ที่มา thaifreenews
โดย Yang Wenli
“กูจะไปหา ‘ความเป็นธรรม’ จากแผ่นดินอื่น (โว้ย)!!!”
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข้อเขียน ของ “วาทตะวัน” ตลอดมา คงจะทราบดีว่า ผมได้กล่าวโทษเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ของอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ผมต้องตั้งฉายาให้อย่างน่าเกรงขาม เพราะหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 นั้น “ไอ้บัง กบฏ” มันตั้งให้ “เลดีดั๊ก” คนนี้มีอำนาจบาตรใหญ่คับฟ้า จนดูเหมือน “ยักษ์” กระบองโต ดังปรากฏในข้อเขียนของผม ที่เปิดโปงหลักฐานทุจริตแน่นหนา ที่พัวพันไปถึงผู้หญิงคนนี้ ในข้อเขียน ชื่อ
จารุวรรณ “เป็ด หัวยักษ์” โป๊ะเชะ!!!
http://www.vattavan.co/content_page_detail.php?cont_id=145
จากนั้นก็กระแทกซ้ำเข้าไปอีกดอก ด้วยบทความชื่อเข้มข้น
จารุวรรณ เมณฑกา ใสซื่อหรือ...โสโครก!?”
http://www.vattavan.com/content_page_detail.php?cont_id=149
นี่เอง ที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องเริ่มกระบวนตามหน้าที่ แม้การสืบสวนของหน่วยงานนี้จะดำเนินไปอย่างล่าช้า เหมือนการคืบคลานของตัวดักแด้ก็ตาม แต่ก็มาถึงจุดที่ “เลดี้ดั๊ก” คนดัง ต้องพังครืนลงมา เพราะในที่สุดก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางคดี เรื่องคอรัปชั่นจนได้
ทั้งนี้เพราะ...
เมื่อ 5 พ.ย. 2010 นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวน ออกมาให้ข่าว ว่า
กำลังจะแจ้งข้อหา จารุวรรณ เมณฑกา ฐานขอตั๋วบินฟรีการบินไทยให้ลูก และเบิกงบกฐินหลวง
อีกไม่นานนัก คนอย่าง ยัย “เป็ด หัวยักษ์” ที่เป็นหัวเรือใหญ่ ในการกล่าวหา “ทักษิณ” ว่า ทุจริตนั้น จะต้องเผชิญกรรม ในข้อหาดียวกัน อย่างไรบ้าง?
เช่นเดียวกันกับขบวนการพันธมาร ที่ผมเขียนบทความเอาไว้เมื่อ 20 สิงหาคม 2553 ชื่อเรื่องว่า
คดีก่อการร้ายในประเทศไทย ถึงทางแยกแล้ว!!! (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=245)
ผมยืนยันชัดเจนในข้อเขียนว่า อย่างไรเสียตำรวจก็ต้อง
“สั่งฟ้อง” คน กลุ่มนี้ในข้อหาหนักเบาต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ต่อจากนี้ไปอีกหลายปี
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น นับจากนี้ไป ก็จะไม่มีความเป็นปกติ แม้จะทำปากแข็งขนาดไหน แต่คนที่ต้องไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในคอกจำเลยหลายๆคดีเข้า
จะไปหาความสุขกะเขา ที่ไหนได้?
จึงนับได้ว่า กลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณอีกชุดหนึ่ง กำลังจะชดใช้กรรม ที่ได้กระทำต่อ “ทักษิณ” และทำลายชาติบ้านเมือง แม้การพิจารณาอาจไม่รวดเร็ว เหมือนกับเรื่องของยัย “เป็ด หัวยักษ์” ซึ่งจะขึ้นเพียงศาลเดียวเท่านั้น คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับการดำเนินคดีกับทักษิณ โดยใช้กฏหมายพิเศษ คือการตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาชุดหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า “ค.ต.ส.” ซึ่งมีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธานกรรมการ ที่ทำท่าเป็นพระเอกเหลือเกินในตอนแรกๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า
จน กระทั่งหมดเวลา ที่ ไอ้ “บัง กบฎ” มันตั้งเวลาให้ทำการสอบสวน นายนามกับพวก ก็ยังไม่สามารถดำเนินคดี จนถึงขั้นฟ้องร้องนายกทักษิณ ว่า
โกงหรือคอรัปชั่นได้ แม้แต่คดีเดียว!
ตลกตายห่า!!
คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษนายกฯทักษิณ ก็เป็นเพียงความผิดตามกฏหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 ไม่ใช่ข้อหาทุจริต แต่ศาลท่านก็ลงโทษจำคุกเต็มที่ โดยไม่รอการลงโทษแต่อย่างใด
แต่เราต้องระลึกว่า
คดีนี้ การสอบสวนอันเป็นเหตุทำให้คุณทักษิณต้องขึ้นศาลนั้น กระทำโดย คณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร เป็นการตั้งขึ้นมา เพื่อสอบสวนคนๆเดียว คือนายกฯทักษิณ ที่ฝ่าย “ไอ้บัง กบฎ” กับพวกเห็นว่าเป็น
ศัตรูของพวกมัน!
