WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, May 15, 2009

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2552

ที่มา ประชาไท

การเมือง

ส่งหมอพรทิพย์ลุย พิสูจน์กะโหลกในคอนเทเนอร์

เดลินิวส์ - กรณีพบตู้คอนเทเนอร์ต้องสงสัย 8 ตู้ จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกในอ่าวช่องแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จนมีญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬปี 2535 เข้าร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรีว่าให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ด้วยว่าภายในตู้คอนเทเนอร์มีอะไร หลังหลายปีที่ผ่านมา มีชาวประมงลากอวนติดกะโหลกมนุษย์ขึ้นมาด้วยหลายครั้ง เนื่องจากเชื่อว่าอาจจะเป็นสุสานกะโหลกของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 14 พ.ค. แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจพร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองทัพเรือ และตำรวจน้ำ สนับสนุนอำนวย ความสะดวกให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีพบตู้คอนเทเนอร์ปริศนาในทะเลหลายตู้ และหัวกะโหลกที่เรือลากอวนได้ เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬและประชาชนทั้งในและต่างประเทศ เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวแรงมากจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว

แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ตนได้เดินทางมาที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อประสานกับ พล.ร.ท.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และได้ประชุมวางแผนร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิ ทัพเรือภาคที่ 1 หมวดประดาน้ำและจู่โจม กรมสรรพาวุธทหารเรือ กรมอุทกศาสตร์ กรมวิทยาศาสตร์ มูลนิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพบโครงกระดูก หัวกะโหลก ผลสรุปได้ว่า ทัพเรือภาคที่ 1 ให้การสนับสนุนอากาศยานชนิด ซีฮอว์ค และซูเปอร์ลิงค์ เรือรบ เรือช่วยรบ เรือเครนยกวัตถุหนักในทะเล ห้องแชมเบอร์ปรับอากาศแรงดันสูง โดยใช้เรือหลวงวังนอกเป็นฐานปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ตู้คอนเทเนอร์ เรือตรวจการณ์หมายเลข 93 เป็นเรือสนับสนุนการค้นหา และเรือตรวจการณ์หมายเลข 224 ร่วมการพิสูจน์

ด้าน พล.ร.ท.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เปิดเผยว่า พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. ได้ให้นโยบายสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ของทัพเรือภาคที่ 1 ให้กับ คณะทำงานของแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อย่างเต็มที่ เบื้องต้นได้หารือกันในแนวทางการค้นหาตู้คอนเทเนอร์ตามพิกัด 5 จุด จุดแรกเป็นจุดที่อยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากชายฝั่งประมาณ 18 ไมล์ ความลึกไม่มาก ง่ายต่อการปฏิบัติงาน เพราะขณะนี้ทัศนวิสัยทางอากาศ และทางทะเลไม่เอื้ออำนวยให้บินสำรวจ ดำน้ำ และเดินทาง แต่จะดำเนินการอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจว่า กองทัพเรือมิได้นิ่งดูดายในการตรวจสอบ เมื่อมีหน่วยงานขอรับการสนับสนุนและรัฐบาลเห็นชอบก็จะดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อบอกประชาชนให้ได้ว่าภายในตู้คอนเทเนอร์มีอะไร

คาดว่าต้องใช้เวลาในการพิสูจน์พอสมควร เพราะต้องยกคอนเทเนอร์ขึ้นมาบนเรือขนาดใหญ่ เราจึงต้องเตรียมการให้พร้อมทั้งหมด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสารเคมีอันตรายอยู่ภายในก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามทัพเรือภาคที่ 1 จัดเรือ 3 ลำให้การสนับสนุนคณะของหมอพรทิพย์แล้วพล.ร.ท.ชัยวัฒน์ ย้ำ

ต่อมาแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ พร้อมคณะจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางไปยังหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบเพื่อตรวจสอบหัวกะโหลกที่ชาวประมงพบก่อนหน้านี้ โดยมีนายบรัศ บุญบรรเจิดศรี รองประธานมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับ จากการตรวจสอบพบว่าหัวกะโหลกดังกล่าวมีเพรียงและหอยเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก ยากต่อการตรวจสอบ เพราะไม่มีเนื้อเยื่อและเส้นผม เบื้องต้นกะโหลกน่าจะมีอายุประมาณ 30-40 ปี ยังระบุเพศไม่ได้ จากนั้นจะไปสำรวจที่สุสานเก็บศพไร้ญาติ วัดช่องแสมสาร เพราะมีลูกเรือประมงนำหัวกะโหลก มาถวายวัดไว้จำนวนมาก ถ้าทางวัดยังไม่เผาก็จะ ได้เก็บไว้ตรวจพิสูจน์ต่อไป

