WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, August 9, 2012

สันติภาพแบบไหนที่ประชาชาติปาตานีต้องการ?

ที่มา ประชาไท

 

สถานการณ์การสู้รบกันระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีกับรัฐ ไทยในรูปแบบของสงครามจรยุทธ์ตลอดห้วงเวลาเกือบ 9 ปีมานี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อสังคมโลกที่เคารพในหลักการ สิทธิมนุษยชนและรักสันติภาพ ซึ่งมีท่าทีแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า “ถึงเวลาแล้วที่สงครามที่นี่ต้องหยุด” เพื่อให้ประชาชนได้ดำเนินชีวิตไปถึงเวลาแห่งความตายอย่างเป็นอิสระตาม ธรรมชาติของวงจร “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”
 
เสียงตะโกนจากเหล่าผู้รักสันติภาพทั่วโลกดังกึกก้องมายังประเทศไทย ว่า “หยุดสักทีเถิด วงจรการบังคับให้คนต้องตายเพื่อแลกกับคำว่าสันติภาพ” ในนิยามที่เป็นคู่ขนานกันของความเป็นศัตรูของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช ปาตานีกับรัฐไทย
 
แต่กระนั้นรูปร่างหน้าตาของคำว่า สันติภาพ ตามความเข้าใจพื้นฐานของคนทั่วไปนั้น คือสภาพความเป็นอยู่อย่างมีความสุขของสังคมหรือประชาชนซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก การ “หยุดสงคราม” ได้สำเร็จ
 
ซึ่งสำหรับภาพสันติภาพในอนาคตของชายแดนใต้หรือปาตานีนั้น จะมีลักษณะนิยามตามบริบทของการสู้รบ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
 
1.ลักษณะรูปร่างหน้าตาของสันติภาพ ซึ่งถูกวาดรูปหรือนิยามโดยรัฐไทย ภาพที่เห็นคือ จะเป็นภาพที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของโครงสร้างการปกครองที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจ การปกครองพิเศษ หรือแม้กระทั่งการได้รับเอกราชของปาตานี เนื่องจากผู้วาดนั้นเลื่อมใสในอุดมการณ์ทางการเมืองแบบชาตินิยมแนวขยายอำนาจ (expansionist nationalism) และ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบชาตินิยมแนวอนุรักษ์ (conservative nationalism)
 
ซึ่งการที่อาณาจักรสยามมาทำสงครามกับอาณาจักรปาตานีในปี ค.ศ.1785 มาชนะในปี ค.ศ.1786 และทำการผนวกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณาจักรสยามสำเร็จในปีค.ศ.1909 ด้วยสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จของการใช้อุดมการณ์ชาตินิยมแนวขยายอำนาจของ อาณาจักรสยามต่ออาณาจักรปาตานี  
 
ชาตินิยมแนวขยายอำนาจนี้เป็นชาตินิยมในเชิงรุกหรือก้าวร้าว (aggressive) เน้นการใช้กำลังทหาร (militaristic) และเน้นการขยายดินแดน หรือขยายอำนาจไปครอบครองดินแดนอื่น (expansionist) ที่เห็นได้ชัดก็คือ ชาตินิยมของรัฐมหาอำนาจยุโรปในปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีลักษณะของการแข่งขันกันล่าอาณานิคมเพื่อแสดงให้เห็นถึงเกียรติและความ ยิ่งใหญ่ของชาติ ชาตินิยมแนวขยายอำนาจจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ลัทธิจักรวรรดินิยม (imperialism)
 
ส่วนอุดมการณ์ชาตินิยมแนวอนุรักษ์นั้นเกิดขึ้นหลังอุดมการณ์ชาตินิยม แนวเสรีในครึ่งแรกของศตวรรษที่19 ทำให้นักอนุรักษ์นิยมมองอุดมการณ์ชาตินิยมด้วยความหวาดระแวง ความหวาดระแวงดังกล่าวนี้สมเหตุสมผล เพราะชาตินิยมในต้นศตวรรษที่19 เป็นชาตินิยมแนวเสรีที่มาพร้อมกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเท่ากับเป็นภัยคุกคามต่อระบอบการเมืองเก่าที่มีบทบาทอยู่ในขณะนั้น
 
