ที่มา uddred
กรุงเทพธุรกิจ 30 สิงหาคม 2555 >>>
ถึงแม้บทบาทการเป็น"ตัวชน"ของเขาจะถูกมองว่าขัดต่อบุคลิกผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรี แต่มุมของจตุพร มองว่า "คนเรามันอยู่บริบทต่างกัน
ชื่อของ "จตุพร พรหมพันธุ์" อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง อยู่ในบัญชีว่าที่รัฐมนตรีใหม่ แทบทุกครั้งเมื่อมีกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี ทว่าอีกด้านหนึ่งก็ถูกมองว่าเป็นของแสลง หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินหน้านโยบายสร้างความปรองดองอย่างจริงจัง
โอกาสทางการเมือง สำหรับ "ผู้นำนักรบเสื้อแดง" จตุพรมองว่า "ก็มีข่าวทุกครั้งว่าผมจะได้เป็น แต่ทุกครั้งก็เป็นเหมือนทุกข์ลาภ บางทีก็เจอคนกเฬวรากในพรรคบ้าง และหากจะไปรบกับเขาก็ว่ารบเพื่อตัวเอง แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่นายกรัฐมนตรี แต่คนเสื้อแดงไม่เคยต่อรอง ผมผ่านมาทุกสถานการณ์แล้ว ในเวทีของรัฐสภา ถ้าจัดลำดับ 1 ใน 10 หรือ 1 ใน 5 ของนักอภิปรายในสภา ผมก็ต้องอยู่ในนั้น เวทีข้างนอกก็ครบถ้วน เป็นข่าวก็น้อยลง แต่ทำหน้าที่เชิงความคิดมากขึ้น แต่ถ้าพูดว่าจะได้เป็นไหม ก็มีชื่อทุกครั้ง ก็เป็นรัฐมนตรีตามข่าว ตามโพล" (หัวเราะ)
หากชื่อจตุพรอยู่ในคณะรัฐมนตรี จะเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ง่ายขึ้นหรือไม่ เขาถามกลับว่า "ถ้าบอกว่าผมเป็นเป้าหมายโจมตี จึงต้องถามว่าเป้าใคร และขอถามหน่อยว่า ถ้าผมไม่ลุแก่อำนาจ ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และยังคงอยู่กับประชาชน มันก็ไม่มีเหตุจะตกเป็นเป้าใคร การจะวิพากษ์วิจารณ์คนวิจารณ์ ต้องไม่ใช่พูดเพราะหน้าตา"
ถึงแม้บทบาทการเป็น"ตัวชน" ของเขาจะถูกมองว่าขัดต่อบุคลิกผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรี แต่มุมของจตุพร มองว่า "คนเรามันอยู่บริบทต่างกัน ตอนนั้นเพื่อนอยู่ในคุกหมด ถ้าเราทำตัวเรียบร้อย มันก็พลิกฟื้นไม่ได้ ผมอาจจะเป็นคนที่ยื่นถูกถอนประกันมากที่สุดในประเทศไทยก็ได้ (ยิ้ม) ผมแสดงหน้าที่ทั้งในและนอกสภา สู้เต็มเหยียด"
"เปรียบเปรยได้ว่า ผมก็เหมือนนักรบที่อยู่ในสนามรบ และไม่มีนักรบคนใดที่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนต่างล้วนมีบาดแผลทั้งสิ้น แต่บาดแผลจากการสู้รบ ไม่ใช่รอยตำหนิ ผมไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ตำหนิหรือคดีที่ได้รับมา ไม่มีเรื่องส่วนตัวแม้แต่คดีเดียว เป็นเรื่องส่วนรวมทั้งนั้น ในทางการเมืองเมื่อไปรบแล้วมันก็อาจจะพลาดกันบ้าง แต่ถ้ายังคิดว่าการอยู่ในสนามรบแล้วบาดแผลคือรอยตำหนิ วันข้างหน้ามันจะหานักรบไม่ได้ เวลารับรางวัลนักรบอยู่ปลายแถว แต่เวลารบอยู่ข้างหน้า และมันจะไม่ให้หน้าช้ำได้ไง แต่ขณะที่อีกคนผัดหน้าขาวรออยู่ พวกที่หน้านวลเพราะไม่อยู่ในสนาม"
เมื่อถามว่า จะเสียใจไหมถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเพราะเหตุผลว่าเป็นนักรบ จตุพร กล่าวว่า "มันไม่ใช่ว่าเราสู้เพื่อต้องการเป็น ถ้าจะเอาคนที่ไม่มีภาพช้ำเลย วันหน้าเราจะหานักรบไม่ได้ ทุกคนจะเห็นแก่ตัว เราไม่ต้องการสร้างให้กระบวนการนี้เป็นที่รวมของคนที่เอาตัวรอด แต่ไม่ใช่ว่าเพื่อผม แต่เหมา เจ๋อ ตุง บอกว่า “ผู้ลงแรง ย่อมอิ่มหนำ” เพื่ออธิบายความว่าผู้ที่ไปทำงาน ไปต่อสู้ ไปสู้รบ ต้องได้รับการดูแล แต่เราไม่ได้เรียกร้องว่าเราต้องเป็นอะไร"
เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาได้รับเรื่องจากประชาชนมาเยอะ แต่เราได้แต่งึกๆงักๆ เพราะไม่มีอำนาจอะไรในมือ ทำอะไรไม่ได้เลย สั่งการได้เฉพาะ(ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) รมช.เกษตรฯ (หัวเราะ) คนอื่นก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เวลาชาวบ้านตามเรื่อง ตามจากเราเพราะเขารู้จักเรา เราก็แบกรับปัญหาไปเรื่อย คือจะเป็นหรือไม่เป็นมันเป็นเรื่องเล็ก มันไม่ใช่เพราะอยากใส่ชุดเป็นรัฐมนตรี เพียงแต่ว่าในทางการเมือง ผมมันก็พิสูจน์ทุกมุม ทุกเวที ได้ผ่านการทดสอบมาแล้วทั้งปวง ในสภาหรือข้างนอก ทุกมุม ทุกบริบท และไม่รู้ว่าในชีวิตจะทำอะไรได้ดีขนาดนี้ เพราะมันสุดทางหมดแล้ว หมดปัญญาแล้ว ไม่รู้จะพิสูจน์เรื่องอะไรอีกแล้ว"
ส่วนแนวทางการสร้างความปรองดองในมุมมองของคนเสื้อแดงจากนี้ไป จตุพร ยืนยันว่า ปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ต้องตั้งต้นความยุติธรรมให้เท่ากันก่อน มันไม่ได้อยู่ที่ผลวิจัยสถาบันพระปกเกล้าหรือ พ.ร.บ.ปรองดอง แต่ขอให้อารมณ์มันเท่ากันเสียก่อน โดยทุกฝ่ายถูกทำแบบเดียวกัน ทั้งคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ คดีสั่งการของอภิสิทธิ์-สุเทพ ขณะที่คดีของคนเสื้อแดงเร็วเหมือนขึ้นลิฟต์ เรื่องการออกกฎหมายล้างผิด ผมยังยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วย หากจะละเลยการแสวงหาความจริง"
สำหรับสถานการณ์ของลุ่มคนเสื้อแดงในขณะนี้และจากนี้ไป จตุพร บอกว่า "เหมือนเป็นช่วงตั้งหลัก คนเสื้อแดงผ่านมาหมดแล้ว ทั้งเจ็บ ตาย สูญสิ้นอิสรภาพ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านมาหมดแล้วก็ต้องสู้อย่างมีสติ ให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า เราต้องให้สติทั้งตัวเราและพี่น้องเสื้อแดง"