มติสันติบาลสั่งฟ้อง แม้ว หมิ่นสถาบัน นพดลเล็งฟ้องกลับ

คมชัดลึก - พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผชบ.ส.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสถาบันพระมาหากษัตริย์ โดยมีคณะกรรมตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) และสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) เข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง

พล.ต.ท.ธีระเดช กล่าวหลังการประชุมว่า ในที่ประชุมมีการสรุปกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซด์ต่างประเทศในช่วงวันที่ 12-13 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า เข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความเห็นสั่งฟ้องและให้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางดำเนินคดีในที่ 15 พฤษภาคมนี้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข่าวสารการประชุมไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ข้อสรุปและได้มอบหมายให้สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจน และนำมาพิจารณาในที่ประชุมอีกครั้งในวันนี้ ซึ่งจากหลักฐานทั้งหมดคณะกรรมการได้ข้อสรุปมีความเห็นสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดังกล่าว

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังพิจารณาผลสรุปของตำรวจว่า มีเหตุผลและการตีความข้อกล่าวหาอย่างไร เพราะข้อกล่าวหารุนแรง รวมทั้งกำลังพิจารณาว่าหากเป็นการกลั่นแกล้ง ก็อาจจะฟ้องกลับ โดยทีมทนายได้เตรียมหลักฐานในส่วนของบทสัมภาษณ์ เจตนาของคำพูดว่า เป็นอย่างที่ตำรวจตีความหรือไม่ และยังจะมีการออกแถลงการณ์ในเร็วๆ นี้ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด หรือเป็นไปได้ว่าตำรวจถูกแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ชวนห่วง มาร์คนอนไม่เต็มตื่น

มติชน - นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศครบ 4 เดือนว่า นายอภิสิทธิ์ผ่านช่วงเวลายากที่มาแล้วในช่วงที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ตอนนั้นตนรู้สึกเห็นใจมาก เพราะมีทั้งการดูถูกดูหมิ่น แต่นายอภิสิทธิ์ก็ผ่านมาได้ จากที่ได้ทำงานร่วมกันนายอภิสิทธิ์ถือเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ใครมาเป็นนายกฯ ในช่วงนี้ก็ต้องเหนื่อยทั้งนั้น แต่งานหนักของรัฐบาลก็เป็นเรื่องคู่กับนักการเมือง ใครอาสามาทำงานก็ต้องหนักและเหนื่อย วันก่อนเจอนายอภิสิทธิ์ถามอย่างเดียวว่า นอนเต็มตื่นหรือเปล่า ซึ่งตนบอกว่าถึงอย่างไรก็นอนให้เต็มตื่น ซึ่งนายอภิสิทธิ์เห็นด้วยว่าถ้าวันไหนนอนไม่เต็มตื่นรู้สึกไม่สดใส

ศาลยกคำร้องใบเหลือง ปชป. ส่วน ส.ส.เพื่อไทยเจอตัดสิทธิ์ 5 ปี

มติชน - วานนี้ (14 พ.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งวันเดียวกัน ยกคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้จัดการเลือกตั้งใหม่หรือให้ใบเหลือง แทน น.ส.ณิรัฐกานต์ ศรีลาภ ส.ส.เขต 1 จ.ยโสธร พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากกระทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 กรณีให้ตัวแทนหรือหัวคะแนนแจกเงินเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน โดยศาลไต่สวนพยานหลักฐาน กกต. ผู้ร้อง และ น.ส.ณิรัฐกานต์ ผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่าพยาน กกต.ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้การขัดแย้งกันเองในรายละเอียด ไม่น่าเชื่อถือ คำร้อง กกต.ไม่มีมูล จึงให้ยกคำร้อง

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งยกคำร้องที่ กกต.ขอให้เลือกตั้งใหม่ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ของนายศุภชัย ศรีหล้า, นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.เขต 1 จ.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ น้องชายนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิทวัส พันธ์นิกุล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ ศาลพิจารณาพยานหลักฐานผู้ร้อง และผู้คัดค้านแล้ว เห็นว่ามีพิรุธ จึงยกคำร้องของ กกต.

ขณะที่เมื่อ 15.00 น. วันที่ 14 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยังศาลอ่านคำสั่งที่ กกต.ยื่นคำร้องขอให้มีสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) และเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 3 จ.สกลนคร แทนนายพงษ์ศักดิ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร อดีตพรรคพลังประชาชน ปัจจุบันสังกัดพรรค พท. เนื่องจากถูกร้องคัดค้านว่าปราศรัยหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จจริง ทำให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม

ศาลพิเคราะห์แล้วได้ความจากการไต่สวนพยาน กกต. ผู้ร้องแล้ว เชื่อว่านายพงษ์ศักดิ์ผู้คัดค้านกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ม.53 (5) หลอกลวงใส่ร้ายให้เข้าใจผิดเรื่องคะแนนนิยม โดยนายพงษ์ศักดิ์ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2550 เวลา 19.00-21.00 น. โดยใช้ข้อความจูงใจประชาชนและใส่ร้ายพรรคเพื่อแผ่นดินให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพรรคไม่ดี ไม่สำนึกบุญคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วให้ประชาชนไปลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีผลทำให้เลือกตั้งเขตดังกล่าวไม่สุจริตเที่ยงธรรม

ส่วนข้ออ้างที่นายพงษ์ศักดิ์ ผู้คัดค้าน ระบุว่าเทปปราศรัยมีการตัดต่อนั้นไม่พบพิรุธ ข้อความมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันดี ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้ตัดสิทธิเลือกตั้งนายพงษ์ศักดิ์ ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 5 ปี และให้เลือกตั้งใหม่ในเขตดังกล่าว ตามที่ กกต.ยื่นคำร้อง

ภายหลังฟังคำสั่งแล้ว นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า น้อมรับคำพิพากษา ทำใจมาตั้งแต่ช่วงแรกแล้วว่าจะต้องโดนตัดสิทธิ อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งใหม่เตรียมจะส่งภรรยาลงสมัครแทน

เศรษฐกิจ

มาร์คเล็งเลิกรับจำนำสินค้าเกษตร

มติชน - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ "การเกษตรประเทศไทย ในหัวใจนายกฯอภิสิทธิ์" ในงานเปิดตัวสมาคมสื่อมวลชนเกษตรไทย ที่อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 14 พฤษภาคม ตอนหนึ่งว่า ปัญหาที่ทุกรัฐบาลต้องเจอเกี่ยวกับสินค้าเกษตรคือ ผลผลิตล้นตลาด ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงแนวทางการแทรกแซงได้ แต่การแทรกแซงเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน โดยเฉพาะรับจำนำที่ราคาสูงกว่าตลาดมาเก็บไว้ใสสต๊อคของรัฐบาล จนทำให้เกิดปัญหาการระบายออก การขาดทุน และส่งผลต่อราคาในตลาดของสินค้าเกษตรนั้นๆ

"ยืนยันว่าเราไม่สามารถดำเนินนโยบายแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายเดิมๆ ได้ และจำเป็นต้องมีการปรับปรุงมาตรการและวิธีคิดขนานใหญ่ วันนี้ทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังปรับยุทธศาสตร์ในระยะยาว และต่อไปจะดำเนินการเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะหาทางให้ประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรชนิดเดียวกันมาเจรจากันก่อนส่งออก เพื่อให้สินค้าของเราเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ หลังจากถูกจำกัดโดยนโยบายอุดหนุนภายใน" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ระบบที่จะเข้าไปแทรกแซงจะไม่ฝืนกลไกตลาด จะทำเรื่องประกันล่วงหน้า ระบบประกันภัยพืชผล โดยให้เกษตรกรมาขึ้นทะเบียน รัฐบาลอาจช่วยสมทบเงินประกันในช่วงแรก โดยได้เริ่มดำเนินการแล้วในเรื่องข้าวหอมมะลิ เชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเป็นธรรม โปร่งใส ยั่งยืน อย่าคิดทำไม่ได้ หากมีการศึกษาล่วงหน้า และใช้ระบบประกันที่ทันสมัยจะได้ประโยชน์มหาศาล และแก้ปัญหาได้

พรทิวายันไม่ขัดแย้ง มาร์ค

มติชน - ที่รัฐสภา นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงความขัดแย้งกับนายอภิสิทธิ์ว่า ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่ ครม.ต้องมีการถกเถียงกัน ส่วนที่ระบุว่านายกฯไล่นายยรรยงออกจากห้องประชุม ครม.นั้น เป็นการเสนอข่าวเกินจริง เพราะนายกฯไม่ได้ไล่ แต่เมื่อข้าราชการชี้แจงข้อมูลเสร็จก็ต้องออกจากห้องประชุมอยู่แล้ว ตนไม่อยากให้เข้าใจนายกฯผิด ทั้งนี้ นายยรรยงตั้งใจให้ข้อมูลด้วยความสุจริตใจ แต่อาจมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น

"ยืนยันว่าเรื่องสต๊อคข้าวโพดของ กระทรวงพาณิชย์ ยังดำเนินการตามกรอบอำนาจอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ ไม่รู้สึกน้อยใจ และเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคงไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล" นางพรทิวากล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะทำให้ถูกปรับออกจาก ครม.นางพรทิวา กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล เพราะความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดาและตนพร้อมทำตามมติ ครม.ที่ให้นำเรื่องสต๊อคข้าวโพดเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ เป็นประธาน การทำงานที่ผ่านมายังไม่ท้อ เป็นเรื่องเล็ก ส่วนที่มีข่าวบอกว่าตนร้องไห้นั้น ตนขอบอกว่าเรื่องใหญ่กว่านี้ ก็ไม่เคยร้องไห้เลย เรื่องนี้เล็กนิดเดียว

