ที่มา ประชาไท
Mon, 2012-08-06 14:11
5 ส.ค. ยุกติ มุกดาวิจิตร และ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายในงานโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง
(Laedership for Change) รุ่นที่ 3 จัดโดย มูลนิธิสัมมาชีพ ณ สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
เนื้อความดังต่อไปนี้เป็นบันทึกเนื้อหาของวิทยากรทั้งสองท่านในเฟซบุ๊ค
หลังจากที่ได้ไปบรรยายในกิจกรรมข้างต้น
ประชาไทเห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจจึงได้นำมมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง
ยุกติ มุกดาวิจิตร: บทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย
เมื่อเช้า ไปบรรยายที่สมาคมธรรมศาสตร์ฯ (ซึ่งแค่ให้สถานที่จัด
ไม่ได้เป็นผู้จัด) มีวิทยากรร่วมอีก 2 ท่าน (ดูในรูปจากมติชนออนไลน์ครับ)
ตอนแรก ผมจั่วหัวว่าจะบรรยายเรื่อง ม. 112 (ส่วนหนึ่งเพราะหลังๆ
มานี่ผมมักถูกถามว่าเป็นพวกนิติราษฎร์ด้วยหรือเปล่า ซึ่งผมมักตอบว่า
ผมไม่บังอาจเป็นสมาชิกนิติราษฎร์หรอก เพราะไม่ใช่นักนิติศาสตร์
ผมแค่ไปรับใช้เขา ไปร่วมรณรงค์ด้วยกันเท่านั้น) แต่พูดไปพูดมา
ต้องแบ่งการบรรยายเป็น 2 รอบ
รอบแรก พูดเรื่องการกระจายอำนาจและการกระจายทุน
ผมพูดจากงานวิจัยที่กำลังเขียนอยู่ว่า
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมไทยในรอบ 20
ปีที่ผ่านมาเป็นดอกผลของประเด็นทางการเมืองในทศวรรษ 2530 คือ
ประเด็นการกระจายอำนาจและการกระจายรายได้
ผลคือได้เกิดการกระจายทรัพยากร เงินทุน ลงไปในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น
ผู้คนในชนบทเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดตั้งแต่ก่อนการเข้ามาบริหารประเทศของไทยรักไทยด้วย
ซ้ำ ผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ เราได้กลุ่มคนที่ผมเรียกว่า homegrown
entrepreneur เป็นผู้ประกอบการที่โตขึ้นมาจากท้องถิ่น พูดง่ายๆคือ
"เจ๊กเริ่มหายไป มีนายทุนน้อยที่เป็นคนท้องถิ่นมากขึ้น"
ผลอีกทางคือ เกิดการกระจายอำนาจ
เกิดการฝังรากลึกของประชาธิปไตยแบบตัวแทนลงในสังคมไทยรากหญ้า
ทำให้การเลือกตั้งมีความหมายสำหรับประชาชน
ไม่ใช่เฉพาะการเลือกตั้งระดับชาติ แต่รวมถึงการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น
การรัฐประหารปี 2549 พยายามกลับกระบวนการนี้ แต่ไม่สำเร็จ
แถมยังต้องตามน้ำรักษาการกระจายทรัพยากรไว้ ทำได้แค่เปลี่ยนชื่อกองทุนต่างๆ
และพยายามดึงอำนาจการปกครองท้องถิ่นกลับมา
ด้วยการให้ผู้ใหญ่บ้านอยู่ในอำนาจนานขึ้น ให้ ผญบ เลือกกำนัน
ตั้งองค์กรสภาชุมชน
แล้วก็พักช่วงแรก ระหว่างพัก
เริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่าผมจะพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์จะดีหรือ
จะปลอดภัยหรือไม่ ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย
ลำพังพูดเรื่องข้างต้นให้เข้าใจ นำเอาข้อมูลต่างๆ จากการวิจัยมาเสนอ
ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้จัดยืนยันว่าผมสามารถพูดเรื่อง 112 ได้
เพียงแต่ให้ปรับโทนให้เกิดความเข้าใจระหว่างกลุ่มที่เห็นต่างกันหน่อย
หลังเบรค ผมพูด 2 ประเด็น หนึ่ง
ทำไมบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเมืองระบอบประชาธิปไตยจึงขึ้นมาเป็น
ประเด็นในการเมืองไทยปัจจุบัน สอง สังคมต้องแยกเรื่อง ม. 112
ให้ออกจากเรื่องสีเสื้อ แล้วตอบให้ได้ว่า ทำไม ม. 112
จึงกลายเป็นประเด็นทางสังคมในปัจจุบัน
ประเด็นแรก ผมตอบว่า ประเด็นทางการเมืองในสังคมไทยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
แต่การเปลี่ยนประเด็นแต่ละสมัยเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ไม่ใช่อยู่ๆ ใครจะจุดประเด็นขึ้นมาก็เกิดได้ง่ายๆ
การที่สังคมไทยปัจจุบันตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันฯ
แสดงว่าบทบาทเท่าที่เคยถูกคาดหวังให้เป็นมา
ไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมปัจจุบันแล้ว (ยาวเหมือนกัน ขอละไว้)
ประเด็นที่สอง การที่ ม.112 เป็นประเด็น ไม่ใช่เพราะนักวิชาการจุดขึ้นมา
เพราะนักวิชาการหลายกลุ่มพูดเรื่องนี้มานานแล้ว
พูดหนักขึ้นหลังรัฐประหารก็จริง แต่ยังไม่เป็นประเด็นอยู่ระยะหนึ่ง
แต่เมื่อเกิดการคุกคามสิทธิเสรีภาพด้วยกฎหมายนี้อย่างรุนแรงในระยะหลังรัฐ
ประหาร และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2553 การคุกคามนี้กระจายไปทั่ว
ประชาชนเขาตระหนักรู้ได้ ชนชั้นนำในสังคมไทยจำนวนมากตระหนักรู้
เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นโดยไม่มีการแบ่งแยกสี
แล้วเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวของ ครก.112 และนิติราษฎร์
ไปดูคนที่คัดค้านการรณรงค์ คัดค้านการแก้ไขเป็นใคร
เป็นนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เป็นทักษิณ เป็นพรรคเพื่อไทย
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพวกแม่ทัพนายกอง แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสี
แต่ผมสรุปว่า เป็นการที่ผลประโยชน์ของประชาชนไม่สอดล้องกับการดำรงอยู่ของ
ม.112 ในลักษณะที่เป็นอยู่นี้อีกต่อไป
ตอนท้าย มีคำถามระดมเข้าใส่ผมมากมาย ล้วนเป็นคำถามสำคัญที่ผมต้องตอบให้ได้
คำถามหนึ่งที่ผมอยากแชร์คือ
ถาม: "ทำไมนิติราษฎร์จึงเสนอให้ถอด ม.112 ออกจากหมวดความมั่นคง จะบอกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สำคัญต่อความมั่นคงหรืออย่างไร"
ตอบ: "แน่นอนว่าการคุ้มครององค์พระประมุขของรัฐย่อมสำคัญ
แต่กฎหมายในระบอบประชาธิปไตยก็จะต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย
โจทย์คือ จะถ่วงดุลการคุ้มครองนี้อย่างไร และการถ่วงดุลนี้
นานาชาติเขาทำกันอย่างไร เราจะทำให้ทัดเทียมเขาได้อย่างไร"
ขอบคุณผู้จัดที่มีความกล้าหาญให้ผมพูดจนจบ
และขอบคุณผู้ร่วมอภิปรายที่ช่วยให้รูปธรรมของปัญหาของ ม.112
ทำให้ประเด็นที่ผมเสนอชัดเจนขึ้น
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : ภารกิจสองข้อของการปฏิรูปประชาธิปไตย มายาคติสี่ข้อที่ต้องฝ่าไปให้ได้
ได้รับเกียรติจากมูลนิธิสัมมาชีพให้ไปคุยเรื่องการปฏิรูปประชาธิปไตย ผมเสนอความเห็นไปว่าโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปประชาธิปไตยตอนนี้มีสองข้อครับ
ข้อแรกคือทำให้สถาบันการเมืองประชาธิปไตยมีความเป็นเสรีประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ขึ้น ข้อนี้หมายความถึงการทำให้ทิศทางประชาธิปไตยกลับไปเป็นแบบก่อนปี 2549 คือเอาอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งเป็นฐานของอำนาจการเมืองทั้งหมด ลดอำนาจของฝ่ายที่ไมไ่ด้มาจากการเลือกตั้งลง เดินหน้าเรืองกระจายอำนาจ ทำประชาธิปไตยให้เดินตามมาตรฐานขั้นต่ำของเสรีประชาธิปไตยที่อารยะ
ข้อสอง ต้องผลักประชาธิปไตยให้ไปไกลว่าปี 2549 ซึ่งในวงนักวิชาการหรือในสังคมก็มีการคิดหาประชาธิปไตยสูตรใหม่ๆ เยอะไปหมด มีเรื่องประชาธิปไตยที่เน้นการมีส่วนร่วม ประชาธิปไตยที่มีฐานจากกลุ่มหรือสมาคมต่างๆ ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ ผมก็เคยเขียนเรื่องประชาธิปไตยกับความเป็นศัตรูหรือ Antagonistic Democracy เอาไว้
อย่าทำเหมือนกับการเมืองแบบก่อน 2549 เป็นความสมบูรณ์และเป้นจุดจบของการปฏิรูปโดยตัวเอง
ข้อแรกเข้าใจง่ายเพราะเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้คนพูดบ่อย ข้อสองเข้าใจยากหน่อยเพราะยังไม่ค่อยมี่ใครพูดและต้องการเวลาอธิบาย
ประเด็นสำคัญที่ผมคุยต่อคือการปฏิรูปประชาธิปไตยต้องไปให้พ้นจากมายาคติสี่ข้อ
ข้อแรก มายาคติแรกคือ Democracy without Politics คือความคาดหวังว่าประชาธิปไตยจะเต็มไปด้วยทุกสิ่งทีีดีๆ ซึ่งไม่ใช่ ประชาธิปไตยไม่ใช่่จุดจบของทุกอย่าง ประชาธิปไตยคือการเมืองแบบที่แสนเต็มไปด้วยการเมือง เล่นการเมืองกันทั้งนั้น ทุกค่าย ทุกฝ่าย ไม่เว้นสีไหนค่ายไหนกลุ่มไหนชนชั้่นไหน
ถ้าจะอยู่ในระบบประชาธิปไตยก็ต้องทนการแก่งแย่งแบบที่ทั้งมีหลักทั้งไม่ มีหลักของทุกฝ่ายให้ได้ เลิกคิดได้แล้วว่าประชาธิปไตยจะนำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตทางการเมือง
อธิบายว่ามายาคตินี้เป็นปัญหาอย่างไรไว้นิดหน่อยในงาน จะไม่ขอเล่าในที่นี้
ข้อสอง มายาคติเรื่อง Democracy = Good Governance ซึ่งแพร่หลายมากในกลุ่มนักธุรกิจหรือนักปฏิรูปทัี้งหลาย เรื่องนี้มันเป็น term หรือคำของพวกนักบริหาร Good Governance สำคัญแน่ แต่ประชาธิปไตยเน้นไปที่ทางเลือกและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร เพราะทางเลือกและโอกาสเข้าถึงทรัพยากรหมายถึงทำให้แต่ละคนแต่ละกลุ่มมี ศักยภาพจะเล่นการเมืองได้มากขึ้น ความสามารถในการเล่นการเมืองได้มากขึ้นคือเงื่อนไขให้คนได้ชีวิตแบบที่เขา ต้องการ
เรื่องนี้สำคัญอย่างไรก็จะเก็บไว้อธิบายในโอกาสถัดไป
ข้อสาม ประชาธิปไตยไม่เท่ากับเสรีประชาธิปไตยหรือระบบที่มีการแข่งขันทางการเมือง ที่สมบูรณ์ที่สุด ประชาธิปไตยวางอยู่บนความคิดเรื่องความเท่าเทียม เชื่อว่าทุกคนเท่ากัน ทุกกลุ่มเท่ากัน ถึงตอนนี้จะไม่เท่ากัน ก็ต้องสร้างเงื่อนไขหรือระบบให้คนเท่ากันในวันข้างหน้าให้ได้
ประชาธิปไตยต้องการพื้นฐานทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย มีการรวมกลุ่ม กลุ่มแต่ละกลุ่มแตกเป็นกลุ่มย่อยได้กว้างขวาง ไม่จำเป็นว่าชนชั้นหรือเพศเดียวกันต้องเป็นกล่มเดียวกันไปหมดทุกเรื่อง เพราะถ้าทุกคนและทุกกลุ่มเท่ากันก็ไม่มีเหตุให้ใครมีสิทธิในการบอกว่ากลุ่ม ของชนชั้นหรือเพศหรืออาชีพหรืออัตลักษณ์ต้องมีลักษณะเดียวกันทุกกรณี
ข้อสี่ ประชาธิปไตยไม่เกี่ยวอะไรกับการสร้างความปรองดอง ความเป็นเอภาพ ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ประชาธิปไตยไม่เกี่ยวกับการทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นสมาชิกของชุมชนเดียวกัน ชาติไม่ต้องเป็นแบบเดียวกัน ศาสนา ค่านิยมอื่นๆ ก็เช่นเดียวกันด้วย แม้กระทั่งการวิจารณ์ค่านิยมต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกันอย่างไมม่ีเงื่อนไข
พูดง่ายๆ คือแดงไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกเรื่อง เกย์ กลุ่มศาสนา กรรมกร เสื้อหลัง เสรีนิยม ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันหมดในกลุ่มเดียวกัน
อธิบายปัญหาของมายาคติข้อนี้ไว้ในงาน จะหาโอกาสเขียนเรื่องนี้ในโอกาสถัดไป
สรุปคือผมเสนอว่าในแง่สถาบันการเมือง การปฏิรูปมีโจทย์ใหญ่สองข้อครับ แต่ในแง่ความคิดแล้ว การปฏิรูปถูกล้อมด้วยมายาคติสีข้อซึ่งจะเป็นกรอบของการปฏิรูปอย่างมีนัยยะ สำคัญ
ที่มา:
Facebook Yukti Mukdawijitra
Sirote Klampaiboon (ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์) Fanpage
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:มติชน "สังศิต" ชี้ปชต.ในประเทศไทยแค่ธุรกิจการเมือง แนะสกัดรบ.เสียงข้างมาก-คอรัปชั่น