WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, August 9, 2012

สภาที่ปรึกษาศอ.บต. ค้านตั้งศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ที่ กทม.

ที่มา ประชาไท

 

ยันไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจกองทัพคุมงานด้านพลเรือนและอำนวยความยุติธรรม
          สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกแถลงการณ์หลังมีมติ เป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2555 ว่าไม่เห็นด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้” ที่กรุงเทพฯ ซึ่งรัฐบาลจะมีการเรียกประชุมหารือประเด็นนี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 8 สิงหาคม 2555
          โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวซึ่งเป็น แนวคิดของรัฐบาลที่จะรวมหน่วยงาน 16 กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องกับงานความมั่นคงและงานการพัฒนา โดยให้แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้กำกับดูแลงานของฝ่ายพลเรือนทั้งหมด รวมทั้งศอ.บต. ทางสภาที่ปรึกษาเห็นว่า  ตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่ารัฐบาลจะทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลในการแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในภาคใต้ แต่ว่าก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้  และจากการฟังการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนพบว่าประชาชน “เริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายของกองทัพในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาค ใต้”  
          ในแถลงการณ์ดังกล่าว ยังชี้แจงเหตุผล 4 ข้อ  ดังนี้ ประการที่ 1 นโยบายการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555 - 2557 ได้ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟัง และสะท้อนความเห็นจากภาคประชาชนกับภาครัฐ โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ และเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้แยกงานระหว่างฝ่ายความมั่นคงที่มี พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ) กับงานด้านการพัฒนาฝ่ายพลเรือน ที่มี พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ. ศอ.บต.) ไว้อย่างชัดเจน และดำเนินยุทธศาสตร์สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาค ใต้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบแล้ว จึงเห็นว่า รัฐบาลควรบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว   
        ประการที่ 2 ไม่เห็นด้วยในการมอบหมายให้แม่ทัพภาค 4 เป็นผู้กำกับดูแลกิจการในพื้นที่ครอบคลุมไปถึงกิจการฝ่ายพลเรือนและการอำนวย ความยุติธรรม โดยควรที่จะแยกงานการพัฒนาและความมั่นคงออกจากกัน ภารกิจของกองทัพมีมากอยู่แล้วจึงควรเน้นการรักษาอธิปไตยและรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐให้มากยิ่งขึ้น
          ประการที่ 3 รัฐบาลควรจะใช้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ตาม พ.ร.บ. ศอ.บต. เป็นศูนย์ปฏิบัติการที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และจะต้อง ผลักดันให้กระทรวงต่างๆ มีความเข้มแข็ง ทั้งกำลังคน และงบประมาณ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย   นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ศอ.บต. ซึ่งต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ปัญหา รัฐบาลจึงควรรับฟังเสียงจากประชาชนเจ้าของพื้นที่ ไม่ใช่เป็นการพิจารณาและสั่งการมาจากส่วนกลางอย่างเดียว
       ประการที่ 4 ในกรณีมีการกล่าวอ้างว่าการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ ประสบความสำเร็จ เพราะมี พ.ร.บ.ศอ.บต. และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซ้ำซ้อนกันอยู่ ขอเรียนว่า พ.ร.บ. ศอ.บต. ได้ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมาอย่างกว้างขวางและผ่าน ความเห็นชอบจากรัฐสภามาแล้ว เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ศอ.บต. จึงไม่ได้ซ้ำซ้อนกับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ  เนื่องจาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รับผิดชอบในด้านการดูแลรักษาความสงบและอธิปไตยของชาติ ส่วน พ.ร.บ. ศอ.บต. รับผิดชอบเรื่องการเมือง การปกครอง และการพัฒนา จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ในทางกลับกัน ยังเป็นการหนุนเสริม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีกด้วย อีกทั้งประชาชนค่อนข้างพึงพอใจกับการดำเนินการตาม พ.ร.บ. ศอ.บต.
          นายปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช โฆษกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สัมภาษณ์กับ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้เพิ่มเติมว่าศูนย์ดังกล่าวที่มีพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ควบคุมเชิงนโยบายจากศูนย์กลาง และมีแม่ทัพภาค 4 เป็นประธานในการอำนวยการการแก้ไขในพื้นที่ผ่านศูนย์ดังกล่าว ทางสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่าจะเป็นการให้อำนาจแก่ทหารมากเกินไป