ท่านสาธุชนคนดีทั้งหลาย ที่รักประชาธิปไตย ลองไตรตรองดูว่า การกระทำอย่างนี้ เป็นธรรมหรือไม่?
บอกให้ก็ได้ว่า
เราๆ ท่านๆ ไม่ต้องออกความเห็น แต่มีผู้พิพากษาศาลฎีกาคือ ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ได้มีความเห็นในคำพิพากษาด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง ว่า
การรัฐประหารนั้น ไม่ชอบด้วยกฏหมาย!
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลไทยเราดันไปยอมรับว่า การรัฐประหารนั้น หากกระทำสำเร็จ ถือว่าผู้กระทำได้อำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชน ไปเป็นของตัว
มันจะจับกุมคุมขัง ยึดทรัพย์ผู้คน ออกคำสั่งให้ใครไปติดตะราง ย่อมกระทำได้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังออกกฏหมายกดหมาได้ตามอำเภอใจ!
ผู้ ที่เห็นด้วกับการรัฐประหารก็มี โดยคนพวกนี้ก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ให้เป็นสภาสากกระเบือของคณะรัฐประหาร ฟาดเงินภาษีประชาชนในรูปเงินเดือน ค่าตอบแทนกันเปรมไป และยังหน้าด้านร่าง “รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ” เอื้อให้กับพรรคพวกของตน ด้วยการเข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาได้ โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น
ที่ น่าทุเรศอย่างยิ่งคือ มันรวมหัวกันเขียน “รัดทำมะนวย”อัปรีย์จนไอ้คนที่เคยทำโทรทัศน์จนเจ๊งคามือ ก็ได้โทรทัศน์ใหม่ 1 สถานี มาบริหารเล่น พร้อมกับงบประมาณปีละ 1,500 ล้าน ในขณะที่กรมประชาสัมพันธ์ มีทั้งสถานีโทรทัศน์ทุกภูมิภาค สถานีวิทยุอีกนับสิบๆ ข้าราชการทำงานในองค์กรมากมาย แต่กลับได้งบประมาณ น้อยกว่าไอ้สถานีเวรตะไลนั่นสียอีก
ดูมันทำ!
การเลือก ตั้งหลังรัฐประหาร 2549 แม้พรรคทักษิณได้รับชัยชนะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมกับพันธมิตร เคลื่อนไหวทางการเมืองหนักหน่วง โดย ส.ส. ของพรรคเก่ากะลาได้เป็นแกนนำเสียเอง จนสามารถวิ่งราวอำนาจในการบริหารบ้านเมืองไปได้
หลัง เหตุการณ์รุนแรง เมื่อเดือน เม.ย.และ พ.ค.2553 การสอบสวนคดีที่มีผู้เสียชีวิต จำนวนนับร้อยศพ อันเนื่องมาจากเหตุชุมนุม ดำเนินไปอย่างล่าช้า โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในสอบสวน DSI เป็นผู้ดำเนินการสอบสวน โดยถือว่าเป็นคดีพิเศษ ไม่ให้ตำรวจสอบสวน
มาถึงวันนี้ DSI ดูจะกลายสภาพเป็นหน่วยงานทางการเมืองแบบ Gestapo ไปสมบูรณ์แบบแล้ว โดยสื่อไม่สามารถติดตามการสอบสวนได้ ทุกอย่างมืดตึ๊ดตื๋อ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
เหตุที่รัฐบาลไม่กล้าใช้หน่วยงาน ที่มีหน้าที่ในการสอบสวนคดีตามปกติ คือเจ้าพนักงานตำรวจ ก็เพราะรัฐบาลโลซกมันเกรงว่า หากให้ตำรวจสอบสวนแล้ว จะควบคุมไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า
การ สอบสวนของตำรวจนั้น มีกฏระเบียบที่เคร่งครัด ยิ่งคดีใหญ่ๆ การสอบสวนเป็นคณะ มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย นายตำรวจส่วนใหญ่ จะไม่มีวันยอมบิดเบี้ยว หรือเสี่ยงในคดีที่ตั้งเป็นรูปคณะกรรมการ เพื่อช่วยพรรคการเมืองที่ครองอำนาจ เพราะจะกลายเป็นฝ่าย...
ติดตะรางเสียเอง!
ดังนั้น การถูกฆ่าตายของคนไทย เป็นร้อยศพกลางเมืองนั้น อาจไม่มีความหมาย เพราะรัฐบาลโลซกชุดนี้ มันไม่สนใจที่จะสอบสวนอย่างจริงจัง แต่บังเอิญมีชาวต่างประเทศ ที่มาตายในเหตุการณ์นี้ด้วย โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลของเขา ไม่ยอมให้เรื่องนี้หายไป จึงติดตามตลอด เช่นเดียวกับทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ที่ไม่ยอมให้คนชาติเขาต้องตายเปล่า
เมื่อ เห็นว่า รัฐบาลโลซกของไทย ไม่สามารถให้ความกระจ่างในคดีได้ ญี่ปุ่นจึงแสดงออกทางสัญลักษณ์ ถึงความไม่พอใจ ด้วยการให้ นายคัตสึยะ โอกาดะ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น เดินทางมาเมืองไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2553 และไปวางดอกไม้พร้อมยืนไว้อาลัยให้ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น สังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกสังหารระหว่างเหตุการณ์ที่กำลังทหารไทย พร้อมยานเกราะเต็มอัตราศึก ปฏิบัติการรุก “เข้าตี” ผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว
เมื่อญี่ปุ่นเขาเห็นว่า รัฐบาลอัปลักษณ์ของนายมาร์ค มุกควาย ยังทำหนังหนาหน้าทน ไม่เร่งรัดการดำเนินคดีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แม้เขาสอบถามไปทาง DSI แล้ว ก็ออกอาการเหมือน ‘ใบ้แดก’ เพราะเงียบสนิท ไม่มีความก้าวหน้าทางคดี หรือความกระจ่างใดๆเลย นั่นเป็นเรื่องที
ญี่ปุ่นยอมไม่ได้!
