โดย เปลวเทียน ส่องทาง
28 มกราคม 2553
“คนเสื้อแดง” จำนวนมากชื่นชอบอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ อาจจะมาจากหลายสาเหตุ เช่น นโยบายที่แก้ปัญหาคนจนได้เป็นรูปธรรมโดยที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำมาก่อน อาจจะเพราะทักษิณติดดิน ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่าย อาจจะเพราะทักษิณพูดเก่งปากหวาน ก็ว่ากันไป
คนเสื้อแดง จำนวนไม่น้อยไม่ได้นิยมรักใคร่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ แต่พวกเขารักประชาธิปไตยยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย เชื่อว่าประชาธิไตยเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ อำนาจอธิปไตยต้องมาจากปวงชน ทุกคนเท่ากันหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง ที่มีวาระการเลือกตั้งผู้บริหารผู้ปกครองประเทศแน่นอน ผู้บริหารผู้ปกครองประเทศเปลี่ยนได้ตามวาระ ถ้าประชาชนเขาไม่เอา ผ่านการเลือกตั้ง มิใช่การรัฐประหารไม่ว่าโดยทหารหรือโดยศาลก็ตาม
แต่พวกเขายอมรับการลงคะแนนของเสียงส่วนใหญ่ ที่เลือกทักษิณ
คนเสื้อแดง ส่วนใหญ่เป็นรากหญ้าในชนบท เป็นคนชั้นกลางในเมืองบางส่วนที่มองเห็นความสำคัญของประชาธิปไตย เห็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวมากว่าอารมณ์ความรู้สึก
แดง จึงเป็นสัญญลักษณ์ของฝ่ายประชาธิไตย เหลืองเป็นสัญลักษ์ของฝ่ายอำมาตยาธิไตย
แล้ว “กรรมกร” ผู้ไร้ปัจจัยการผลิต มีแรงงานเป็นสินค้า เขารักประชาธิปไตยหรือนิยมอำมาตยาธิปไตย ?
“กรรมกร” ที่ถูกครอบงำโดย”ขุนนางกรรมกร” สายพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย สมศักดิ์ โกสัยสุข สาวิตย์ แก้วหวาน เสน่ห์ หงษ์ทองกรรมการพรรคการมืองใหม่นั้น ย่อมถูกพาสู่ทางอำมาตยาธิปไตย หรือ “เหลือง”
แต่จุดยืนที่ถูกต้องของ”กรรมกร” ต้องเป็น “แดง” ต้องไม่ “เหลือง” เหมือนพ่อแม่เขาในชนบทที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแดง…..และพ่อของแม่ แม่ของพ่อล้วนเป็นอดีตไพร่ในสังคมศักดินาหาใช่ขุนนางอำมาตย์ไม่
แม้ว่าความขัดแย้งหลักในสังคมทุนนิยม จะเป็นความขัดแย้งระหว่างทุนกับกรรมกรก็ตาม
แต่เงื่อนไขประวัติศาตร์ที่เป็นจริงดำรงอยู่ในฃ่วงเปลี่ยนผ่านสังคมไทย อิทธิพลความคิดอุดมการศักดินาครอบงำสังคมไทยภายใต้ทุนนิยมล้าหลัง และมีความขัดแย้งระหว่างทุนเสรีนิยมกับทุนสามานย์อำมาตย์ ที่เติบโตสะสมทุนผ่านกลไกอำมาย์แบบอภิสิทธิ์ชนมากกว่าการแข่งขันอย่างเสรีและโปร่งใส
ณ ปัจจุบัน ความขัดแย้งรองระหว่างทุนเสรีนิยมกับทุนสามานย์อำมาตย์ เป็นสิ่งที่กรรมกรต้องเลือกว่าจะเป็นแนวร่วมหรือสนับสนุนฝ่ายใด
ความขัดแย้งระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นสิ่งที่กรรมกรต้องเลือกว่าจะเป็นแนวร่วมหรือสนับสนุนฝ่ายใด
ไม่มีความเป็นกลาง สองไม่ หรือสองเอา ?
