ที่มา ประชาไท
นักปรัชญาชายขอบ
สยามเมืองยิ้มที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร เป็นเมืองพุทธ เป็นดินแดนแห่ง “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สลับกับการปฏิวัติรัฐประหารโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ปี ต่อครั้ง (แถมประเทศนี้ยังมีมวลชนเรียกร้องรัฐประหารเพื่อสร้างประชาธิปไตย)
ดินแดนสยามเมืองยิ้มเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ปรัชญาชีวิตของประชากรในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นี้ คือ “ความพอเพียง” โดยมีความหมายสำคัญ (main idea) ว่า “ความพอเพียง” ของแต่ละคน แต่ละชนชั้นนั้นมี “limit” ที่แตกต่างกัน ประชากรของประเทศนี้ราว 20% ซึ่งเป็นคนชั้นสูงและคนชั้นกลางระดับสูงไม่กี่ตระกูลครอบครองสินทรัพย์ของประเทศประมาณ 60% สินทรัพย์ที่เหลืออีก 40% เช่น ที่ดิน ทุน และปัจจัยจำเป็นอื่นๆถูกเฉลี่ยเป็นของคนชั้นกลางระดับกลาง คนชั้นกลางระดับล่าง และคนยากจน หรือ “คนรากหญ้า”
โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นครอบครองสินทรัพย์รวมกันแล้วเพียง 4-10 % พูดง่ายๆ คือ เงิน 100 บาทของประเทศนี้คนส่วนใหญ่ในประเทศมีสิทธิ์ได้ใช้เพียง 4 -10 บาท เท่านั้นเอง
นโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาลของประเทศนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือเดินตาม “ระบบการแข่งขันเสรี” ถ้าเปรียบประเทศนี้เป็นเวทีมวย คน 20 % แรกคือนักมวยระดับแชมป์โลก คนชั้นกลางระดับกลางคือนักมวยอาชีพ ส่วนคนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าคือมวยวัดที่ขาดการฝึกซ้อมแถมยังผอมโซอีกต่างหาก แต่ก็ต้องขึ้นเวทีชกภายใต้กติกาเดียวกัน และจำเป็นต้องขึ้นชกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะนี่คือ “ความเป็นธรรมของการแข่งขัน” ที่ถือเป็นนโยบายแห่งรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งไทยแลนด์ดินแดนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง (ที่กำลังเรียกร้องหา “ธรรม” ในความหมายของ “ความเป็นธรรม” และ “ทอง” ในความหมายของ “การกระจายรายได้ โอกาส คุณภาพการศึกษา สวัสดิการ การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ ฯลฯ)
ในประเทศซึ่งมีมาตรฐาน “ความเป็นธรรม” และคนทั้งประเทศถูกอบรมให้ยึด “ความพอเพียง” เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต (ตาม “limit” ของใครของท่าน) ดังกล่าวแล้ว ประชากรของประเทศนี้กลับมี “อาการทางการเมือง” บางอย่างปรากฏอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษ อาการที่ว่านี้คือ “อาการโหยหาคนดี” โดยเฉพาะ “คนดี” ที่มีคุณสมบัติสอดคล้องตามปรัชญาการปกครองที่ว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่ทำให้คนทุกคนเป็นคนดี แต่ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมือง”
“อาการโหยหาคนดี” ดังกล่าว มักจะแสดงออกมากในเทศกาลรณรงค์เลือกตั้ง และที่เด่นชัดมากเป็นพิเศษเราพบได้ในการเคลื่อนไหวของ “มวลชนเสื้อเหลือง” ที่อ้างว่า ได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าประวัติศาสตร์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 โดยศูนย์กลางปัญหาของประเทศตามวาทกรรมของมวลชนเสื้อเหลือง คือ “นักการเมืองเลว” วัฏจักรของการเมืองในสภาคือวัฏจักรของ “อัปรีย์ไป จัญไรมา” จึงจำเป็นต้องสร้าง “การเมืองใหม่” ที่อุดมด้วยนักการเมืองที่เป็น “คนดี” (และว่ากันว่าประเด็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญ 2550 คือ “ประชาชนคือจุลอัปรีย์ นักการเมืองคือมหาอัปรีย์”)
แต่ถ้าถามว่า “คนดีคือคนเช่นไร?” เรากลับไม่พบคำตอบที่ชัดเจนนัก นอกจากคำตอบที่ว่า “สุรยุทธ์เป็นคนดีที่สุด” จากเรียวปากของบุรุษผู้ซึ่งถูกพูดถึงว่าเป็น “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” แต่ก็ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีวิถีชีวิตพอเพียงบนทรัพย์สินกว่าร้อยล้านบาทท่านนี้ ทำไมท่านได้ที่ดินบน “เขายายเที่ยง” มาพร้อมกับเครื่องหมาย (?) ในเรื่องความโปร่งใส!