อย่างไรก็ดีในระยะหลัง ชาตินิยมกับอนุรักษ์นิยมมีจุดร่วมกันที่สำคัญประการหนึ่งคือ ทั้ง 2 อุดมการณ์ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าประเพณีนิยม (traditionalism) ประเพณีเป็นแนวคิดหลักของทั้งลัทธิอนุรักษ์นิยมและลัทธิชาตินิยมแนววัฒนธรรม (cultural nationalism) การผสมผสานระหว่างอนุรักษ์นิยมกับชาตินิยมแนววัฒนธรรม จึงออกมาเป็นชาตินิยมแนวอนุรักษ์ (conservative nationalism)
 
2.ลักษณะรูปร่างหน้าตาของสันติภาพซึ่งถูกวาดรูปหรือนิยามโดยขบวนการ เคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ภาพอนาคตที่เห็นก็จะเป็นภาพของการได้รับเอกราชของชาวปาตานีจากชัยชนะของการ สู้รบกันกับจักรวรรดินิยมสยามหรือไทยมาอย่างยาวนานเป็นศตวรรษ เนื่องจากผู้วาดนั้นเลื่อมใสในอุดมการณ์ทางการเมืองแบบชาตินิยมแนวเสรี (liberal nationalism) และแนวต่อต้านการล่าอาณานิคม (anticolonial nationalism) ซึ่งชาตินิยมแนวเสรีเป็นรูปแบบของชาตินิยมในราวกลางศตวรรษ ที่19 ของยุโรป ในภาคพื้นยุโรปกลางศตวรรษที่19 นั้น การเป็นนักชาตินิยม หมายถึงการเป็นนักเสรีนิยมและในทางกลับกันการเป็นนักเสรีนิยม ก็หมายถึงการเป็นนักชาตินิยม กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า นักชาตินิยมกับนักเสรีนิยมเป็นคนๆเดียวกัน
 
ความเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยมอิตาเลียน เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของชาตินิยมแนวเสรีนี้ ในภาษาอิตาเลียนเรียกชาตินิยมแบบนี้ว่า “Risorgimento”แปลว่า (เกิดใหม่/rebirth)
 
หัวใจของชาตินิยมแนวเสรีตั้งอยู่บนพื้นฐานคติที่ว่า มนุษยชาติถูกแบ่งออกเป็นชนชาติต่างๆตามธรรมชาติ ดังนั้นชาติจึงเป็นชุมชนที่แท้จริงและเป็นอินทรียภาพ มิใช่ผลงานการสร้างของผู้นำทางการเมืองหรือชนชั้นปกครอง ชาตินิยมแนวเสรีถือว่า ชาติกับอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนและเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งแนวคิดนี้มีต้นกำเนิดมาจาก รุสโซ มาสชินี เป็นนักคิดที่เด่นที่สุดของชาตินิยมแนวเสรี เขาต้องการให้รัฐต่างๆในอิตาลีปลดแอกจากออสเตรีย ด้วยเหตุนี้ชาตินิยมแนวเสรีจึงชูหลักการอีกประการหนึ่ง นั่นคือหลักการที่ว่า “ชาติควรมีอัตวินิจฉัย (national self -determination)” หรืออีกนัยหนึ่งชาติควรกำหนดชะตาชีวิตของตนเองโดยอิสระ อัตวินิจฉัยนี้จะทำให้ชาติสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็น “รัฐประชาชาติ” (nation-state) ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือความเป็นรัฐกับความเป็นชาติตรงกันจนกระทั่งเป็นเนื้อเดียวกัน
 
ส่วนชาตินิยมแนวต่อต้านการล่าอาณานิคมนั้น เป็นชาตินิยมที่เกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ในโลกที เป็นชาตินิยมซึ่งเกิดจากการต่อต้านการปกครองอาณานิคมของเมืองแม่ ชาตินิยมแบบนี้จึงเหมือนกับเป็นดาบกลับไปทิ่มแทงเจ้าอาณานิคมผู้ซึ่งพัฒนา ลัทธิชาตินิยมขึ้นมาก่อนนั่นเอง ในเอเชียและแอฟริกาสำนึกของความเป็นชาติเป็นพลังทางอุดมการณ์ให้คนพื้นเมือง ต้องการ “ปลดแอกชาติ” (national liberation) ของตนให้พ้นจากอำนาจปกครองของเจ้าอาณานิคม และถือได้ว่าภูมิศาสตร์การเมืองของโลกในศตวรรษที่ 20 ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวงก็ด้วยพลังของอุดมการณ์ชาตินิยมแนวต่อต้าน การล่าอาณานิคมนี้มากกว่าปัจจัยอื่นๆ
 
อินเดียต่อสู้จนได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อ ค.ศ.1947 จีนถูกญี่ปุ่นเข้าครอบครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 8 ปี จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำสงครามปฏิวัติปลดแอกจีนจากการครอบงำของต่าง ชาติได้เด็ดขาดในปี 1949 อินโดนีเซียใช้เวลา 3 ปี ทำสงครามกับเนเธอร์แลนด์จนกระทั่งได้อิสรภาพในปี 1949 เวียดนามขับไล่ฝรั่งเศสจนต้องถอนตัวออกไปในปี 1954 แต่กว่าเวียดนามจะได้รับเอกราชสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาสู้รบกับสหรัฐอเมริกา อย่างหนักหน่วงถึง 14 ปี จนกระทั่งสามารถรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน พร้อมกับการถอนตัวออกไปอย่างสิ้นเชิงของกองทัพอเมริกันในปี 1975 และท้ายที่สุด ติมอร์ตะวันออกเป็นเอกราชจากอินโดนีเซียด้วยการทำประชามติเมื่อปี 2002
 
ในแอฟริกาขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชก็ดำเนินไปคล้ายกับที่เกิดในเอเชีย ไนจีเรียได้เอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี 1960 อัลจีเรียต้องต่อสู้ทำสงครามกับฝรั่งเศสอย่างยืดเยื้อกว่าจะได้เอกราชในปี 1962 เคนยาเป็นเอกราชในปี  1963 แทนซาเนียและมาลาวีเป็นเอกราชปี 1964 นามิเบียเป็นเอกราชเมื่อ ค.ศ.1990 ท้ายที่สุดคือซูดานใต้เป็นเอกราชจากประเทศซูดานด้วยการลงประชามติเมื่อปี 2011 นี้เอง
 
ในยุโรปนั้นหลายๆ สำนักทางวิชาการรัฐศาสตร์ฟันธงว่าไม่มีทางที่ภูมิศาสตร์การเมืองยุโรปจะ เปลี่ยนแปลงในท่ามกลางกระแสของประชาธิปไตยเสรีนิยมในศตวรรษที่ 21 และแล้วโคโซโวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอะไรจะมาต้านทานพลังของความต้องการ อันแน่วแน่ของมวลมหาประชาชนได้ ในที่สุดโคโซโวหรือคอซอวอได้ประกาศเป็นรัฐเอกราชแบบเอกภาคีในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2008
 
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชทั้งหลายในเอเชีย แอฟริกา และแม้กระทั่งล่าสุดที่โคโซโวในยุโรปตะวันออกก็ดี คือ การที่ชาติควรมีอัตวินิจฉัย (nation self-determination) เช่นเดียวกับที่เคยเกิดแก่นักคิดชาตินิยมในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเมื่อปลาย ศตวรรษที่ 18 ถึง ศตวรรษที่ 19 แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศในแอฟริกา เอเชีย และยุโรปตะวันออกคือประเทศเหล่านี้ “ต้องการเอกราชและต้องการพัฒนาเศรษฐกิจในคราวเดียวกัน” ดังนั้น การปลดปล่อยชาติหรือประเทศชาติจึงมิใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองเท่านั้น หากเป็นการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจด้วย
 
ในการแสวงหาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจนี้ประเทศกำลังพัฒนาเลือกที่จะหันไป หาลัทธิสังคมนิยมมากกว่าลัทธิเสรีนิยม ความข้อนี้เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะประเทศสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ต่างก็ต้องการเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่ ให้กับประเทศด้อยพัฒนา เพราะสังคมนิยมเองก็มีประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นศัตรูร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน
 
อย่างไรก็ตาม การที่ลัทธิชาตินิยมกับลัทธิสังคมนิยมจะจับมือกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะตามทฤษฎีแล้วชาตินิยมแบ่งความแตกต่างของมนุษย์ตามชาติ ส่วนสังคมนิยมแบ่งตามชนชั้น ส่วนที่สังคมนิยมกับชาตินิยมแบบต่อต้านเจ้าอาณานิคมเห็นพ้องต้องกัน จึงอยู่ที่การช่วยกันต่อสู้กับจักรวรรดินิยมหรือประเทศทุนนิยมตะวันตกนั่น เอง
 
สำหรับนักสังคมนิยมนั้นประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตกคือ หัวแถวของนายทุนซึ่งกดขี่ขูดรีดชนชั้นกรรมกรในขอบข่ายกว้างขวางทั่วโลก แต่สำหรับนักชาตินิยมในประเทศกำลังพัฒนาหรือที่เรียกว่าประเทศโลกที่สาม จักรวรรดินิยมตะวันตกคือ นักล่าอาณานิคมที่ปล้นเอกราชและวัตถุดิบจากประเทศของตน
 
แต่ทว่าท่าทีการแสดงออกเพื่อหยุดสงครามที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยหรือปา ตานีของสังคมโลก ด้วยการเปิดพื้นที่ให้มีการพบปะพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างตัวแทนของขบวนการ เคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีกับตัวแทนของรัฐไทย เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงสมัยของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2009
 
โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการพูดคุยเพื่อสันติภาพ ซึ่งมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)เป็นผู้ดำเนินการ และมีองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้านสันติภาพชื่อว่า Humanitarian Dialogue Center หรือเป็นที่รู้จักว่า HDC แปลว่า ศูนย์การพูดคุยเพื่อมนุษยธรรม สำนักงานใหญ่อยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เป็น ผู้ประสานงาน
 
ครั้งนั้น การพูดคุยก็ดำเนินการไประหว่างตัวแทน PULO (Patani United Liberation Organization) กับตัวแทน สมช. จนเกิดเงื่อนไขในการพิสูจน์ความจริงใจและพิสูจน์สถานะของตัวแทน PULO ว่ามีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวในพื้นที่จริงหรือไม่ของ สมช. ด้วยการเสนอให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 3 เดือน ทันใดนั้น วันรุ่งขึ้น หลังจากข้อเสนอหยุดยิงได้ถูกรับปากโดยตัวแทน PULO ก็ได้เกิดเหตุระเบิดที่ จ.นราธิวาส
 
ต่อมาเมื่อปลายปี 2011 HDC ก็ได้เชิญตัวแทนภาคประชาสังคมชายแดนใต้หรือปาตานีเข้าร่วมโต๊ะการพูดคุยด้วย ด้วยเหตุผลที่แน่ชัดอย่างไรนั้น ผู้เขียนก็มิอาจทราบได้ แต่ดูเหมือนว่า สมช.และ HDC กำลังส่งสัญญาณไปยังกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ เอกราชปาตานีว่า เจตจำนงทางการเมืองหรือความต้องการที่ชอบธรรมนั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวขบวนการฯ เท่านั้น ภาคประชาสังคมและประชาชนคือคำตอบสุดท้ายของสันติภาพที่นี่
 
เพราะกระแสการเมืองโลกหลังยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา ตัวชี้วัดการคลี่คลายความขัดแย้งในลักษณะทำสงครามต่อกันระหว่างรัฐกับ ชนกลุ่มน้อย ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นรัฐกับรัฐอีกต่อไป องค์กรนอกรัฐหรือภาคประชาสังคมที่ยึดมั่นและเคารพในหลักการประชาธิปไตยและ สิทธิมนุษยชนต่างหาก คือตัวแปรชี้ขาดสันติภาพในศตวรรษนี้ เช่น กรณีของอาเจะห์
 
เท่าที่ผู้เขียนได้รับรู้การเคลื่อนไหวของ HDC ที่มีบทบาทคล้ายคนกลางที่คอยประสานงานอำนวยการจัดการให้ได้มีการพบปะพูดคุย กันของทั้ง 3 ฝ่าย คือตัวแทนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ตัวแทนรัฐไทย และตัวแทนจากภาคประชาสังคมในพื้นที่ ในวาระ “จะร่วมกันสร้างสันติภาพที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยหรือปาตานีได้อย่าง ไร?”ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี ค.ศ.2011 นั้น มาถึงตอนนี้ก็ดำเนินการไปแล้ว 3 ครั้ง ในประเทศเพื่อนบ้าน
 