ประสบการ์ของ”กรรมกร” ในชีวิตประจำวันนั้น มีกรรมกรจำนวนไม่น้อยได้ตระหนักในสิทธิและได้มีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องไม่ได้ยอมจำนนแต่อย่างใด ในรูปแบบการรวมกลุ่มในรูปแบบสหภาพแรงงาน เหมือนเฉกเช่นชนชั้นนายทุน พวกอำมาตย์ ที่รวมตัวในนาม สมาคมนายจ้าง สมาคมธนาคาร สมาคมหอการค้า ฯลฯ
การจัดตั้งสหภาพแรงงานของกรรมกร เป็นโรงเรียนประชาธิปไตยในการจัดการชีวิตของกรรมกรที่ไม่ให้นายจ้างเอารัดเอาเปรียบ
“กรรมกร” ได้เรียนรู้ว่าผู้นำของพวกเขาในการต่อสู้เพื่อไม่ให้นายทุนกดขี่ต้องมาจากการเลือกตั้งของพวกเขาเอง มิใช่นนายทุนแต่งตั้งให้ กรรมการสหภาพแรงงานต้องมีวาระตำแหน่งในการบริหารสหภาพแรงงานที่แน่นอนว่ากี่ปี ต้องประกาศเจตนารม มีนโยบาย มีเป้าหมายให้พวกเขาชัดเจนว่าจะนำพาสหภาพแรงงานไปทางไหน เมื่อใดก็ตามที่สหภาพเดินผิดทิศผิดทางเมื่อนั้น พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนผู้นำไม่เลือกคนประเภทนี้อีกได้
เฉกเช่นเดียว กับการเมืองระดับชาติ ที่กรรมกรต้องส่งเสริมประชาธิปไตย ต้องแดง เพื่อสิทธิของกรรมกรที่ต้องต่อสู้กับทุนและรัฐในระดับนโยบาย เช่น การแก้ไขกฎหมายแรงงานที่ล้าหลัง การมีกฎหมายความปลอดภัยในที่ทำงาน การมีสวัสดิการของคนงาน การนโยบายมีค่าจ้างที่เป็นธรรม ฯลฯ และที่สำคัญต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งฉบับ และให้กรรมกรมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนทุกระดับในพื้นที่ที่พกวเขาทำงานหรือในสถานที่ประกอบการ เพื่อให้กรรมกรมีสิทธิเลือกผู้แทนทุกระดับ และต่อรองเสนอนโยบายกับผู้แทนของตนเองได้ มิใช่ต้องกลับบ้านไปเลือกตั้งต่างจังหวัดทั้งๆที่ชีวิตทั้งชีวิตพวกเขาไม่ได้อยู่บ้านภูมิลำเนาเดิมแล้ว
บทเรียนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็ได้บอกให้”กรรมกร”รู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่สังคมไทยเป็นประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง กรรมกรมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี
การเคลื่อนไหวเพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เงื่อนไขที่จะประสบความสำเร็จย่อมมีสูง เช่น หลัง 14 ตุลาคม 2516 มีกฎหมายแรงงานรองรับสิทธิกรรมกร หรือกฎหมายประกันสังคม ก็คลอดในยุคนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณที่มาจากการเลือกตั้ง
เมื่อใดก็ตามที่อำนาจเผด็จการอำมาตย์ทหารครอบงำสังคมไทย เมื่อนั้น “กรรมกร”ต้องถูกกำจัดสิทธิเสรีภาพที่พึงมี เช่น ภายหลังคณะรัฐประหารรสช.ยึดอำนาจ รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุณ ได้ออกกฎหมายยกเลิกพรบ.รัฐวิสาหกิจเพื่อกีดกันมิให้บทบาทสหภาพรัฐวิสาหกิจในการหนุนช่วยแรงงานพื้นฐาน
ปัจจุบัน ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐบาลอำมาตย์อภิสิทธิ์ ก็ได้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เครื่องขยายเสียงทำลายโสตประสาทการชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ตลอดทั้งล่าสุดได้มีนโยบายจัดระเบียบสหภาพแรงงานหรือลิดรอนสิทธิของกรรมกรอีกแบบหนึ่งนั้นเอง
การต่อสู้เรื่องประชาธิปไตย จึงมิใช่เรื่องไกลตัวจากเรื่องชีวิต”กรรมกร”แต่อย่างใด เป็นภาระกิจทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของ”กรรมกร”เหมือนเช่น คนรากหญ้าในชนบท ผู้รักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
และมีแต่สังคมที่มีประชาธิปไตยและเสรีภาพเท่านั้น เป็นเงื่อนไขสำคัญให้การเติบโตของพลังชนชั้นกรรมกรได้อย่างกว้างใหญ่ไพศาลและเข้มแข็งได้
“กรรมกร” จึงต้อง ”แดง” มิใช่ “เหลือง”
“กรรมกร” จึงต้องรัก “ประชาธิปไตย” มิใช่ สยบยอมเป็นทาสต่อ “อำมาตยาธิปไตย”
เพื่อไทย
Thursday, January 28, 2010
ทำไม”กรรมกร” ต้อง”แดง” และต้องไม่ “เหลือง”
ที่มา Thai E-News