ดังนั้น เมื่อ 19 ต.ค. 2553 สถานทูตญี่ปุ่นจึงถือโอกาสที่นักข่าวเขาตายครบ 6 เดือน ส่งนายโนบุเอกิ อิโต อัครราชทูตฝ่ายการเมืองของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยนายจุน มารุยาม่า เลขานุการเอกและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ร่วมกันดำเนินการเชิงรุกเต็มรูป เข้ากดดันผ่านทางรัฐสภาของไทย
ทาง สมาชิกวุฒิสภา ก็พลอยผสมโรง รุมอัด DSI อย่างหนักหน่วง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนพิเศษ ก็ได้แต่แก้ตัวตะกุกตะกัก ทั้งๆที่การสอบสวนในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ที่สำคัญคือ สมาชิกวุฒิสภาต่างพากันสันนิษฐานว่า
ทาง DSI ปกปิดข้อมูลให้ ศอฉ.!
นี่ผมเอาข่าวมาเขียน แบบเนื้อๆ โดยไม่ได้ตัดเติมเสริมต่อแต่อย่างใด และในฐานะที่ผู้เขียนเคยเป็นพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน และอาจารย์สอนการสอบสวนคดีอาญามาก่อน รวมทั้งเคยศึกษา ในสถาบันกระบวนการยุติธรรม ระดับสูงของญี่ปุ่น ได้รู้ถึงประสิทธิภาพ ในการทำงานของชาวอาทิตย์อุทัยพอสมควร จึงความเชื่อเป็นส่วนตัวว่า
บัดนี้ ทางญี่ปุ่นต้องรู้แล้วว่า นักข่าวของเขา ตายเพราะฝีมือใคร!!?
อยากจะบอก กับผู้กุมอำนาจขณะนี้ว่า
อย่า ได้ทำเล่นกับเรื่องญี่ปุ่น เพราะเรื่องของชาติบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องใหญ่นัก สำหรับคนสายเลือดบูชิโด หากเขา “ไม่เอา” กับประเทศไทย เราจะเดือดร้อนมาก เพราะญีปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนสูงสุดในประเทศไทย
อยากจะยกตัวอย่าง ให้เห็นกันสักเรื่อง
เมื่อ ราวเกือบสี่สิบปีก่อน เห็นจะได้ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นถูกแทงตายในถนนพัฒน์พงษ์ สถานทูตญี่ปุ่นแนะนำไม่ให้คนของเขา เข้ามาในถนนสายนี้
จาก นั้นมา เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นในถนนพัฒน์พงษ์อีกเลย นอกจากคนญี่ปุ่น ที่พลัดหลงเข้าไปโดยบังเอิญ และนักธุรกิจญี่ปุ่นร่วมกับคนไทย ไปเปิดธุรกิจคู่ขนานกับถนนพัฒน์พงษ์ บนถนนเส้นใหม่ ชื่อ
“ธนิยะ”
เรื่องนี้ลองถามคนที่คุ้นกับถนนพัฒน์พงศ์ อย่างอดีต บก.สยามรัฐและชาวกรุงอย่าง คุณ “นพพร บุณยะฤทธิ์” ดู ท่านจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง อย่างที่ผมเล่านี่แหละ
ลองคิดกันดูก็แล้วกัน ถ้าญี่ปุ่น “บอยคอต” เมืองไทย เหมือนที่ทำกับถนนพัฒน์พงษ์ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น!?
ยังไม่อยากจะคิด!!
หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เมืองไทยของเราก็เสื่อมทรามลงในทุกๆด้าน จนปรากฏต่อสายตาของชาวโลก ที่ตกใจเพราะเคยมองไทยป็นชาติที่สงบ ผู้คนยิ้มแย้มมีอัธยาศัย บ้านเมืองหรือก็มีภูมิประเทศสวยงาม อุดมไปแหล่งท่องเที่ยวที่ยากจะหาชาติไหนเทียบเทียมได้ เปี่ยมล้นไปด้วยความมีเสรี แต่พลันกลายกลับเป็นแดนมิคสัญญี ไม่น่าสัมผัสอีกต่อไปอีกแล้ว
เริ่มมาจากความระยำของ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกแท้ๆ!