เมื่อถามว่า ในที่ประชุม ครม.ได้ตัดพ้อนายกฯว่าทำงาน 2 มาตรฐาน จริงหรือไม่ นางพรทิวา อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนตอบว่า "ไม่ขอตอบเรื่องนี้" แล้วรีบเดินเลี่ยงหนีไปทันที

สุเทพต่อสายเคลียร์เนวิน ชวรัตน์พร้อมเป็นกาวใจ

มติชน - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงกล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์มีความเห็นขัดแย้งกับนางพรทิวาว่า ตนไม่ห่วงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่เรื่องระหว่างนายกฯกับรัฐมนตรี ปัญหาเกิดขึ้นเพราะข้าราชการที่เข้าไปชี้แจง ซึ่งชี้แจงไม่ถูกต้องเท่าที่ควร ทั้งนี้ การระบายข้าวโพดมีคณะกรรมการชุดเก่าดูอยู่ เมื่อเปลี่ยนชุดใหม่ก็ต้องพิจารณากันใหม่ การแทรกแซงราคาข้าวโพดนั้น ครม.ต้องรับผิดชอบเท่ากัน

นายสุเทพยังกล่าวว่า นางพรทิวาไม่ได้กล่าวโจมตีนายกฯว่าสองมาตรฐาน แต่ยอมรับว่าถ้ารัฐมนตรีจะต่อว่าอะไรนายกฯ คงมีอะไรอยู่ในใจ แต่ยืนยันว่ายังไม่มีปัญหาในการร่วมรัฐบาล เพราะถ้าเขาติดใจอะไร คิดว่าคงบอกตนแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า นายสุเทพได้ต่อสายคุยกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ถึงกรณีดังกล่าว โดยนายเนวินระบุแต่เพียงว่า "จบแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร"

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร รัฐมนตรีมีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าจะขายข้าวโพด ไม่เช่นนั้นที่เก็บไว้อาจทำให้คุณภาพเสียหาย เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้ากระทรวง เมื่อถามว่า นางพรทิวาระบุว่านายกฯปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จะกลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับพรรคร่วมหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า เป็นการพูดกันระหว่างนายกฯกับรัฐมนตรี คงไม่มีอะไร ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้รับการติดต่อว่าจะต้องมีการปรับความเข้าใจกันหรือไม่ และนางพรทิวาก็ยังไม่ได้มาปรึกษาตน

เมื่อถามว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นโควต้าของพรรคภูมิใจไทย ควรจะมีกลไกให้พรรคมีหน้าที่อิสระในการกลั่นกรองงานของตัวเองหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า เรื่องทางด้านเศรษฐกิจ อยู่ในการกำกับดูแลของนายกอร์ปศักดิ์ ซึ่งดูแลกระทรวงพาณิชย์ด้วย จึงต้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายไปคุยกันเอง หากเรื่องนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ อาจต้องส่งให้พรรคร่วมคุยกันระดับพรรคต่อพรรค

"ตอนนี้เราไม่ต้องการที่จะเข้าไปก้าวก่าย ให้เขาเคลียร์กันก่อน หากยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อาจจะต้องส่งเรื่องให้ผู้ใหญ่เป็นผู้เคลียร์แทน ซึ่งผมก็พร้อมที่จะเป็นกาวใจประสานในเรื่องนี้" นายชวรัตน์กล่าว

เมื่อถามว่า มองว่าพรรคภูมิใจไทยควรได้โควต้ารองนายกฯ ควบคุมกระทรวงที่ตัวเองสังกัด เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า อันนี้แล้วแต่ หากเหตุการณ์พัฒนาไปถึงขั้นที่เรียกว่าต้องมีรองนายกฯของพรรค ตนคงต้องปรึกษานายกฯอีกครั้ง แต่การที่มีรองนายกฯด้านเศรษฐกิจเพิ่มนั้นมีทั้งจุดดีและจุดด้อย อาจกลายเป็นว่าไม่เป็นเอกภาพ เพราะมีมังกร 2 หัว อาจจะมีปัญหาขึ้นมาอีก หากคนหนึ่งบอกให้ไปทางซ้าย อีกคนหนึ่งบอกให้ไปทางขวา