และหากถามว่า คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ จิตร ภูมิศักดิ์ นายผี ป๋วย อึ้งภากรณ์ และคนอื่นๆ ที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาและมีวิถีชีวิตต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองที่ยึดความเป็นธรรมบนความเท่าเทียมของประชาชนเป็นหลักทำนองเดียวกับท่านเหล่านี้ ใช่คนดีตามมาตรฐานไทยแลนด์แดนสยามเมืองยิ้มไหม?
ก็ไม่น่าจะใช่! เพราะคนเหล่านี้ล้วน “ถูกอัปเปหิ” ให้ไปนอนกินข้าวแดงในคุกบ้าง ไปตายในป่าบ้าง ไปตายในต่างประเทศบ้าง
แล้วคนดีที่สังคมไทยเรียกร้องต้องการคือคนเช่นไร?
จะตอบคำถามนี้ได้ จำเป็นต้องวิเคราะห์มาตรฐานตัดสิน “ความดี” และ “คนดี” ของสังคมไทย
มาตรฐานตัดสิน “ความดี” และ “คนดี” ของสังคมไทยมาจากอำนาจหลัก 2 อำนาจ คือ “อำนาจระบบศักดินา” กับ “อำนาจศีลธรรมทางพุทธศาสนาที่ถูกตัดตอน” เพื่อนำมาปลูกฝังศีลธรรมจรรยาแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์
ระบบศักดินานั้นศักดิ์สิทธิ์ตั้งคำถามไม่ได้ ฉันใด “ความดี” ที่ถูกผลิตสร้างโดยระบบดังกล่าวก็ศักดิ์สิทธิ์โต้แย้งไม่ได้ ฉันนั้น การเป็นคนดีตามมาตรฐานดังกล่าวอิงอยู่กับสถานะทางชนชั้น “คนดี” ต้องมี “สมบัติผู้ดี” ซึ่งตาสีตาสาจะเป็นคนดีในความหมายนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ “ผู้ดี” จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อยืมสมบัติผู้ดีมาใช้ (ซึ่งผู้ดีย่อมไม่ยอมให้ยืม) ถ้าขืน “ลอกเลียน” สมบัติผู้ดีเข้าก็จะถูกหาว่า “ดัดจริต” หรือกระทั่งเป็น “คางคกขึ้นวอ”
และคนดีตามมาตรฐานศีลธรรมทางพุทธศาสนาที่ถูกตัดตอนมาสอนนั้น ก็ต้องเป็นคนที่กตัญญูรู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยคุณสมบัติหลักๆของคนดีในความหมายนี้คือ “จงรักภักดี”หรือ “เคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม” โดยห้ามตั้งคำถาม การตั้งคำถามต่ออำนาจทั้งสองนั้นถือเป็นเรื่องไม่บังควรหรือเป็นเรื่องผิดบาป
ดังนั้น “คนดี” ตามมาตรฐานดังกล่าว นอกจากต้องเป็น “เด็กดี” ที่เคร่งครัดใน “จารีต” การเคารพเชื่อฟังแล้ว “จารีต” ดังกล่าวยังปลูกฝังให้เกลียดกลัวการคิดเชิงวิพากษ์ การทวงถามถึงสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม หรืออะไรก็ตามที่เกินไปจาก “อำนาจเบื้องบน” ได้กำหนดไว้แล้ว
อันที่จริงการเคารพเชื่อฟังไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้ายในตัวมันเอง เพราะการเคารพเชื่อฟัง (เช่น การเคารพเชื่อฟังกติกาหรือกฎหมายที่ชอบธรรม เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่จารีตการเคารพเชื่อฟังแบบไทยๆไปให้ “อำนาจเบื้องบน” เป็นมาตรฐานตัดสินถูก ผิด ดีชั่ว ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของ พ่อ แม่ ครูอาจารย์ อำนาจรัฐ กองทัพ(ทำรัฐประหารไม่เคยผิด) ข้าราชการ เจ้านาย ฯลฯ ดังนั้น ถูก ผิด ดี ชั่ว จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “เหตุผล” แต่ขึ้นอยู่กับ “อำนาจเหนือกว่า” ทำให้ฝรั่งคลั่งสยามอย่าง ไมเคิล ไรท์ แสดงความสงสัยว่า ทำไมสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่บอกว่าพวกตนเป็นลูกศิษย์พระสมณโคดมผู้สอน “กาลามสูตร” จึงจัดการศึกษาอบรมบุตรหลานของพวกตนแบบฮินดู คือ ยึดถือว่าครูศักดิ์สิทธิ์ ตำราศักดิ์สิทธิ์ โต้เถียงไม่ได้ การคิดเองไม่ได้รับความนับถือเท่ากับท่องจำขี้ปากนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาโอ้อวด “ภูมิรู้”
คนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ กุหลาย สายประดิษฐ์ จิตร ภูมิศักดิ์ นายผี ป๋วย อึ้งภากรณ์ และคนอื่นๆที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาและมีวิถีชีวิตต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองที่ยึดความเป็นธรรมบนความเท่าเทียมของประชาชนเป็นหลักทำนองเดียวกับท่านเหล่านี้ จึงไม่ใช่คนดีตามเกณฑ์มาตรฐานของสังคมวัฒนธรรมไทย (และไม่ใช่ “คนดีที่สุด” อย่างแน่นอน) เพราะคนเหล่านี้ไม่มี characters ของ “ผู้เคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม” หากแต่เข้มข้นด้วย characters ของ “นักคิดเชิงวิพากษ์ นักต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม นักปฏิวัติ ผู้รักความเป็นธรรมบนความเสมอภาค” ซึ่งตามมาตรฐานสังคมไทยแล้ว คนเหล่านี้คือ “ขบถ” ที่ท้าทายและเป็นอันตรายต่อ “อำนาจ” ที่กำหนดมาตรฐานตัดสิน “ความดี” และ “คนดี” ตามจารีตแบบไทยๆ
แต่ในความเป็นจริง คนผู้ซึ่งขบถต่อ “อำนาจ” ที่ผลิตสร้าง “ความดี” และอำนาจการันตี “คนดี” ตามระบบศักดินาและคำสอนพุทธศาสนาแบบตัดตอนเท่านั้น ที่มี characters ของ “คนดี” ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานของหลักการประชาธิปไตย หรือเป็นคนดีในความหมายของการเป็น “นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเสมอภาคของสังคม” อย่างแท้จริง
คำถาม คือ ในการต่อสู้ทางการเมืองสมัยใหม่ หรือการเมืองในศตวรรษที่ 21 นี้ “คนดีขบถ” ดังกล่าว ได้มีอยู่ในสารระบบของอาการโหยหา “คนดี” ของสังคมไทยแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่มี หรือยังรังเกียจ “คนดีที่มีจิตวิญญาณขบถ” ก็ป่วยการจะพูดถึงการปฏิวัติสังคมไทย