ทั้งนี้ สื่อใหญ่ต่างประเทศ ได้ตอกย้ำความเป็นบ้านเมืองที่ “น่ากลัว” ของไทยเอาไว้ชัดเจน กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน สำนักข่าวใหญ่อย่าง “รอยเตอร์” เผยแพร่รายงานประเมินความเสี่ยงภัย ของแต่ละประเทศ โดยได้ระบุว่า
ไทยยังคงมีความแตกแยกในสังคม อย่าง “ลึกซึ้ง” โดย ที่ยังไม่มีวี่แววว่า ฝักฝ่ายต่างๆทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองและชนบทกลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มชนชั้นนำ ข้าราชการและกองทัพจะสามารถหาข้อยุติของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ในทางตรงกันข้าม ความแตกแยกดังกล่าวกลับมีมากขึ้น และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศมากยิ่งขึ้นไปอีก
ใช่แต่แค่นั้นนะครับ
สื่อยักษ์ที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อย่างนิวยอร์กไทม์ รายงานเรื่อง Freedom Index หรือ ดัชนีเสรีภาพของสื่อ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ซึ่งจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ไทยเราตกลงไปที่อันดับ 153 จาก 178 ประเทศ เป็นการตกลงไปแบบทะรูดทะราด เพราะปี 2002 ไทยเราเคยอยู่ในลำดับอยู่ที่ 65 พอถึงปี 2009 ตกไปอยู่ที่ 130
ปีนี้รูดลงไปอีก 23 อันดับ เป็น 153!
ดูดัชนีแล้ว...หดหู่หัวใจนัก!!
New York Times ไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่สื่อยักษ์ยังหยิบเอาความเห็นของ ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ อาจารย์เก่าแก่ของคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ มาตอกย้ำเข้าไปด้วย
“ดัชนีมันร่วงเอาร่วงเอา และเราไม่รู้ว่ามันจะตกลงไปถึงเมื่อไหร่"
เธอจาระไนต่อไปอีกว่า
“เมื่อ แรกมอง ใครๆก็เห็นว่ามันยังมีเสรีภาพสื่อ แต่ถ้าดู เข้าไปใกล้ๆ เราต้องสรุปแล้วว่าปัญหามันรุนแรงมาก เพราะความคิดเห็นของฝ่ายตรงกันข้าม ถูกปัดกวาดออกไปหมด และ... ต้องมุดลงดิน"
อุบลรัตน์ หรือ “อาจารย์ย่า” กล่าวอย่างท้อแท้!!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรัก
ระหว่าง ที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ ผมได้ยินผู้อ่านข่าวโทรทัศน์บ้านเราได้รายงานข่าว สหรัฐอเมริกาและอังกฤษวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งในพม่าว่า
…การเลือกตั้งครั้งนี้ ขาดแค่ “เสรีภาพและความยุติธรรม” เท่านั้น...
ถากถางนิ่มๆ แต่...เลือดซิบๆเลย!
หากท่านได้อ่านบทความของผม มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นติดตามการที่คนของเขาที่ถูกฆ่า ก็เพราะกระบวนการของบ้านเรานั้น
ให้ความเป็นธรรมกับเขาไม่ได้!
สื่อยักษ์ที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อย่าง “นิวยอร์กไทม์” และสำนักข่าวใหญ่อย่าง “รอยเตอร์” ก็แสดงความเห็นได้ชัดเจนว่า
สถานการณ์ในเมืองไทย ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพม่าเพื่อนบ้านนัก คือเขามองว่า
ประเทศไทยของเรานั้น กำลังถดถอยไป กลายเป็นบ้านเมืองที่แตกแยกลึกซึ้ง เพราะขาดทั้ง
“เสรีภาพ และความยุติธรรม”
ด้วยเหตุ ฉะนี้ ผมจึงไม่แปลกใจเลย ที่สื่อลงข่าวเรื่องมีผู้พยายามจะลากเอาเรื่องเลวร้าย ของรัฐบาลโลซก แห่งประเทศไทย ไปสู่ศาลนานาชาติ หรือประจานบนเวทีต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องปัจจัยพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ
เรื่องของ “เสรีภาพ และความยุติธรรม” และที่ทำอย่างนั้น ก็เพราะคนเหล่านั้นต่างเห็นว่า
พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ในบ้านเมืองของตัวนั่นเอง!
คนไทยเรานั้น รักอิสระภาพและความเป็น “ไท” กับตัวเอง เกลียดการข่มเหงเข้ากระดูกดำ ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่พวกเราแสวงหามา ตั้งแต่เคลื่อนย้ายจากเทือกเขาอัลไต จนยาตราเข้ามาลงหลักปักถ่อ ณ ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้
เมื่อคนบ้านเราซึ่งเป็นชนชาติเดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่เรียกตัวเอง ว่าเป็นพวก Free หรือ “ไท” อย่างนี้แล้ว...
ดัง นั้น หากวันใดที่พวกเขารู้สึกว่า บ้านนี้เมืองนี้ ได้ขาดแล้วซึ่ง“เสรีภาพและความยุติธรรม” อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความเป็น“ไท” ผมจึงไม่แปลกใจเลย ถ้าผู้ที่มีคำว่า Free อยู่ในหัวใจเหล่านั้น จะพากันออกมาร้องตะโกนให้ดังกู่ก้อง จนได้ยินไปทัวกันว่า
“กูจะไปหา ‘ความเป็นธรรม’ จากแผ่นดินอื่น (โว้ย)!!!”
