ที่มา ประชาไท
ชำนาญ จันทร์เรือง
ผู้อ่านที่เห็นชื่อบทความชิ้นนี้แล้วคงคิดอยู่ในใจว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายมีการประทะกันจนเลือดตกยางออกมาแล้ว มีการกล่าวหาโจมตีกันอย่างรุนแรงประเภทที่ว่าได้ยินแล้วคงนึกว่าชาตินี้คงไม่เผาผีกันแล้ว แต่คำกล่าวที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมือง” ยังคงความเป็นจริงอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการเมืองของไทยหรือของต่างประเทศ
อย่าลืมว่าเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงนั้น มาจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยแท้ ผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายจากการประทะกันของเสื้อสองสีนี้ไม่ว่าจะเป็นน้องโบว์ หรือคุณณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสงค์ ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งโกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เกิดจากการปลุกปั่นยุยงของแกนนำของทั้งสองฝ่ายที่ชักจูงให้เข้าห้ำหั่นกัน
ใครจะนึกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะโอบกอด จูบปากกันอย่างดูดดื่มกับเนวิน ชิดชอบ ผู้เคยโค่นล้มพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจจนพรรคของตนเองตกเก้าอี้กรณี สปก.4-01 มาแล้ว
ใครจะนึกว่าสหายที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขเมื่อคราวหนีเข้าป่าครั้ง 6 ตุลา 19 มาด้วยกัน จะต้องมาแยกทางไปสวมเสื้อที่ต่างสี แล้วกล่าวโจมตีกันประหนึ่งว่าโกรธแค้นกันมาเป็นโกฏปี
ใครจะนึกว่าจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจร หรือแม้กระทั่งพลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ถูกขับไล่จากมวลชนเป็นเรือนหมื่น เรือนแสน จนเกิดการประทะกันมีผู้เสียชีวิตมากมาย กลับสามารถเดินอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นจะฆ่ากันให้ตายเสียให้ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงจะหันกลับมาจับมือกันไม่ได้ หากว่าจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองลงตัวกัน เพราะแท้จริงแล้ว “การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ” เมื่อใดที่จัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองลงตัว กันแล้วก็ย่อมสามารถหันมาจูบปากกันได้อย่างแน่นอน
เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงจะรวมกันได้อย่างไร
ณ สถานการณ์ปัจจุบันนี้ หากว่าเสื้อเหลืองสามารถสลัดคราบของแกนนำพันธมิตรบางคนที่อิงแอบกับพรรคประชาธิปัตย์ออกไปได้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าแกนนำเสื้อเหลืองกำลังพยายามทำอยู่ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์เดือนเมษายนที่ผ่านมา แกนนำเสื้อเหลืองต่างสงบนิ่งไม่ออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำรัฐบาลแต่อย่างใด ซึ่งเผลอๆ อาจอยากเห็นรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำล้มลงเสียด้วยซ้ำกระมัง จนฝ่ายรัฐบาลต้องจัดตั้งม็อบเสื้อน้ำเงินออกมาประทะกับเสื้อแดงที่พัทยาจนเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตดังที่เราทราบกัน
เสื้อเหลืองหลายคนออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นเพราะชื่นชอบคุณสนธิ หรือแกนนำ แต่ออกมาเคลื่อนไหวเพราะรับไม่ได้กับระบอบทักษิณที่เหลิงอำนาจ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และแทรกแซงสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง มีทั้งการอุ้มและฆ่าตัดตอนกว่า 2,500 ศพ มีการใช้กลไกของรัฐคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายและผูกขาดตัดตอนเอื้อแต่ธุรกิจของกลุ่มและพวกตนเอง
ในทำนองเดียวกันหากว่าเสื้อแดงสามารถสลัดคราบของคุณทักษิณและนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยออกไปได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะยาก แต่ต้องยอมรับความจริงว่า มีเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุน มิได้ออกมาเพราะความนิยมชมชอบคุณทักษิณ แต่เพราะทนเห็นการปฏิบัติที่เป็นสองมาตรฐานจากรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้ หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะทนไม่ได้ต่อการที่สื่อกระแสหลักไม่เปิดพื้นที่ให้เขา
หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะรับไม่ได้กับการรัฐประหารของทหารที่ทำให้บ้านเมืองล้าหลังและวุ่นวายจนถึงปัจจุบัน หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะทนเห็นการกระทำที่เลอะเทอะของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองไม่ได้
แต่ที่แน่ๆ ที่ทั้งสองกลุ่มมีเหตุผลตรงกันในการออกมาเคลื่อนไหวทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงก็คือ “ความอยุติธรรม” ในสังคมที่อำนาจทางการเมืองถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่ตระกูล ไม่กี่อาชีพ คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง อำนาจทางธุรกิจถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่มที่แอบอิงอำนาจรัฐ ฯลฯ
ฉะนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดที่เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงจะหันกลับมารวมกัน เพราะมีจุดร่วมเดียวกันคือต่อสู้กับความไม่ธรรมในสังคมที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่ในขณะนี้ และเหตุผลที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือ “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” นั่นเอง
หากเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงรวมกันได้ แล้วใครจะหนาว
แน่นอนว่าหากเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงรวมกันได้แล้วผู้ที่จะหนาวไปถึงขั้วหัวใจย่อมเป็นชนชั้นนำที่ยึดกุมอำนาจรัฐและกลุ่มนายทุนขุนศึกผู้ที่หนุนหลัง ตลอดจนนักการเมืองอีแอบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ส.ส.หรือ ส.ว.ทั้งหลายที่คอยฉกฉวยประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของเสื้อเหลืองเสื้อแดงนั่นเอง
การผลักดันนโยบายและการตรวจสอบการใช้อำนาจของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่รวมกันโดยปราศจากการหนุนหลังจากนักการเมืองย่อมเป็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่แท้จริง ผู้ที่ทุจริตคิดมิชอบและฉ้อฉลย่อมอยู่ไม่เป็นสุข บ้านเมืองย่อมสะอาดและโปร่งใสขึ้นเพราะพลังมวลชนอันมหาศาลคอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แกนนำพันธมิตรบางคนมีแนวคิดที่จะกระโจนออกจากการเมืองภาคประชาชนด้วยการพยายามขายแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตัวอย่างพรรคพลังธรรมก็เคยมีให้เห็นมาแล้วว่าไม่ได้ผล
เราลองคิดทบทวนดูว่าเมื่อครั้ง 14 ตุลา 16 ที่มวลชนออกมาเต็มถนนราชดำเนินโดยไม่มีการแบ่งแยกสีเสื้อแล้วผลที่ตามมาว่าคืออะไร แน่นอนว่าเราสามารถโค่นล้มรัฐบาลทหารและนำประชาธิปไตยมาสู่สังคมไทยได้ แม้ว่าจะไม่คงทนนักเพราะถูกรัฐประหารในภายหลังอีกก็ตามแต่ก็ถือได้ว่าเป็นการริเริ่มที่เป็นแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เมื่อหวนกลับมาถึงปัจจุบันที่ที่มวลชนต่างแยกกันเดินเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดงแล้วผลที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แทนที่จะได้การเมืองใหม่แบบที่เสื้อเหลืองต้องการหรือการเมืองที่ปลอดจากการแทรกแซงของอำมาตยาธิปไตยแบบที่เสื้อแดงต้องการ แต่กลับเป็นว่าทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต่างถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหากันระนาว มิหนำซ้ำยังมีการมุ่งร้ายถึงกับใช้อาวุธสงครามถล่มเพื่อเอาชีวิตแกนนำโดยผู้ที่ต้องการ “หยุดเสื้อแดงและสยบเสื้อเหลือง” เสียอีก
ถึงเวลาแล้วที่ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่จะหันกลับมาคิดที่จะออกจากสภาพของการเป็นเบี้ยที่ถูกจับวางไว้เพื่อป้องกัน ขุน โคน ม้าหรือเรือทั้งหลาย โดยต้องพร้อมที่จะเป็นเบี้ยหงายที่มีพิษสง สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้หลายทิศทาง ไม่ตกอยู่ในสภาพที่เป็นเบี้ยคว่ำที่จะต้องถูกจับให้เดินเพื่อไปถูกกิน แต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2552