ที่มา Thai E-News
โดย รศ.ดร. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่มา “โลกวันนี้วันสุข”
31 สิงหาคม 2555
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ซึ่งมีประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่นั้น จะมีผลเต็มรูปแบบในปี ค.ศ.2015 หรือ
พ.ศ.2558 แต่รัฐประหาร 2549
และความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาร่วมหกปี
ทำให้รัฐบาลแต่ละชุดไม่สามารถดำเนินการรูปธรรมเพื่อเตรียมการรับมือ
เป็นผลให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องขาดทิศทางและนโยบายที่ชัดเจน ผลก็คือ
คนไทยน้อยมากที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ASEAN Economic Community (AEC)
มีต้นกำเนิดจากการรวมกลุ่มของห้าประเทศหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ไทย
มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2510
และได้รับบรูไนเป็นสมาชิกอันดับหกเมื่อปี 2527 จากนั้น ในช่วงปี 2538-42
จึงได้มีการขยายตัวครั้งใหญ่ด้วยการรับเวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา
เข้ามาเป็นสมาชิก
เนื่องจากสมาชิกสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันมากในระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ
และมีข้อผูกพันต่างกัน จึงเรียกสมาชิกหกประเทศแรกว่า อาเซียน-6
และเรียกสมาชิกสี่ประเทศหลังว่า CLMV จากชื่อย่อของสี่ประเทศดังกล่าว
ความจริงแล้ว ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเพียงหนึ่งในสามองค์ประกอบของ
“ประชาคมอาเซียน”
ซึ่งได้มีการประกาศเป็นครั้งแรกในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่บาหลี ในปี
2546 อีกสององค์ประกอบคือ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security
Community) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงของภูมิภาค
และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community)
ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวัฒนธรรม โดยให้มีผลสมบูรณ์ในปี 2563 แต่ต่อมาในปี
2550
ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เมืองเซบูได้ตกลงเร่งรัดให้ประชาคมอาเซียน
เป็นจริงโดยสมบูรณ์เร็วขึ้นอีกห้าปี เป็นปี 2558
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งองค์ประกอบ
แต่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีความสำคัญยิ่งยวดเพราะเป็นการรวมตัวอย่างทั่ว
ด้านในทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน
ให้เป็นเขตการค้าสินค้าบริการและการเคลื่อนย้ายทุนโดยเสรี
ให้อาเซียนสิบประเทศ ประชากรประมาณ 600 ล้านคน รวมเป็นตลาดเดียว
เออีซีมีรากฐานจาก “ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน” หรืออาฟต้า
ซึ่งลงนามโดยสมาชิกกลุ่มแรกในปี 2535
โดยได้เริ่มทะยอยลดอัตราภาษีศุลกากรลงเป็นศูนย์ในรายการสินค้ากว่าร้อยละ 90
ตั้งแต่ปี 2536 กระทั่งมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ส่วนกลุ่มประเทศ
CLMV จะมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558
แต่ละประเทศยังมีสินค้ายกเว้นจำนวนน้อยใน “บัญชีสินค้าอ่อนไหว”
ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรไม่ต้องเป็นศูนย์ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5
ในกรณีประเทศไทย สินค้าอ่อนไหวได้แก่ กาแฟ มันฝรั่ง มะพร้าวแห้ง
และไม้ตัดดอก ขณะที่สิงคโปร์และอินโดนีเซียไม่มีบัญชีสินค้าอ่อนไหว
นอกจากนี้ ยังมี “บัญชีสินค้าอ่อนไหวสูง”
ซึ่งสมาชิกสามารถกำหนดอัตราภาษีพิเศษ
แต่ต้องได้รับการยินยอมจากประเทศสมาชิกอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมาเลเซีย
อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ขอสงวนข้าวและน้ำตาลไว้
โดยประเทศไทยซึ่งไม่ได้ขอสงวน
ก็จะได้รับการชดเชยเป็นมาตรการนำเข้าขั้นต่ำไปยังประเทศนั้น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีความตกลงด้านบริการ
โดยจะอนุญาตให้นักลงทุนสัญชาติอาเซียนสามารถเข้ามาถือหุ้นในกิจการบริการ
เพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 70 ของกิจการภายในปี 2558
ครอบคลุมบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ การท่องเที่ยว การบิน โลจิสติกส์
บริการธุรกิจครอบคลุม 8 วิชาชีพ ได้แก่ วิศวกรรม การสำรวจ สถาปัตยกรรม
แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี และบริการท่องเที่ยว
ส่วนความตกลงด้านการลงทุน
เป็นการให้สิทธินักลงทุนอาเซียนได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติตั้งแต่ปี 2553
อย่างไรก็ตาม การเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุน
ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะสาขาในแต่ละประเทศ
การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือและการลงทุนข้ามชาติภายในอาเซียนจึงต้องเข้าใจ
ภาษา กฎหมายเฉพาะ และระเบียบท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ได้รับสิทธิตามความตกลงนั้น ๆ เช่น การรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงาน
และการอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น โดยหลักการใหญ่คือ ให้ใช้ภาษาอังกฤษ
เป็นภาษากลาง
ในด้านการค้า
เนื่องจากประเทศไทยมีระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงภายในอาเซียนและ
ต้องนำเข้าวัตถุดิบจำนวนมาก
ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากเออีซีจึงเป็นการนำเข้าวัตถุดิบอุตสาหกรรมที่จำ
เป็นในราคาถูกด้วยอัตราภาษีนำเข้าเป็นศูนย์จากแหล่งอาเซียนนั่นเอง แม้ว่า
อัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบของประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้วก็ตาม
ส่วนประโยชน์ในด้านการส่งออก
กลุ่มอาเซียนนับเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย
มีมูลค่าปีละกว่าสี่หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าตลอดมา และคาดว่า
การส่งออกจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อกลุ่มสมาชิก CLMV
ได้ลดอัตราภาษีส่วนใหญ่เหลือศูนย์ภายในปี 2558 ตามกำหนด
ประโยชน์ในด้านการลงทุนที่สำคัญคือ
ผู้ผลิตไทยจะย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา มากขึ้น
เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูกและสิทธิพิเศษทางการค้าที่ประเทศเหล่านี้
ได้รับจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ยิ่งกว่านั้น
การพัฒนาโลจิสติกส์ที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้นจะลดต้นทุนการขนส่งวัตถุ
ดิบและชิ้นส่วนภายในอาเซียนได้อย่างมาก
ทำให้เกิดห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมร่วมกันภายในกลุ่ม
โดยมีผู้ผลิตอุตสาหกรรมในไทยเป็นฐานผลิตสำคัญอีกแห่งในอาเซียนเพื่อส่งออกไป
ยังประเทศคู่ค้านอกกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา
และสหภาพยุโรป
ในทางตรงข้าม
จะมีธุรกิจไทยบางส่วนที่ถูกกระทบเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการแข่ง
ขันจากผู้ผลิตอื่นในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
ซึ่งรัฐบาลจะต้องตระเตรียมมาตรการเยียวยา เช่น กองทุนปรับตัว
ให้ธุรกิจเหล่านี้ปรับปรุงการผลิตให้สามารถแข่งขันได้หรือสนับสนุนให้ปรับ
เปลี่ยนไปสู่สาขาอื่นที่มีความได้เปรียบมากกว่า
ส่วนประชาชนผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ทางอ้อมด้วยสินค้าจากกลุ่มอาเซียนจะมีต้น
ทุนการนำเข้าที่ลดลง
เกษตรกรจะได้ประโยชน์โดยตรงเพราะอาเซียนเป็นตลาดสินค้าเกษตรไทยที่สำคัญ
อันดับต้นมาโดยตลอด แม้ว่าธุรกิจไทยบางส่วนจะย้ายฐานการผลิตออกไป
แต่ผู้ใช้แรงงานไทยจะยังได้ประโยชน์จากค่าจ้างที่สูงขึ้นต่อไปเนื่องจากการ
ขยายตัวของการค้าและการลงทุนจากการเปิดตลาดเสรี
แรงงานต่างชาติที่เข้ามาจะยังคงเป็นแรงงานไร้ฝีมือซึ่งไม่ได้แข่งขันกับแรง
งานไทยโดยตรงเช่นเดิม
ส่วนประโยชน์ทางการเมืองที่ชัดเจนคือ
ประเทศไทยจะไม่อาจมีรัฐประหารในรูปแบบดั้งเดิมได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
เพราะนอกจากจะถูกปฏิเสธจากกลุ่มประเทศตะวันตกแล้ว
ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกด้วย
ดังเช่นที่ประเทศพม่าได้เรียนรู้และต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหันมาสวม
เสื้อคลุมการเมืองแบบเลือกตั้ง
และเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเปิดเสรีอย่างรวดเร็ว