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข้อเขียน ของ “วาทตะวัน” ตลอดมา คงจะทราบดีว่า ผมได้กล่าวโทษเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ของอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ผมต้องตั้งฉายาให้อย่างน่าเกรงขาม เพราะหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 นั้น “ไอ้บัง กบฏ” มันตั้งให้ “เลดีดั๊ก” คนนี้มีอำนาจบาตรใหญ่คับฟ้า จนดูเหมือน “ยักษ์” กระบองโต ดังปรากฏในข้อเขียนของผม ที่เปิดโปงหลักฐานทุจริตแน่นหนา ที่พัวพันไปถึงผู้หญิงคนนี้ ในข้อเขียน ชื่อ
จารุวรรณ “เป็ด หัวยักษ์” โป๊ะเชะ!!!
http://www.vattavan.co/content_page_detail.php?cont_id=145
จากนั้นก็กระแทกซ้ำเข้าไปอีกดอก ด้วยบทความชื่อเข้มข้น
จารุวรรณ เมณฑกา ใสซื่อหรือ...โสโครก!?”
http://www.vattavan.com/content_page_detail.php?cont_id=149
นี่เอง ที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องเริ่มกระบวนตามหน้าที่ แม้การสืบสวนของหน่วยงานนี้จะดำเนินไปอย่างล่าช้า เหมือนการคืบคลานของตัวดักแด้ก็ตาม แต่ก็มาถึงจุดที่ “เลดี้ดั๊ก” คนดัง ต้องพังครืนลงมา เพราะในที่สุดก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางคดี เรื่องคอรัปชั่นจนได้
ทั้งนี้เพราะ...
เมื่อ 5 พ.ย. 2010 นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวน ออกมาให้ข่าว ว่า
กำลังจะแจ้งข้อหา จารุวรรณ เมณฑกา ฐานขอตั๋วบินฟรีการบินไทยให้ลูก และเบิกงบกฐินหลวง
อีกไม่นานนัก คนอย่าง ยัย “เป็ด หัวยักษ์” ที่เป็นหัวเรือใหญ่ ในการกล่าวหา “ทักษิณ” ว่า ทุจริตนั้น จะต้องเผชิญกรรม ในข้อหาดียวกัน อย่างไรบ้าง?
เช่นเดียวกันกับขบวนการพันธมาร ที่ผมเขียนบทความเอาไว้เมื่อ 20 สิงหาคม 2553 ชื่อเรื่องว่า
คดีก่อการร้ายในประเทศไทย ถึงทางแยกแล้ว!!! (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=245)
ผมยืนยันชัดเจนในข้อเขียนว่า อย่างไรเสียตำรวจก็ต้อง
“สั่งฟ้อง” คน กลุ่มนี้ในข้อหาหนักเบาต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ต่อจากนี้ไปอีกหลายปี
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น นับจากนี้ไป ก็จะไม่มีความเป็นปกติ แม้จะทำปากแข็งขนาดไหน แต่คนที่ต้องไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในคอกจำเลยหลายๆคดีเข้า
จะไปหาความสุขกะเขา ที่ไหนได้?
จึงนับได้ว่า กลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณอีกชุดหนึ่ง กำลังจะชดใช้กรรม ที่ได้กระทำต่อ “ทักษิณ” และทำลายชาติบ้านเมือง แม้การพิจารณาอาจไม่รวดเร็ว เหมือนกับเรื่องของยัย “เป็ด หัวยักษ์” ซึ่งจะขึ้นเพียงศาลเดียวเท่านั้น คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับการดำเนินคดีกับทักษิณ โดยใช้กฏหมายพิเศษ คือการตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาชุดหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า “ค.ต.ส.” ซึ่งมีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธานกรรมการ ที่ทำท่าเป็นพระเอกเหลือเกินในตอนแรกๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า
จน กระทั่งหมดเวลา ที่ ไอ้ “บัง กบฎ” มันตั้งเวลาให้ทำการสอบสวน นายนามกับพวก ก็ยังไม่สามารถดำเนินคดี จนถึงขั้นฟ้องร้องนายกทักษิณ ว่า
โกงหรือคอรัปชั่นได้ แม้แต่คดีเดียว!
ตลกตายห่า!!
คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษนายกฯทักษิณ ก็เป็นเพียงความผิดตามกฏหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 ไม่ใช่ข้อหาทุจริต แต่ศาลท่านก็ลงโทษจำคุกเต็มที่ โดยไม่รอการลงโทษแต่อย่างใด
แต่เราต้องระลึกว่า
คดีนี้ การสอบสวนอันเป็นเหตุทำให้คุณทักษิณต้องขึ้นศาลนั้น กระทำโดย คณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร เป็นการตั้งขึ้นมา เพื่อสอบสวนคนๆเดียว คือนายกฯทักษิณ ที่ฝ่าย “ไอ้บัง กบฎ” กับพวกเห็นว่าเป็น
ศัตรูของพวกมัน!
ท่านสาธุชนคนดีทั้งหลาย ที่รักประชาธิปไตย ลองไตรตรองดูว่า การกระทำอย่างนี้ เป็นธรรมหรือไม่?