เมื่อถามว่ามีการมองว่า นางพรทิวาอยู่ในกลุ่มมัชฌิมา พรรคจึงไม่ค่อยดูแล นายชวรัตน์กล่าวว่า ไม่ว่าใครมาจากไหน ตอนนี้ถือว่าอยู่ในภูมิใจไทย และพรรคที่ร่วมรัฐบาลคือพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่พรรคมัชฌิมาฯ หรือไม่ใช่เพื่อนเนวิน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ตอบโต้กับนายกฯ หากมีคำสั่งโยกย้าย จะส่งผลต่อความเชื่อถือในการบริหารราชการของรัฐบาลหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า น่าเป็นห่วง หากมีการโยกย้าย อาจจะกระทบได้ แต่การที่มีการโต้เถียงในบรรยากาศแบบนั้น อาจจะใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปนิด หากใช้หลักพระพุทธศาสนา คือการอโหสิ ถือว่าเป็นลูกน้อง แต่การพูดก็ไม่ควรใช้คำพูดแบบนั้น

ยรรยงแจงเปล่าสอนนายกฯ

มติชน - นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรณีที่ตนชี้แจงใน ครม.เรื่องการระบายข้าวโพดนั้น เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ ที่ประชุมมีการซักถามอะไร ก็ตอบไปตามข้อเท็จจริง ไม่มีเจตนาไปสอนใคร

"ใครจะไปสอนรัฐมนตรี หรือนายกฯได้ จะไปสอนท่านทำไม ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องทำแบบนั้น ในการชี้แจงข้อมูลครั้งนี้ ผมก็ทำหน้าที่ตามปกติ ครม.ถามมาผมก็ตอบไป เพียงแต่บางคำถาม ผมอาจจะชี้แจงเร็วไปหน่อย ก็เท่านั้น ยังแปลกใจอยู่ว่า ทำไมข่าวถึงออกมาละเอียดแบบนี้" นายยรรยงกล่าว

นายยรรยงกล่าวยืนยันว่า คณะกรรมการระบายข้าวโพดมีอำนาจอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เสนอเรื่องต่อที่ประชุม ครม. แต่ยืนยันว่าไม่มีการล้มการประมูลข้าวโพด เพราะที่ประชุม ครม.มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ เป็นประธาน ไปดูแล ซึ่งตนก็เป็นเลขาฯคณะกรรมการชุดนี้ด้วย หากรัฐบาลมีแนวคิดจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการระบายข้าวโพด ก็พร้อมยินดีที่จะปฏิบัติตาม

นายยรรยงกล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีเอกชน 4 ราย ได้รับการประมูลนั้น ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ก่อนเปิดประมูลมีผู้สังเกตการณ์เข้ารับฟังเงื่อนไขการประมูล 28 ราย แต่ไม่ทราบว่าเป็นการประมูลเพื่อส่งออก จึงเหลือผู้ร่วมประมูลเพียง 4 รายเท่านั้น ขณะที่ผลผลิตฤดูกาลใหม่กำลังจะออกมา เราต้องรีบระบายออกโดยเร็ว ตนก็ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ควรจะเป็นเท่านั้น

อาชญากรรม

เชิด 3 ล้านลอยนวล! สาวเจ้าของอู่แท็กซี่ รู้จักกันช่วงชุมนุมเสื้อแดง

เว็บไซต์ข่าวสด - สาวใหญ่เจ้าของอู่แท็กซี่โร่แจ้งตร.โดนเชิด เงินสดๆ 3 ล้าน เผยรู้จักคนร้ายตอนไปร่วมชุมนุมกับนปช.พร้อมสามีเป็นหนุ่มอายุประมาณ 35 ปี พูดคุยกันจนถูกคอ ต่อมาประสบปัญหาธุรกิจ ฝ่ายคนร้ายอาสาช่วยพูดกับเจ้านายให้จนยอมให้กู้เงิน 50 ล้าน ก่อนเกิดเหตุคนร้ายขับรถมารับออกอุบายให้ลงไปซื้อของ ก่อนขับรถเชิดเงินสด 3 ล้านที่เตรียมไปค้ำประกันหลบหนีลอยนวล

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 14 พ.ค. ร.ต.ท.สุรพงศ์ สาขากร ร้อยเวร สน.โชคชัย รับแจ้งเหตุคนร้ายลักทรัพย์ บริเวณด้านหน้าเต็นท์รถมือสอง "ออล์อินวัน" ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาประดิษฐ์มนูธรรม แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. จึงราย งานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบน.ส.อริยาภรณ์ ทิมนาค อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 198/122 หมู่ 5 แขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง กทม. ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ด้วยอาการตกใจ

