เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 13 พ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมอนุคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองของสังคมไทย ซึ่งอยู่ในคณะกรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว. นนทบุรี เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้ใช้เวลา 5 นาที เลือกนายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา เป็นประธาน นายภาวิช ทองโรจน์ นายกสภาเภสัชกรรม ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธาน นางผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขานุการ จากนั้นที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่าจะใช้เวลาในการวางกรอบการทำงาน 2 สัปดาห์
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า การอภิปรายมีความตึงเครียดช่วงหนึ่งเมื่อนายศักดิ์ เตชาชาญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรมนูญ หนึ่งในเสียงข้างมากที่ตัดสินคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิของพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ประเด็นที่ยังไม่ได้พูดกันคือใบสั่ง ตนเคยเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ตอนมีคำสั่งยุบพรรค ขอกราบเรียนเบื้องหลัง ได้ถามเพื่อนฝูงทุกคนแล้วเห็นว่าไม่ควรยุบพรรค ควรแก้ลงโทษหัวหน้าพรรค เลขาธิการและผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่พอจะเขียนคำวินิจฉัย ปรากฏว่ามีใบสั่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง แต่ว่ามีใบสั่งมา มันสร้างความสับสนให้ผู้พิพากษาทั้งหมดที่เคยเห็นด้วยกับตน คำวินิจฉัยจึงออกมาน่าเกลียดมาก ร่วมทั้งเรื่องโมฆะการเลือกตั้ง และองค์กรอิสระต่างก็เป็นใบสั่งและผลก็ออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์ทุกเรื่อง100%
“ซึ่งผมไม่ยอมทำตามใบสั่งจึงไม่เจริญถึงทุกวันนี้ หลายคนที่ทำตามใบสั่งก็เจริญรุ่งเรืองเป็นใหญ่เป็นโตในขณะนี้ ดังนั้นเราต้องหาวิธีพิสูจน์ว่าใบสั่งมีจริงหรือไม่ ถ้ามีต่อไปนี้ต้องเลิกเด็ดขาด” นายศักดิ์ กล่าว
ทำให้นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช อดีตผู้ว่าฯ ผู้ทรงคุณวุฒิจากส.ว. โต้ขึ้นว่า อยากถามว่ามีหลักฐานหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ พิจารณาจากคำพิพากษาที่มีความละเอียดมาก แต่ละคนที่นั่งตรงนั้นเป็นผู้มีเกียรติ มีความรู้ มีฐานะทางสังคม ใครจะออกใบสั่งได้ อย่างเก่งออกได้ 1-2 คน แต่ส่วนใหญ่ออกพร้อมกันทั้งคณะเป็นเรื่องยาก ทั้งนี้ นายศักดิ์ไม่ได้ตอบโต้หรือลุกขี้นชี้แจงอะไร รวมถึงอนุกรรมการในห้องประชุมก็ไม่มีใครติดใจซักถามใดๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนเนื้อหาในการอภิปรายส่วนใหญ่ยังเป็นการโจมตีกันไปมาอย่างดุเดือด ระหว่างส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาเกิดจากการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ การแทรกแซงองค์กรอิสระ ส.ว. ร่วมทั้งการใช้อำนาจเพื่อองค์กรของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นการประกาศว่าจะพัฒนาจังหวัดที่เลือกพรรคไทยรักไทย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุผลมาสู่ความขัดแย้งสู่ปัจจุบัน ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย โต้ว่า ปัญหาคือการรัฐประหารปี2549 ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญ 50 ที่ทำให้เกิดตุลาการภิวัฒน์ และตามมาด้วย เรื่อง 2 มาตรฐาน โดยมีการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ที่นำมาซึ่งการยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้มวลชนที่สนันสนุนคนกลุ่มนี้เกิดความไม่พอใจ ดังนั้นการแก้รัฐธรรมนูญหากแก้เรื่องพวกนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้
“การผ่อนคลายความขัดแย้งระยะสั้นเร่งด่วน คือ การแก้ไขให้ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 220 คน ที่ไม่ได้รับจากรัฐธรรมนูญ 50 ซึ่งจะต้องออกกฎหมายช่วยเหลือ และไม่สามารถทำประชามติตัดสิน เพราะกรรมการบริหาร220 ถูกพิพากษาให้มีความผิด จึงต้องแก้ไขด้วยการออกกฎหมาย จึงอยากให้ที่ประชุมเห็นด้วยหรือไม่” นายประเกียรติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะอนุกรรมการฯได้จัดวางแผนการทำงานไว้เป็น 3 แผนประกอบด้วย ระยะสั้น จะระดมข้อเสนอจากองค์กรภาคประชาสังคม อาทิ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา เครือข่ายสานเสวนา ของสถาบันพระปกเกล้า สถาบันสันติวิธีศึกษา สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาคณาจารย์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. รวมทั้งได้เชิญแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเสื้อแดง มาให้ข้อมูลถึงเป้าหมายความต้องการของคนทั้งสองกลุ่ม
ทั้งนี้ หากการดำเนินการเห็นผลใน 45 วันจะทำให้ผ่อนคลายและลดระดับความขัดแย้งนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สังคมไทยได้มองเห็นและตระหนัก ในชาติบ้านเมืองมากกว่าตนและพรรคพวกกลุ่ม ทำให้เกิดกระแสที่อยู่ในระดับเป็นเทรนด์ของสังคม เกิดกลไกการขับเคลื่อนและสนับสนุนการทำงานในข้อเสนอนี้ เช่นภาคีสื่อมวลชน สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา เครือข่ายประชาชนในขนบท หลังจากนั้นรัฐบาลอาจจะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ได้
นายตวง กล่าวหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้อภิปรายกันได้สรุป 8 ข้อที่จะนำสังคมกลับคืนสู่ความสมานฉันท์ คือ 1.ทุกฝ่ายควรจะยอมรับก่อนว่ารัฐธรรมนูญทั้งปี 40 และปี 50 ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อน โดยปี 40 มีจุดแข็งที่ทำให้รัฐบาลเข้มแข็ง แต่จุดอ่อนคือความเข้มแข็งทำให้กลไกตรวจสอบไม่ทำงาน ขณะที่ปี 50 มีจุดอ่อนทำให้รัฐบาลอ่อนแอ แต่จุดแข็งอยู่ที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น 2.จุดที่เป็นปัญหาสำคัญในการเมืองคือบุคคลทางการเมือง ดังนั้นข้อเสนอที่จะผ่อนคลายความขัดแย้งเบื้องต้นคือควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.237 ไม่ให้มีการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 5 ปี เพราะจะไปกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่สนับสนุนพรรคต้องออกมาต่อสู้ โดยหากเกิดการทุจริตการเลือกตั้งให้ลงโทษเฉพาะผู้กระทำผิดหรือกรรมการ แต่ไม่ควรยุบพรรค
3.นักการเมืองควรจะลดความร้อนแรงในการวิวาทะทางการเมืองเพื่อลดอุณหภูมิความขัดแย้งในสังคม 4.สื่อมวลชนทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องตระหนักถึงบทบาทที่จะมีส่วนช่วยในการลดบรรยากาศความขัดแย้ง 5.รัฐบาลต้องลดเงื่อนไขความขัดแย้ง ไม่ควรจะให้องค์กรที่ใช้กำลังอย่างกองทัพไปชี้แจงงานของรัฐบาลหรือแจกซีดีการสลายการชุมนุมเพราะจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดระแวงลุกขึ้นมาตอบโต้ แต่ควรจะใช้ข้าราชการฝ่ายปกครองอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่แทน
6.ปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยในระยะยาว 7.ทำให้ระบบนิติรัฐเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้เกิดกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน และ 8.สร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบหรือการแสดงสปิริตทางการเมืองในหมู่นักการเมืองในกรณีที่ถูกจับได้ว่ากระทำความผิด ไม่ใช่ดันทุรังอยู่ในตำแหน่งจนการต่อต้านลุกลามบานปลาย
ที่มา: เว็บไซต์คมชัดลึก