ส่วนรายละเอียดว่ามีข้อเสนอหรือเงื่อนไขอะไรบ้างจากการพูดคุยนั้น ผู้เขียนเองก็คิดว่าน่าจะต้องมีบ้างเป็นปกติของการพูดคุย แต่ผู้เขียนไม่มีความสามารถที่จะรับรู้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สำคัญเท่าท่าทีของ HDC ในฐานะตัวแทนของสังคมโลกที่เคารพในหลักการประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชนและรักสันติภาพ มีความมุ่งมั่นที่จะพยายามสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นจงได้
 
แน่นอนว่าตลอดการสู้รบกันระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี กับรัฐไทยในห้วงเวลาเกือบ9 ปีมานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างเหตุผลว่า “หยุดสงคราม คือ เป้าหมายของการทำสงคราม” แต่สำหรับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามเล่า จะมีส่วนร่วมในการหยุดสงครามได้อย่างไร?
 
ถ้าประชาชนรู้สึกว่าตัวเลขสถิติคนตายจากการสู้รบซึ่งปัจจุบันนั้นอยู่ ที่ 5,000 กว่าคน มันมากเกินไปแล้วในการเดิมพันกับการพยายามหยุดสงครามเพื่อสร้างสันติภาพ ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นสันติภาพในมุมของประชาชนต้องการหรือไม่
 
ก็น่าจะถึงเวลาได้แล้ว ที่ประชาชน “ต้องทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การทำสงคราม แต่เพื่อหยุดสงคราม” เพราะในแง่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศโดยเฉพาะ HDC นั้น ตัวเลขคนตาย 5,000 กว่าคนนั้นมันมากเกินไปตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ปีที่เริ่มมีการทำงานร่วมกับ สมช. ด้วยการเปิดไฟเขียวของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ในการพยายามสร้างสันติภาพด้วยการเปิดพื้นที่การพูดคุยกับฝ่ายขบวนการเคลื่อน ไหวเพื่อเอกราชปาตานี
 
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประชาชนกำลังคิดว่าจะทำอะไรเพื่อหยุดสงครามแล้วสถาปนาสันติภาพตาม ความต้องการของตนเองหรือกำลังทำอยู่แล้วก็ตามแต่ ก็อย่าลืมเตรียมคำตอบให้ชัดๆ ด้วยว่า “สันติภาพแบบไหนที่ประชาชนหรือประชาชาติปาตานีต้องการ?”  
 
จะเป็นแบบรัฐไทยนิยาม คือ ปาตานีเป็นจังหวัดปัตตานีของประเทศไทยต่อไป หรือ แบบขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีนิยาม คือ ปาตานีเป็นเอกราช?
 
เพราะตามหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนนั้น ตัวแปรชี้ขาดอยู่ที่ประชาชนที่ต้องเลือกระหว่างสองตัวเลือกนี้ เพราะตัวเลือกที่สาม คือการปกครองตนเองนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นตัวเลือกที่มาจากผลลัพธ์ของการเจรจาหยุดสงครามระหว่างคู่ สงคราม หรือมาจากการที่ประชาชนใช้สิทธิในการทำประชามติไม่ถึงเกณฑ์ที่วางไว้สำหรับ ให้เป็นเอกราช
 
เพราะถ้าประชาชนไม่ได้เตรียมคำตอบของตัวเองเลย ว่าสันติภาพแบบไหนที่ต้องการ กลัวว่าสันติภาพที่เกิดหลังจากการหยุดสงครามนั้น เป็นสันติภาพที่มาจากการถูกบังคับให้ต้องการด้วยความรุนแรงของทั้งสองฝ่าย คือขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีและรัฐไทย  
 
สรุปแล้วสันติภาพที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยหรือปาตานีจะเกิดขึ้นช้าหรือ เร็ว ก็ขึ้นอยู่กับบทบาทของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพมากน้อยแค่ ไหนนั่นเอง