น.ส.อริยาภรณ์กล่าวว่า มีอาชีพเปิดอู่รถแท็ก ซี่กับนายสมพงษ์ พันปกรณ์ อายุ 59 ปี สามี อยู่ที่ย่านร่มเกล้า ก่อนเกิดเหตุการณ์ ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.และรู้จักกับนายอ๊อฟ ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 35 ปี ภายในกลุ่มผู้ชุมนุม นายอ๊อฟอ้างว่าทำธุรกิจก่อสร้างและมีท่าทราย รับจ้างถมที่ ซึ่งสามีตนก็ประกอบธุรกิจก่อสร้างเช่นเดียวกันจึงพูดคุยกันอย่างสนิทสนม และแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน จากนั้นพูดคุยติดต่อกันทางโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้ง โดยบางครั้งมีการนัดกินข้าวกัน มีครั้งหนึ่งนายอ๊อฟพาไปดูที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งข้างห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ บอกว่าเป็นของตัวเอง โดยให้ตนนั่งรออยู่ในรถ จากนั้นนายอ๊อฟเดินเข้าไปภายในคนเดียว ก่อนจะออกมาด้วยอาการไม่พอใจและบ่นให้ฟังว่าลูกน้องทำงานไม่ได้เรื่อง จากนั้นก็ทำทีโทรศัพท์ไปหาลูกน้องแล้วบอกว่าทำไมไม่เอาของไปส่งสักทีก่อนจะวางสาย

น.ส.อริยาภรณ์ กล่าวต่อว่า ระหว่างนั้นธุรกิจของสามีตนก็เริ่มมีปัญหา จึงเล่าเรื่องดังกล่าวพร้อมขอคำปรึกษาจากนายอ๊อฟ จากนั้นนายอ๊อฟก็บอกว่าเจ้านายของเขาสามารถปล่อยกู้ได้ จึงตอบกลับไปว่าต้องการเงินจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อนำมาพยุงธุรกิจก่อสร้าง จากนั้นนายอ๊อฟก็บอกว่าจะคุยกับเจ้านายให้ ก่อนจะโทร ศัพท์กลับมาหาตน พร้อมบอกว่าเจ้านายตอบตกลงที่จะปล่อยกู้เงินให้ แต่ต้องขอเงินค้ำประกัน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินกู้จำนวน 50 ล้านบาท เป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท

น.ส.อริยาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตนจึงไปกู้เงินจำนวน 2,450,000 บาท ที่ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ส่วนเงินอีกจำนวน 550,000 บาท นั้น ตนได้ไปหยิบยืมมาจากคนรู้จัก จากนั้นตนจึงโทรศัพท์กลับไปหานายอ๊อฟและบอกว่า ตอนนี้มีเงินอยู่ 3 ล้านบาท นายอ๊อฟจึงบอกว่าที่เหลืออีก 2 ล้านบาท จะเป็นคนออกให้ เนื่องจากที่ตัวเองมีเงินอยู่ 1.5 ล้านบาท และมีเพื่อนจะให้ยืมอีก 5 แสนบาท

น.ส.อริยาภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า กระทั่งเวลา 10.00 น. วันเดียวกันนี้ นายอ๊อฟขับรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน จง 446 กทม. มารับตนที่บ้านย่านลาดกระบัง เพื่อเดินทางไปหาเจ้านายของนายอ๊อฟ โดยระหว่างทางนายอ๊อฟแจ้งว่าต้องแวะไปเอาเงินจำนวน 500,000 บาท ที่เพื่อนที่เปิดเต็นท์รถมือสองออล์อินวัน อยู่ตรงข้ามห้างโลตัส สาขาประดิษฐ์มนูธรรมก่อน เมื่อมาถึงนายอ๊อฟได้จอดรถที่หน้าห้างโลตัส แล้ววานให้ตนลงไปซื้อซุปไก่สกัดภายในห้าง เพื่อไปฝากเจ้านายที่ไม่สบายอยู่ ส่วนตัวเองจะขับรถข้ามไปที่เต็นท์รถฝั่งตรงข้ามเพื่อเอาเงิน หากซื้อเสร็จแล้วให้โทร.บอกจะขับรถวนมารับจึงลงเดินไปซื้อให้ โดยวางเงินจำนวน 3 ล้านบาทไว้ที่เบาะหลังรถ ระหว่างนั้นนายอ๊อฟโทรศัพท์ไปบอกว่าให้ซื้อหมูแฮมมาด้วย

"หลังออกมาจากห้าง ก็โทร.กลับไปหานาย อ๊อฟ ก็พบว่าโทร.ไม่ติด จึงเดินข้ามถนนมาหา นายอ๊อฟที่ร้านเต็นท์รถมือสอง ปรากฏว่านาย อ๊อฟได้หายไปพร้อมเงินแล้ว สอบถาม รปภ.ที่เต็นท์รถทราบว่า นายอ๊อฟไม่ได้ขับรถเข้ามา และที่เต็นท์ก็ไม่มีใครรู้จักนายอ๊อฟด้วย จึงรู้ตัว ว่าถูกหลอก จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังสอบ สวนเจ้าหน้าที่ได้วิทยุสกัดจับ แต่ไม่พบรถคันดังกล่าว" น.ส.อริยาภรณ์ กล่าว