บอกให้ก็ได้ว่า
เราๆ ท่านๆ ไม่ต้องออกความเห็น แต่มีผู้พิพากษาศาลฎีกาคือ ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ได้มีความเห็นในคำพิพากษาด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง ว่า
การรัฐประหารนั้น ไม่ชอบด้วยกฏหมาย!
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลไทยเราดันไปยอมรับว่า การรัฐประหารนั้น หากกระทำสำเร็จ ถือว่าผู้กระทำได้อำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชน ไปเป็นของตัว
มันจะจับกุมคุมขัง ยึดทรัพย์ผู้คน ออกคำสั่งให้ใครไปติดตะราง ย่อมกระทำได้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังออกกฏหมายกดหมาได้ตามอำเภอใจ!
ผู้ ที่เห็นด้วกับการรัฐประหารก็มี โดยคนพวกนี้ก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ให้เป็นสภาสากกระเบือของคณะรัฐประหาร ฟาดเงินภาษีประชาชนในรูปเงินเดือน ค่าตอบแทนกันเปรมไป และยังหน้าด้านร่าง “รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ” เอื้อให้กับพรรคพวกของตน ด้วยการเข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาได้ โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น
ที่ น่าทุเรศอย่างยิ่งคือ มันรวมหัวกันเขียน “รัดทำมะนวย”อัปรีย์จนไอ้คนที่เคยทำโทรทัศน์จนเจ๊งคามือ ก็ได้โทรทัศน์ใหม่ 1 สถานี มาบริหารเล่น พร้อมกับงบประมาณปีละ 1,500 ล้าน ในขณะที่กรมประชาสัมพันธ์ มีทั้งสถานีโทรทัศน์ทุกภูมิภาค สถานีวิทยุอีกนับสิบๆ ข้าราชการทำงานในองค์กรมากมาย แต่กลับได้งบประมาณ น้อยกว่าไอ้สถานีเวรตะไลนั่นสียอีก
ดูมันทำ!
การเลือก ตั้งหลังรัฐประหาร 2549 แม้พรรคทักษิณได้รับชัยชนะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมกับพันธมิตร เคลื่อนไหวทางการเมืองหนักหน่วง โดย ส.ส. ของพรรคเก่ากะลาได้เป็นแกนนำเสียเอง จนสามารถวิ่งราวอำนาจในการบริหารบ้านเมืองไปได้
หลัง เหตุการณ์รุนแรง เมื่อเดือน เม.ย.และ พ.ค.2553 การสอบสวนคดีที่มีผู้เสียชีวิต จำนวนนับร้อยศพ อันเนื่องมาจากเหตุชุมนุม ดำเนินไปอย่างล่าช้า โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในสอบสวน DSI เป็นผู้ดำเนินการสอบสวน โดยถือว่าเป็นคดีพิเศษ ไม่ให้ตำรวจสอบสวน
มาถึงวันนี้ DSI ดูจะกลายสภาพเป็นหน่วยงานทางการเมืองแบบ Gestapo ไปสมบูรณ์แบบแล้ว โดยสื่อไม่สามารถติดตามการสอบสวนได้ ทุกอย่างมืดตึ๊ดตื๋อ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
เหตุที่รัฐบาลไม่กล้าใช้หน่วยงาน ที่มีหน้าที่ในการสอบสวนคดีตามปกติ คือเจ้าพนักงานตำรวจ ก็เพราะรัฐบาลโลซกมันเกรงว่า หากให้ตำรวจสอบสวนแล้ว จะควบคุมไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า
การ สอบสวนของตำรวจนั้น มีกฏระเบียบที่เคร่งครัด ยิ่งคดีใหญ่ๆ การสอบสวนเป็นคณะ มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย นายตำรวจส่วนใหญ่ จะไม่มีวันยอมบิดเบี้ยว หรือเสี่ยงในคดีที่ตั้งเป็นรูปคณะกรรมการ เพื่อช่วยพรรคการเมืองที่ครองอำนาจ เพราะจะกลายเป็นฝ่าย...
ติดตะรางเสียเอง!
ดังนั้น การถูกฆ่าตายของคนไทย เป็นร้อยศพกลางเมืองนั้น อาจไม่มีความหมาย เพราะรัฐบาลโลซกชุดนี้ มันไม่สนใจที่จะสอบสวนอย่างจริงจัง แต่บังเอิญมีชาวต่างประเทศ ที่มาตายในเหตุการณ์นี้ด้วย โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลของเขา ไม่ยอมให้เรื่องนี้หายไป จึงติดตามตลอด เช่นเดียวกับทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ที่ไม่ยอมให้คนชาติเขาต้องตายเปล่า
เมื่อ เห็นว่า รัฐบาลโลซกของไทย ไม่สามารถให้ความกระจ่างในคดีได้ ญี่ปุ่นจึงแสดงออกทางสัญลักษณ์ ถึงความไม่พอใจ ด้วยการให้ นายคัตสึยะ โอกาดะ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น เดินทางมาเมืองไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2553 และไปวางดอกไม้พร้อมยืนไว้อาลัยให้ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น สังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ถูกสังหารระหว่างเหตุการณ์ที่กำลังทหารไทย พร้อมยานเกราะเต็มอัตราศึก ปฏิบัติการรุก “เข้าตี” ผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว
เมื่อญี่ปุ่นเขาเห็นว่า รัฐบาลอัปลักษณ์ของนายมาร์ค มุกควาย ยังทำหนังหนาหน้าทน ไม่เร่งรัดการดำเนินคดีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แม้เขาสอบถามไปทาง DSI แล้ว ก็ออกอาการเหมือน ‘ใบ้แดก’ เพราะเงียบสนิท ไม่มีความก้าวหน้าทางคดี หรือความกระจ่างใดๆเลย นั่นเป็นเรื่องที
ญี่ปุ่นยอมไม่ได้!
