคมไทยแทบไม่ได้ก่อผลเปลี่ยนแปลงต่อระบอบประชาธิปไตยเลย
การปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่งผลให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมีความสมบูรณ์และเข้มข้นขึ้น อำนาจอธิปไตยก็อยู่ที่พระมหากษัตริย์มิใช่ประชาชนส่วนใหญ่
การปฏิรูปของระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ที่เรียกว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ซึ่งความจริงคือ “ขวาฆ่าประชาธิปไตย” เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ก็ทำให้เกิดเผด็จการเต็มรูปที่กลายพันธุ์มาเป็นเผด็จการอำพรางหรือประชาธิปไตยครึ่งใบจนกระทั่งปัจจุบัน
การปฏิรูปแบบของหมอประเวศและคณะก็มิได้ทำให้ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มิหนำซ้ำเมื่อเกิดการรัฐประหาร ยังไปแสดงท่าทีหนุนผู้ทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่างหน้าตาเฉย
คำว่า “ปฏิรูป” มีความไพเราะในทางภาษา แต่ในเชิงประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไทยแล้ว นี่คือคำอัปมงคลอย่างยิ่งทีเดียว
จะเรียกให้เท่ว่าเป็นศัพท์หรือวาทกรรมประเภท “ปิศาจบัญญัติ” ก็ยังได้
ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” ในเมืองไทยแทบทุกครั้งคล้ายจะแสดงเจตนารมณ์ประชาธิปไตย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับไปช่วยส่งเสริมระบอบตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยทุกทีไป เพราะท้ายที่สุดก็จะยื่นคอมาเจื้อยแจ้วกับมวลชนว่า เมืองไทยเรายังไม่พร้อม ต้องค่อยเป็นค่อยไป และรักษาโครงสร้างอำนาจที่เป็นอยู่ไปก่อน
ครับ “ปฏิรูป” ของคนเหล่านี้หมายถึงการรักษาสถานภาพเดิม (status quo) เท่านั้นเอง
ประชาชนไม่ได้อะไรเลย มิหนำซ้ำยังถูกด่าว่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจและทำภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายเสียอีก
คนที่มักพูดว่าต้องประนีประนอมนั้น ควรถามตัวเองเงียบๆ ว่าหลักการประชาธิปไตยอันแท้จริงนั้นประนีประนอมได้จริงหรือ
ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของคนอื่นไปก่อน ประชาชนค่อยเอาทีหลังหรือไม่ต้องสูงสุดก็ได้หรือ
เสรีภาพมีบ้างไม่มีบ้าง เรื่องไหนเขาใจดีให้มี ก็มี เรื่องไหนขัดผลประโยชน์เขา เขาไม่ให้ ก็ต้องหมอบกราบยอมรับกระนั้นหรือ
หลักกฎหมายหรือนิติธรรม ที่มาของความยุติธรรม มีบ้างไม่มีบ้างก็ได้หรือ ฯลฯ
ถ้าคิดอย่างวิญญูชนแล้ว จะพบว่าหลักการเหล่านี้ประนีประนอมไม่ได้หรอกครับ มีทางเลือก ๒ ทางเท่านั้นคือ มี หรือ ไม่มีประชาธิปไตยในบ้านเมือง
มองในแง่ดี คนที่เสนอ “ปฏิรูป” บางคนอาจจะหวังให้เป็นยุทธวิธี แต่ขอให้ดูของจริงประกอบไปด้วยเถิดว่า ผู้มีอำนาจรัฐที่เข้ามาปะเหลาะฝ่ายประชาชนในอดีตให้ยอมรับ “ปฏิรูป” แทน “ปฏิวัติ” นั้น ในที่สุดแล้วเป็นหมาจิ้งจอกที่สวมขนแกะอารีมาคุยกับท่านใช่หรือไม่ สุดท้ายท่านก็ร่วมปล้นหลักการประชาธิปไตยจากมือประชาชนไปใส่มือเขา จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามใช่หรือไม่
แต่ละท่านก็อาวุโสมากแล้ว ทำบุญให้กับคนรุ่นหลังด้วยการให้กำลังใจและประสบการณ์กับเขาเถิดครับ อย่ามาหลอกล่อลูกหลานเพื่อจะได้เป็นใหญ่และลบปมด้อยอดีตของตัวเองอีกต่อไปเลย
หยุดหลอกเถิดครับว่า “ปฏิรูป” จะทำให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงในประเทศไทยได้ ล้มลุกคลุกคลานมากี่หนกี่ครั้งแล้วจำไม่ได้หรือครับ
การสถาปนาประชาธิปไตยแท้จริงในเมืองไทยได้ ต้องกระทำโดยกระบวนการปฏิวัติอย่างสันติ เป้าหมายคือโอนถ่ายอำนาจอธิปไตยในมืออำมาตย์มาเป็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเท่านั้น
ถ้าหากฟังคำว่า ปฏิวัติ แล้วสะดุ้งตกใจ ก็ควรร่วมกันอธิบายความต่อมวลชนที่ยังไม่กระจ่างให้ท่านรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าคำๆ นี้เป็นเพียงยุทธศาสตร์ของภารกิจ ส่วนเป้าหมายคือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ด้วยความเคารพนบนอบในมหาประชาชน ไม่ใช่ฆ่าฟันกันเป็นบ้าเหมือนเขมรแดง
อย่าลืมว่าถ้าเราเป็นมหาอำมาตย์ในวันนี้ เราก็ต้องคิดฮุบขบวนการเสื้อแดง ดูดกลืนเอามาเป็นของเรา เพราะสีเหลืองอย่างเดียวไม่เพียงพอเสียแล้ว เราต้องการทั้งสีเหลือง สีชมพู สีขาว และสีแดงมาเป็นฐาน เราจึงจะตั้งตัวอยู่บนนั้นได้อย่างมั่นคง
ถ้า “ปฏิรูป” แล้วอำนาจรัฐไม่เปลี่ยนมือ ได้แต่เล่นละครเป็นรัฐบาลไปวันๆ ก็เท่ากับช่วยให้แผนฮุบเสื้อแดงเป็นผลมากขึ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีภารกิจต่อเนื่องจาก ดร.ปรีดี พนมยงค์ ครับ ไม่ใช่ต่อจากการปล้นบ้านเมืองตามคำสั่งนายอย่างพลเรือเอกสงัด ชลออยู่.
--------------------------------TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)