จากการตรวจสอบทะเบียนรถคนร้ายพบว่าเป็นทะเบียนปลอม จึงนำตัวผู้เสียหายมาสอบปากคำที่สน.โชคชัย พร้อมทั้งจะเชิญตัวพยานในที่เกิดเหตุและพยานแวดล้อมมาสอบปากคำอย่างละเอียด ก่อนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ลงพื้นที่หาข่าวเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คุณภาพชีวิต

นครบาลส่งใบสั่ง 1.8 แสนใบ ค่าปรับรวม 25 ล้านบาท เล็งติดกล้องเรดไลท์เพิ่ม 30 จุด

เว็บไซต์คมชัดลึก - พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานจราจร กล่าวถึงการดำเนินการส่งหมายเรียกให้มาเสียค่าปรับฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง โดยรถยนต์ที่มีผู้ขับขี่ขับฝ่าฝืนแยกต่างๆ จำนวน 30 จุดที่กระจายอยู่ทั่ว กทม.เริ้มจับปรับอัตรา 500 บาท มาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม จนมาถึงวันนี้ผ่านมาแล้วเป็นระยะเวลา 4 เดือน เฉลี่ยแล้วเหลือประมาณ 7-8 หมื่นต่อเดือน มีคนขับฝ่าสัญญาณไฟแดงตกวันละประมาณ 1,000 กว่าราย ซึ่งเปรียบเทียบแล้วผู้ขับขี่ฝ่าสัญญาณไฟแดงลดลง ดูจากแผนภูมิที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ขับขี่ฝ่าไฟแดงเดือนมกราคม ประมาณ 1.2 แสนราย เดือนกุมภาพันธ์ ประมาณ 9 หมื่นราย เดือนมีนาคม ประมาณ 8 หมื่นกว่าราย เดือนเมษายน ประมาณ 7 หมื่นกว่าราย โดยมีรถแท็กซี่เป็นแชมป์ฝ่าไฟแดงเช่นเดิม ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจัดส่งใบเรียกมาเสียค่าปรับได้ทันชนิดเกือบจะวันต่อวันแล้ว

สำหรับค่าไฟสัญญาณไฟแดงนั้นรอง ผบช.น. บอกว่า ส่ง กทม.ไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเป็นเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติงาน เช่น คนพิมพ์หมายเรียก เป็นต้น ข้าราชการตำรวจยศระดับ พ.ต.ท.ลงมา ตามระเบียบเขียนไว้ชัดเจน คือเราจัดเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคารให้เลยคนละไม่เกิน 1 หมื่นบาท เท่ากันกับตำรวจท้องที่ต่างๆ เมื่อมีเงินค่าปรับเหลือมากเมื่อส่งไปให้ กทม.แล้วเราก็เขียนโครงการของบประมาณกลับมาเตรียมจะเพิ่มติดตั้งกล้องเรดไลท์อีก 30 ทางแยก ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะใช้บริการเก่าหรือเลือกบริษัทใหม่ กำลังให้เสนอราคามาเลือก 2-3 บริษัท

ข้อมูลสถิติจากศูนย์สั่งการจราจร บก.02 แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2551 ถึง 30 เมษายน ที่ผ่านมา มีการพิจารณาออกหมายเรียกให้มาเสียค่าปรับข้อหาฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง (เรดไลท์คาเมรา) แล้ว จำนวน 183,303 ใบ มีผู้มารายงานตัวเสียค่าปรับแล้วจำนวน 51,221 ราย คิดเป็นมูลค่า 25,610,500 บาท

กทม.หาบ้านเช่าราคาถูกให้ลูกจ้าง พร้อมเตรียมซ่อมแฟลตข้าราชการหลังทรุดโทรม

เว็บไซต์ข่าวสด - นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงกรณีที่มีผู้ได้สิทธิจองบ้านเอื้ออาทรในโครงการ "บ้านยิ้ม" ตามนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ที่ต้องการช่วยเหลือลูกจ้าง ข้าราชการที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 13,500 บาท ได้มีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง โดยมีข้าราชการ กทม.และลูกจ้างประจำ เพียง 1,900 รายเท่านั้นจากที่คาดไว้ 10,000 รายว่า สาเหตุส่วนใหญ่เพราะผู้ที่ไปจองสิทธินั้นเป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่ง ธนาคารทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธ.ออมสิน และ ธ.อิสลามกลางแห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วว่าไม่มีความมั่นคงทางการเงิน จึงไม่ได้อนุมัติให้กู้เงิน ซึ่งตนคงต้องหารือกับทางคณะทำงานว่าจะช่วยเหลือลูกจ้างที่ต้องการมีบ้าน หรือที่อยู่อาศัยด้านใดได้บ้าง