ดังนั้น เมื่อ 19 ต.ค. 2553 สถานทูตญี่ปุ่นจึงถือโอกาสที่นักข่าวเขาตายครบ 6 เดือน ส่งนายโนบุเอกิ อิโต อัครราชทูตฝ่ายการเมืองของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยนายจุน มารุยาม่า เลขานุการเอกและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ร่วมกันดำเนินการเชิงรุกเต็มรูป เข้ากดดันผ่านทางรัฐสภาของไทย
ทาง สมาชิกวุฒิสภา ก็พลอยผสมโรง รุมอัด DSI อย่างหนักหน่วง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนพิเศษ ก็ได้แต่แก้ตัวตะกุกตะกัก ทั้งๆที่การสอบสวนในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ที่สำคัญคือ สมาชิกวุฒิสภาต่างพากันสันนิษฐานว่า
ทาง DSI ปกปิดข้อมูลให้ ศอฉ.!
นี่ผมเอาข่าวมาเขียน แบบเนื้อๆ โดยไม่ได้ตัดเติมเสริมต่อแต่อย่างใด และในฐานะที่ผู้เขียนเคยเป็นพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน และอาจารย์สอนการสอบสวนคดีอาญามาก่อน รวมทั้งเคยศึกษา ในสถาบันกระบวนการยุติธรรม ระดับสูงของญี่ปุ่น ได้รู้ถึงประสิทธิภาพ ในการทำงานของชาวอาทิตย์อุทัยพอสมควร จึงความเชื่อเป็นส่วนตัวว่า
บัดนี้ ทางญี่ปุ่นต้องรู้แล้วว่า นักข่าวของเขา ตายเพราะฝีมือใคร!!?
อยากจะบอก กับผู้กุมอำนาจขณะนี้ว่า
อย่า ได้ทำเล่นกับเรื่องญี่ปุ่น เพราะเรื่องของชาติบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องใหญ่นัก สำหรับคนสายเลือดบูชิโด หากเขา “ไม่เอา” กับประเทศไทย เราจะเดือดร้อนมาก เพราะญีปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนสูงสุดในประเทศไทย
อยากจะยกตัวอย่าง ให้เห็นกันสักเรื่อง
เมื่อ ราวเกือบสี่สิบปีก่อน เห็นจะได้ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นถูกแทงตายในถนนพัฒน์พงษ์ สถานทูตญี่ปุ่นแนะนำไม่ให้คนของเขา เข้ามาในถนนสายนี้
จาก นั้นมา เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นในถนนพัฒน์พงษ์อีกเลย นอกจากคนญี่ปุ่น ที่พลัดหลงเข้าไปโดยบังเอิญ และนักธุรกิจญี่ปุ่นร่วมกับคนไทย ไปเปิดธุรกิจคู่ขนานกับถนนพัฒน์พงษ์ บนถนนเส้นใหม่ ชื่อ
“ธนิยะ”
เรื่องนี้ลองถามคนที่คุ้นกับถนนพัฒน์พงศ์ อย่างอดีต บก.สยามรัฐและชาวกรุงอย่าง คุณ “นพพร บุณยะฤทธิ์” ดู ท่านจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง อย่างที่ผมเล่านี่แหละ
ลองคิดกันดูก็แล้วกัน ถ้าญี่ปุ่น “บอยคอต” เมืองไทย เหมือนที่ทำกับถนนพัฒน์พงษ์ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น!?
ยังไม่อยากจะคิด!!
หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เมืองไทยของเราก็เสื่อมทรามลงในทุกๆด้าน จนปรากฏต่อสายตาของชาวโลก ที่ตกใจเพราะเคยมองไทยป็นชาติที่สงบ ผู้คนยิ้มแย้มมีอัธยาศัย บ้านเมืองหรือก็มีภูมิประเทศสวยงาม อุดมไปแหล่งท่องเที่ยวที่ยากจะหาชาติไหนเทียบเทียมได้ เปี่ยมล้นไปด้วยความมีเสรี แต่พลันกลายกลับเป็นแดนมิคสัญญี ไม่น่าสัมผัสอีกต่อไปอีกแล้ว
เริ่มมาจากความระยำของ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกแท้ๆ!
ทั้งนี้ สื่อใหญ่ต่างประเทศ ได้ตอกย้ำความเป็นบ้านเมืองที่ “น่ากลัว” ของไทยเอาไว้ชัดเจน กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน สำนักข่าวใหญ่อย่าง “รอยเตอร์” เผยแพร่รายงานประเมินความเสี่ยงภัย ของแต่ละประเทศ โดยได้ระบุว่า
ไทยยังคงมีความแตกแยกในสังคม อย่าง “ลึกซึ้ง” โดย ที่ยังไม่มีวี่แววว่า ฝักฝ่ายต่างๆทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองและชนบทกลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มชนชั้นนำ ข้าราชการและกองทัพจะสามารถหาข้อยุติของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ในทางตรงกันข้าม ความแตกแยกดังกล่าวกลับมีมากขึ้น และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศมากยิ่งขึ้นไปอีก
ใช่แต่แค่นั้นนะครับ
สื่อยักษ์ที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อย่างนิวยอร์กไทม์ รายงานเรื่อง Freedom Index หรือ ดัชนีเสรีภาพของสื่อ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ซึ่งจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ไทยเราตกลงไปที่อันดับ 153 จาก 178 ประเทศ เป็นการตกลงไปแบบทะรูดทะราด เพราะปี 2002 ไทยเราเคยอยู่ในลำดับอยู่ที่ 65 พอถึงปี 2009 ตกไปอยู่ที่ 130
ปีนี้รูดลงไปอีก 23 อันดับ เป็น 153!
ดูดัชนีแล้ว...หดหู่หัวใจนัก!!
New York Times ไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่สื่อยักษ์ยังหยิบเอาความเห็นของ ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ อาจารย์เก่าแก่ของคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ มาตอกย้ำเข้าไปด้วย
“ดัชนีมันร่วงเอาร่วงเอา และเราไม่รู้ว่ามันจะตกลงไปถึงเมื่อไหร่"
เธอจาระไนต่อไปอีกว่า
“เมื่อ แรกมอง ใครๆก็เห็นว่ามันยังมีเสรีภาพสื่อ แต่ถ้าดู เข้าไปใกล้ๆ เราต้องสรุปแล้วว่าปัญหามันรุนแรงมาก เพราะความคิดเห็นของฝ่ายตรงกันข้าม ถูกปัดกวาดออกไปหมด และ... ต้องมุดลงดิน"
อุบลรัตน์ หรือ “อาจารย์ย่า” กล่าวอย่างท้อแท้!!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรัก
ระหว่าง ที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ ผมได้ยินผู้อ่านข่าวโทรทัศน์บ้านเราได้รายงานข่าว สหรัฐอเมริกาและอังกฤษวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งในพม่าว่า
…การเลือกตั้งครั้งนี้ ขาดแค่ “เสรีภาพและความยุติธรรม” เท่านั้น...
ถากถางนิ่มๆ แต่...เลือดซิบๆเลย!
หากท่านได้อ่านบทความของผม มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นติดตามการที่คนของเขาที่ถูกฆ่า ก็เพราะกระบวนการของบ้านเรานั้น
ให้ความเป็นธรรมกับเขาไม่ได้!
สื่อยักษ์ที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อย่าง “นิวยอร์กไทม์” และสำนักข่าวใหญ่อย่าง “รอยเตอร์” ก็แสดงความเห็นได้ชัดเจนว่า
สถานการณ์ในเมืองไทย ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพม่าเพื่อนบ้านนัก คือเขามองว่า
ประเทศไทยของเรานั้น กำลังถดถอยไป กลายเป็นบ้านเมืองที่แตกแยกลึกซึ้ง เพราะขาดทั้ง
“เสรีภาพ และความยุติธรรม”
ด้วยเหตุ ฉะนี้ ผมจึงไม่แปลกใจเลย ที่สื่อลงข่าวเรื่องมีผู้พยายามจะลากเอาเรื่องเลวร้าย ของรัฐบาลโลซก แห่งประเทศไทย ไปสู่ศาลนานาชาติ หรือประจานบนเวทีต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องปัจจัยพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ
เรื่องของ “เสรีภาพ และความยุติธรรม” และที่ทำอย่างนั้น ก็เพราะคนเหล่านั้นต่างเห็นว่า
พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ในบ้านเมืองของตัวนั่นเอง!
คนไทยเรานั้น รักอิสระภาพและความเป็น “ไท” กับตัวเอง เกลียดการข่มเหงเข้ากระดูกดำ ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่พวกเราแสวงหามา ตั้งแต่เคลื่อนย้ายจากเทือกเขาอัลไต จนยาตราเข้ามาลงหลักปักถ่อ ณ ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้
เมื่อคนบ้านเราซึ่งเป็นชนชาติเดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่เรียกตัวเอง ว่าเป็นพวก Free หรือ “ไท” อย่างนี้แล้ว...
ดัง นั้น หากวันใดที่พวกเขารู้สึกว่า บ้านนี้เมืองนี้ ได้ขาดแล้วซึ่ง“เสรีภาพและความยุติธรรม” อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความเป็น“ไท” ผมจึงไม่แปลกใจเลย ถ้าผู้ที่มีคำว่า Free อยู่ในหัวใจเหล่านั้น จะพากันออกมาร้องตะโกนให้ดังกู่ก้อง จนได้ยินไปทัวกันว่า
“กูจะไปหา ‘ความเป็นธรรม’ จากแผ่นดินอื่น (โว้ย)!!!”