นายธีระชน กล่าวต่อว่า เบื้องต้นนั้นได้พิจารณาไว้ 3 แนวทาง คือ 1.กทม.ซื้ออาคารที่อยู่อาศัยให้ลูกจ้าง กทม.เช่าในราคาถูก 2.กทม.สร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ให้ลูกจ้าง กทม.เช่าในราคาถูก และ 3.ให้เอกชนเข้ามาลงทุนสร้างที่พักให้สำหรับลูกจ้าง กทม.เช่า ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวยอมรับว่ามีความซ้ำซ้อนกับแนวทางช่วยเหลือลูกจ้าง กทม.ด้านที่อยู่อาศัย คือ แฟลตข้าราชการ แต่เมื่อพิจารณาถึงแฟลตข้าราชการปัจจุบันแล้ว พบว่ามีสภาพทรุดโทรม ไม่น่าใช้ ดังนั้น แนวทางเบื้องต้นอาจจะต้องมีการปรับปรุงซ่อมแซมสภาพแฟลตข้าราชการให้ดีก่อน

นายธีระชน กล่าวถึงปัญหาของลูกจ้างชั่วคราวที่ต้องถูกไล่ออกจากแฟลตข้าราชการ เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติ อาทิ มีเงินเดือนเกินกว่า 7,000 บาท ทั้งที่มีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินว่า ตนไม่เคยทราบระเบียบดังกล่าว แต่ส่วนเรื่องหนี้สินนั้นตนเตรียมโครงการรีไฟแนนซ์หนี้สินให้กับลูกจ้าง กทม. ซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาที่ลูกจ้าง ข้าราชการกทม.มีหนี้สินได้

ต่างประเทศ

ยูเอ็นเป็นห่วงปัญหาในศรีลังกา

ไทยโพสต์ - คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อการสูญเสียชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในสงครามกลางเมืองของศรีลังกา พร้อมเรียกร้องให้ทั้งกองทัพรัฐบาลและกลุ่มกบฏพยัคฑ์ทมิฬหยุดทะเลาะกันและหันมาปกป้องพลเรือน

ท่าทีล่าสุดจาก 15 ชาติสมาชิกยูเอ็นเอสซีมีขึ้นหลังการประชุมลับเมื่อวันพุธ ซึ่งถือเป็นการถกปัญหานี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การสู้รบรอบใหม่ในศรีลังกาเปิดฉากขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

"สมาชิกยูเอ็นเอสซีต่างแสดงความกังวลต่อวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่ยิ่งเลวร้ายลงในศรีลังกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับรายงานว่ามีพลเรือนต้องสังเวยชีวิตหลายร้อยคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา" ยูเอ็นเอสซีระบุในแถลงการณ์

แถลงการณ์ของยูเอ็นเอสซีระบุชัดว่า เป็นห่วงเหตุโจมตีด้วยปืนใหญ่จากฝีมือของรัฐบาลศรีลังกาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายระลอก แม้ว่าทางการศรีลังกาจะยืนกรานปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอด

กองทัพรัฐบาลศรีลังกายังคงเดินหน้าถล่มฐานที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มกบฏอย่างต่อเนื่องหวังยุติสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานาน 25 ปี การโจมตีโรงพยาบาลในพื้นที่สู้รบหนที่ 2 ในรอบ 2 วันเมื่อวันพุธ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กาชาดสากลคนหนึ่งเสียชีวิต รวมกับพลเรือนอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเกิดการโจมตีขึ้นอีก 2 ระลอกในวันอาทิตย์และวันจันทร์ คร่าชีวิตประชาชนไปหลายร้อยคนและได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก กลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มยืนยันว่าเป็นฝีมือของกองทัพรัฐบาล แต่กระทรวงกลาโหมปฏิเสธว่าไม่เคยใช้อาวุธหนักในการโจมตี พร้อมโทษว่าเป็นการกระทำของกลุ่มกบฏ

นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังได้ประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำเยี่ยงผู้ก่อการร้ายของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้กลุ่มนี้ยอมวางอาวุธและยุติการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ในการสู้รบกับรัฐบาล

บรรดานักการทูตระบุว่า ยอดคนตายที่พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยโน้มน้าวให้รัสเซีย จีน เวียดนาม และลิเบีย เห็นความสำคัญของปัญหาและยอมเข้าร่วมประชุม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ยูเอ็นเอสซีเคยเปิดประชุมอย่างไม่เป็นทางการมาหลายรอบ แต่ถูกทั้งสี่ประเทศนี้คัดค้านไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะมองว่าเป็นกิจการภายในของศรีลังกา

ที่กรุงวอชิงตัน ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ร่วมเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลศรีลังกาและฝ่ายกบฏหันมาช่วยกันป้องกันหายนะที่อาจเกิดขึ้นกับพลเรือนหลายหมื่นที่ยังคงติดค้างอยู่ในเขตสู้รบ "หากพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง วิกฤติด้านมนุษยธรรมที่เป็นอยู่จะกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรง"