ที่มา เวบไซต์ redthais
29 มกราคม 2553
สุดเส้นทางเดินของมนุษย์มันก็สุดแค่เถ้าธุลี การอ่านสดุดีในวันที่มีญาติๆ เอาร่างกายที่ปราศจากวิญญาณขึ้นสู่เชิงตะกอน เรื่องราวที่ดีๆ ครั้งสุดท้ายของคนที่สิ้นไปแล้ว เปรียบเสมือนสายลมที่พัดผ่านหู ไม่มีใครจดจำเอามารำลึกถึง หรือถ้าได้เขียนหนังสือประวัติแจกในงานศพ จะมีถึงหนึ่งในสิบหรือไม่ ที่คนรับไปจะอ่าน แล้วชื่นชม
พูดกันมานาน พูดกันมามาก พูดกันจนเป็นท่องจำกันไปแล้ว “สละชีพเพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์”
พวกที่ท่องจำกันมากกว่าใคร คือ พวกที่เกิดมาไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากเช้าแต่งเครื่องแบบไปที่ทำงาน กลางวันตีกอล์ฟ สิ้นปีวิ่งหาตำแหน่ง เมียวิ่งเข้าหลังบ้าน ประจบหาของกำนัลไปให้คุณนายท่านๆ ทั้งหลาย ถ้าสิ้นปีได้ตำแหน่งก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็อดทนเลียแข้งเลียขาไปอีกปี ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ก็ยังวิ่งไม่เลิก หน้าหนาหน้าทนไปกราบกรานนักการเมืองอายุแค่รุ่นลูก พ่อค้าเจ๊กจีนที่มีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ เพียงว่าเขามีบารมีพอที่จะช่วยเหลือได้ กราบไหว้ได้ทุกแห่งหน ไม่ว่า ศาลา หรือ ต้นไม้ ขอให้มีช่องทาง กราบได้ทั้งนั้น เหตุเพราะถ้าได้ตำแหน่งที่ตนเองต้องการแล้ว จะรวย จะใหญ่คับประเทศ ทำอะไรในประเทศนี้ก็ไม่ผิด ถ้ามันจะผิดก็อ้างเหตุได้เพราะไม่ได้ตั้งใจ
พวกนี้ไม่เคยเห็นมีใครตายบนสนามรบซักครั้ง ตายครั้งไร ก็ตายในเตียงนอนโรงพยาบาลทุกที ตายแล้วมีเบื้องหลังโผล่ออกมาแทบจะถ้วนทุกตัวคน ลูกเมียที่ไม่รู้ว่าไปสมสู่ที่ไหนกัน มาโผล่กันเต็มงานศพ เงินทองงอกเงยออกมา กองท่วมหัว เกินกว่าฐานะของตนที่จะมีได้ คล้ายกับว่า มันเป็นโบนัสจากสรรค์ ใช้กันอีก10 ชาติก็ไม่หมด ลูกเมียแบ่งกันไปสนุกสนาน ใครได้มากได้น้อย เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ฟ้องร้องกันไป แบ่งเงินไปให้ทนายใช้กันบ้าง
พวกท่องจำพวกนี้ สละชีพกันแบบไหน นั่งทำงานอยู่ในห้องห้องแอร์ เงินเดือนเหยียบแสน บ้านไม่ต้องเช่า น้ำมันไม่ต้องซื้อ ไฟฟ้า ประปา หลวงจ่ายให้ เครียดกับการจะต้องจัดหารถถังให้ได้ 100คัน เครื่องบินหนึ่งฝูง เรือดำน้ำ 1ลำ ถ้าไม่ได้ จะต้องหาทางบีบรัฐบาล วางแผนจนปวดสมอง ทำอย่างไรดีจึงจะสัมฤทธิ์ผล ทำอย่างไรจึงจะงัดเอางบประมาณจากรัฐบาลที่เป็นภาษีจากเหล่าไพร่อย่างพวกเรา ออกมาใช้ให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ทั้งหมดนี่แหละ เมื่อวันที่ต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล แล้วก็เสียชีวิตลง คนเหล่านี้ได้สละชีพเพื่อชาติไปแล้วทั้งนั้น เกียรติยศเต็มบ่า สายสะพายเต็มหน้าอก มีโกศสีทองเหลืองอร่ามตั้งไว้ เปรียบได้กับศพเทวดา ไม่ใช่ศพคน
วันดีคืนดี มนุษย์พันธุ์พิเศษพวกนี้บางคนที่ยังไม่ทันได้ตาย ก็ขนรถถังที่พวกเขาจัดหาซื้อกันเอาไว้ ออกมาวิ่งบนท้องถนน บังคับให้ประชาชนที่ดูทีวีเสรี เปิดแต่เพลงโบรานที่พวกเขาเคยชอบฟังกันมาสมัยยังหนุ่ม เปิดให้ฟังกันทุกช่อง และ ประกาศ “โปรดฟังอีกครั้ง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในประเทศไม่สนใจ หุ้นจะตกกราวรูด สินค้าส่งออกถูกระงับ สถานทูตบางแห่งปิด เศรษฐกิจภายในทรุดตัว คนยากจนลงทันตาเห็น อาชญากรรมขยายตัวราวกับดอกเห็ด ยาเสพติดมีดาษดื่น การพนันทุกชนิดเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่รับรู้ทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเขาป่าวประกาศว่า ที่ทำครั้งนี้ก็ “เพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์” เท่านั้นพอแล้ว
ลูกชาวบ้านที่ไปเกณฑ์เขามาฝึก อายุยังน้อยนิด จับปืนก็แทบจะเป็นลม พ่อแม่น้ำหูน้ำตาไหล เมื่อลูกต้องจับใบแดง ฝึกเสร็จ มิทันได้รู้ตัว ก็ส่งพวกเขาลงไปภาคใต้ สละชีพเพื่ออะไร ยังท่องจำได้ไม่หมด รู้แต่ว่า ต้องออกไปล่อเป้าให้คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งคอยซุ่มยิง ซุ่มกดระเบิด เท่านั้น ถ้าโดนก็ถือว่าแจ็กพ็อต ได้รับใช้ชาติไปแล้ว พ่อแม่ทางบ้านได้ฟังข่าว หัวใจแทบแตกสลาย ล้มทั้งยืนเมื่อทราบข่าว “ลูกรับใช้ชาติไปแล้ว”
เมื่อภาพและเสียงออกทีวี คำเดียวที่พูดออกมาได้ “ภูมิใจจริงๆ ที่ได้รับใช้ชาติ” ทั้งที่ในใจคิดว่า ถ้าวันนั้น กูมีเงินจ่ายให้สัสดีสามหมื่นบาท ลูกกูก็ไม่ต้องมาตายแล้วได้รับพวงหรีดจากเจ้านายเต็มศาลาวัด เงินอันน้อยนิดใส่ซองมาให้ ส่วนเงินก้อนใหญ่ ผู้อยู่ในห้องแอร์กำลังตั้งงบประมาณเบิกจ่าย ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อหักแล้วจะเหลือถึงมือพ่อและแม่เท่าไร และ เมื่อไรจะได้อีก
พวกหนึ่ง ไม่ได้ไปรบที่ภาคใต้ แต่ได้รับหน้าที่ เป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลอย่างสูงส่ง คอยรับใช้คุณนายอยู่ที่บ้านพัก ขัดรองเท้าให้บรรดาลูกๆ ที่จะต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ว่างไม่ได้ ถูกเจ้านายทั้งบ้านตะโกนเรียกใช้ ชุดชั้นในกี่ตัวต่อกี่ตัว สารพัดกลิ่น ต้องนำมาซัก ขยี้แล้วขยี้อีก มีคราบหลงเหลือแม้แต่น้อยก็โดนด่า จะกลับไปเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง ก็ต้องนั่งลุ้นว่า จะได้ไปหรือไม่ เหมือนถูกหวยก็ไม่ปาน ถ้าใครบังเอิญต้องเสียชีวิตลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตายเพราะอะไร ลื่นล้มในห้องน้ำแน่นอน ทั้งที่หมอก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นโรคภูมิแพ้ พันท้ายปืนเอ็ม16
แต่การตายในครั้งนี้ ไม่มีพวงหรีดมาให้จากเจ้านาย ได้แค่เงินประมาณหนึ่งหมื่นเศษ แล้วให้รีบเผาไปเสีย กลุ่มนี้ยังนึกไม่ออกว่า เขาสละชีพเพื่อชาติหรือยัง
อีกกลุ่มที่ทุกลมหายใจเข้าออกก็ “เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์” เป็นอาชีพ หางเครื่องของพวกเขา ก็ออกมาเสริม ช่วยแต่งเติมสร้างจินตนาการ สร้างนิยายกันขึ้นมา ใครไม่เห็นด้วย ก็ด่าทอพวกตรงข้าม
ไอ้แก่ตัณหากลับ ที่เป็นหัวหน้า ได้รวมกับพวก สส.สอบตกบ้าง พวกนักวิชาการที่ใช้ปากแทนก้นบ้าง ออกมาปลุกระดม ออกมาขยายความกันถ้วนทั่ว ใส่ความผู้นำประเทศที่ประชาชนเลือกมาว่า ไม่รักชาติทำลายศาสนา ล้มล้างสถาบันฯ
การต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ ถ่อยแบบสุดๆ เอาชื่อสถาบันฯออกมาใช้อย่างโต้งๆ ขนอาวุธกันมาเพียบ อาชญากรรมทุกอย่าง ถูกนำเอามาใช้ ยาเสพติด ถุงยางอนามัย เป็นสิ่งจำเป็นของพวกเขา สู้ไปมั่วโลกีย์กันไป แต่เวลามันออกมาพูด ดำเป็นขาวอย่างหน้าด้าน “สันติวิธี อารยะขัดขืน”
สื่อที่ออกข่าวเป็นกลาง ถูกไอ้แก่ตัณหากลับสาดโคลนใส่เข้าไป ไม่ให้กระดิก หยาบช้าจนถึงขนาดด่าพวกวิชาชีพเดียวกันแต่คนละเพศ กล่าวหาว่า พวกเขาเป็นพวกคอยจ้องที่จะร้องเรียกหาผัว โชว์หน้าอก ออกทีวี และด่ามันทุกคน ทุกช่องไม่เว้น
ดาราแก่ๆ บางคน อย่างเช่น นางสิ้นใจ หอนตาย มีลูกเป็นโขยงแล้ว สามีเกิดวิปริตผิดเพศขึ้นมา แต่ตนเองความต้องการยังไม่สิ้น เพื่อสนองในตัณหาที่ตนเองยังคงอยู่ ยอมทุกอย่างที่จะสนองชายที่ตนเองมั่วด้วย อุตส่าห์เอาใจ ลงทุนออกมาเป็นพวกคลั่งชาติ ปกป้องสถาบันฯกับเขาบ้าง โพสท์ข้อความด่าผู้นำรัฐบาลในอดีต ด้วยข้อความที่ดูเหมือนเท่ ดูเหมือนทันสมัย โดยไม่ได้มองตนเองบ้าง แค่ความต่ำทรามในชีวิตของตนเอง ก็ถูกคนเอามาวิพากษ์รับไม่ไหวแล้ว ยังอุตส่าห์ไปแกว่งปากหาส้นเท้ามาให้กับครอบครัวอีก
ทั้งฝูงนี้ ก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่สละชีพเพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ แล้วรวย จนหัวหน้าขบวนอู้ฟู่
“นวมทอง ไพรวัลย์” นามนี้ เป็นที่คุ้นหูของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่พลีชีพของตนเอง ไม่ใช่เพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่ออย่างที่ท่องจำกันมา จดหมายเขียนไว้ก่อนตาย ท่านนั้นพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นในสิ่งแวดล้อมที่เขียน จม.ฝากเอาไว้ เหตุเพราะได้รับการเย้ยหยันจากพวกท่องจำว่า “ไม่มีใครในโลก จะยอมตายเพื่ออุดมการณ์” เลยแสดงให้ดูซะเลย ใจวัดใจ อาชีพแค่คนขับรถแท็กซี่ หาเช้ากินค่ำเลี้ยงครอบครัว ไม่เคยแอบอ้างว่า ตนเองจะสละชีวิตเพื่อสิ่งไดได้ ไม่เคยท่องจนขึ้นใจว่า จะสละชีพเพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ เหมือนคนที่กล่าวเหยียดหยามตัวท่านเอง แต่ท่านก็ได้กระทำให้เห็นกับตา
ส่วนคนที่เหยียดหยามท่าน มียศมีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพ แม้ศักดิ์ศรีตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่สละชีพเลย แค่กราบศพขอขมาที่กล่าวล่วงเกินไป ยังไม่กล้าที่จะกระทำ จากท่านนวมทอง ไพรวัลย์
ณ วันนั้น จนถึงปัจจุบัน มีอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประชาธิปไตยที่ท่านถวิลหา มันยังไม่ได้มา มันกำลังถูกแปรูปไปแล้ว เพื่อนๆ ของท่านหลายคน เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อที่จะให้ประชาธิปไตยกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง มีหลายท่านพิการ มีหลายท่านยังหาศพไม่พบ มีหลายท่านต้องคดี มีหลายท่านต้องโทษจำคุก ไม่พอแค่นั้น ทุกคนต่างถูกตราหน้าจากคนที่เข้ามายึดครองประเทศ ว่าเป็นคนเลว คนไม่จงรักภักดี หัวใจทุกดวงที่เดินตามท่านนวมทอง ตามที่ท่านได้แผ่วถากถางทางเอาไว้ล่วงหน้ามาสามปีกว่า รู้สึกคล้ายกันทั้งหมด
ทนไม่ไหวแล้ว มันอึดอัด มันอยากจะระเบิด มันอยากจะเอาประชาธิปไตยกลับคืนมาซักที มันนานมากเกินไป
ยิ่งนานวันเข้า มันก็รังแกเราเพิ่มขึ้นทุกวัน มันก็เอาเปรียบเรามากขึ้นทุกวัน สิ่งที่พวกมันทำผิดชัดๆ มันแกล้งไม่เห็น แต่สิ่งเดียวกัน เรากระทำบ้าง มันฉวยโอกาสจัดการกับพวกเราทันที
แค่ที่ดินที่เป็นป่าสงวน พวกมันแอบเอาเข้าพกเข้าห่อไปเป็นของส่วนตัว พวกเราทวงถาม มันยังหน้าด้านไม่คืน เมื่อเราจะพึ่งกระบวนการยุติธรรม มันก็สั่งระงับเอาไว้ ทำเป็นหน้ามึนอยู่อย่างนั้น ทั้งที่พวกเราทำเพื่อส่วนรวมแท้ๆ ไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งเลย
ความอายมันไม่ปรากฏให้เห็น แต่ความอาฆาตแค้นของพวกมัน เริ่มแสดงให้ประจักษ์ หรืออาจเพราะมันกลัวจะเสียสิ่งที่พวกมันปล้นเอามาแล้วต้องคืน ปฏิกิริยาเริ่มแสดงออก
อีกแล้วเสียงคล้ายรถถังกำลังติดเครื่อง มาอีกแล้ว หนึ่งล้านคน ที่หมายมั่นปั้นมือจะปิดบัญชีซักทีหลังตรุษจีนที่จะมาถึง จะทันการหรือไม่ยังไม่รู้ กับระบบมั่วซั่วในการปกครองแบบนี้
กระดาษที่ว่าเป็นรัฐธรรมนูญ ก็ใช้ไม่ได้
ศาลที่ให้ความเที่ยงธรรม ก็รู้ผลล่วงหน้ากันก่อนทั้งหมด
องค์กรอิสระก็แค่เครื่องมือของการฟอกพวกเขาให้สะอาด เติมปฏิกูลให้ประชาชนต้องสกปรก สร้างหลักฐานเท็จกันเข้าไป
เหล่าพวกที่ยกหางตัวเองว่า คุณธรรมสูงส่งนักหนา ก็หลับตาตัดสินกันออกมา ไอ้ที่ผิดมันบอกว่าถูก ไอ้ที่ถูกมันดันไปเชื่อหลักฐานเท็จตัดสินให้ผิดเฉย
พวกเราเลยต้องออกมาล้างกันใหม่ให้หมดทุกกระบวนการ ไม่หมด ไม่เลิก ไม่ยุติ โดยใช้คนไม่ต่ำกว่าล้านคน เอาคืนมาให้ได้กับประชาธิปไตยประเทศนี้
อหิงสา คำนี้ฟังกันมานานแล้ว สู้กันแบบนี้มาสามปีกว่าแล้ว อดทน เข้มแข็ง ไม่ท้อ จนสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า โดนทั้งสร้างฉากมาใส่ร้าย โดนทั้งอำนาจในที่มืด อำนาจในที่สว่างและอำนาจที่แฝงมากับทาสรับใช้ของพวกมัน ที่เราเรียกกันว่า รัฐบาล เจ็บตายไปแล้วยังไม่พอ ตามมารังควานอย่างต่อเนื่อง ตั้งข้อหากันเข้าไป อาทิตย์เดียว สั่งฟ้องกันได้แล้ว จนพวกคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ทำมาหากินอย่างเดียว เห็นแล้ว สงสาร เวทนา เศร้าใจ เห็นใจ ทนไม่ได้ ออกมาร่วมหอลงโลง ร่วมด้วยช่วยกันกับเรามากมาย แม้ต่างชาติยังไม่เว้น นักรบกล้าในเครื่องแบบ ประกาศชัดหลายคน “ครั้งนี้กูไม่ยอมแน่ ถ้ามึงฆ่าประชาชนอีก”
นักรบดำในอดีต ออกมาช่วยนานแล้ว แต่เขาไม่มีหัว ครั้งนี้มีทั้งหัวมีทั้งตัว ประกาศชัด “ตายเป็นตาย”
ทันการหรือไม่ ก็ไม่น่ามีปัญหา หลายท่านประกาศออกมาแล้ว ยอมตายถวายชีวิต ถ้าแม้ได้ยินประกาศว่า มันปฏิวัติกันอีกแล้ว จะออกมาสู้ แม้รู้ว่าสู้ไม่ได้ ไม่หลบไม่หนี จะเอาหน้าอกแลกกับลูกปืน มันยิงได้ยิงไป ไม่ยี่หระ
เสียงถามไถ่ไล่ตามออกมา “ตายแล้วได้อะไร”
หลายคนตอบคำถามนี้ “ตายแล้วได้อะไรกูไม่รู้ และไม่สนใจด้วย แต่มันทนไม่ไหวอีกแล้วกับการที่กูไม่ใช่คน พวกมันเป็นคนอยู่ฝ่ายเดียว พวกกูทำอะไรก็ผิด ส่วนพวกมันทำอะไรก็ถูก อยู่อย่างนี้ อย่าอยู่เป็นคนมันเสียเลยดีกว่า”
เรื่องราวแบบนี้ แกนนำได้รับการบอกเล่ามาตลอด มีอาสาสมัครเข้ามาขอตายไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งมีกระแสการปฏิวัติทวีความเข้มมากขึ้น ก็ยิ่งมีอาสาสมัครมากตามไปด้วย อะไรกันนักกันหนา สังเกตดูการส่งข้อความมาที่ “สถานีประชาชน” มากกว่าครึ่งหนึ่งของข้อความ ล้วนต้องการไปร่วมรบกับ เสธ.แดงทั้งสิ้น
นั่นหมายความว่า “สุดทนกันแล้ว ครั้งนี้ขอสู้ดีกว่า ไหนๆ พวกมันก็ไม่เอาเราไว้แล้ว แลกกันเลย”
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ ผมมั่นใจว่า พวกที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ จะใช้ทุกกระบวนท่า มาจัดการกับพวกเราให้สิ้นซากจนสลายสิ้นให้ได้ แม้ว่าจะแลกด้วยอะไร พวกมันก็ยอมทำ สุดท้ายจะไม่เหลือศักดิ์ศรีก็ไม่เป็นไร เพื่อสืบทอดอำนาจของพวกมันไว้ให้ยาวนานที่สุด
ซึ่งเหมือนกับพวกเราที่ก็จะไม่ยอมถอยแน่ แม้คนสุดท้ายก็จะยอมตายด้วยการต่อสู้ที่มีอาวุธแค่มือเปล่า เพื่อแลกกับอิสรภาพและการเสมอภาคเท่านั้น
ก่อนวันนั้นจะมาถึง ผมถามทุกท่านก่อนว่า “ชีพนี้พลีเพื่อใคร?”
ส่วนของผมขอตอบ ว่า แม้ผมไม่ได้เป็นลูกหลานทหาร เติบโตมาในค่ายฯ ผมไม่ได้เคยท่องจำ แต่คำนี้ มันฝังอยู่ในหัวมานานแล้ว ยอมสละชีพเพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์อย่างแน่วแน่
ผมไม่ยอมอีกแล้ว ที่จะให้กลุ่มอำนาจจากขันที ทำให้ชาติที่ผมเกิด ต้องย่อยยับไปอีกครั้ง ไม่ยอมอีกแล้ว ที่จะให้กษัตริย์ของผมจะต้องถูกแอบอ้างจากขันที เอาไปใช้ในเรื่องส่วนตัวหาผลประโยชน์
สิ่งไหนที่มันก้ำกึ่งระหว่างถูกกับผิด พวกขันทีมันจะนิ่งเงียบ จะทำคลุมเครือ ให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ท่านประสงค์เช่นนั้น ส่วนสิ่งไหนที่ทำแล้วประชาชนยกย่อง พวกขันทีจะแสดงท่าว่า เป็นการกระทำของตนเอง
ผมคงไม่ยอมต่อไปอีกแน่นอน เหมือนเช่นในประวัติศาสตร์ของการเสียกรุงฯครั้งที่สอง พระมหากษัตริย์ถูกตำหนิมากที่สุดในทุกข้อกล่าวหา แม้คำสั่งต่างๆ ที่ออกมา ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่ ก็ยังเอามาเล่าขานกันไม่เลิก กล่าวหาว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ลุ่มหลงสุรานารี แม้ข้าศึกมาประชิดเมือง ก็ยังคงไม่ใส่ใจ ห้ามยิงปืนใหญ่เพราะกลัวนางสนมแตกตื่น ใส่ร้ายกระทั่งพระองค์ท่านเป็นโรคเรื้อนแท้จริง มันมีอะไรลึกๆ กว่านั้นหรือไม่ เหล่าเสนาบดีเองที่เป็นอำมาตย์แอบหวังครองอำนาจเองหรือเปล่า อ้างโองการจากกษัตริย์แล้วประกาศเองว่า ไม่ให้ยิงปืนใหญ่ เมื่อแพ้สงคราม บ้านเมืองโดนเผา หรืออาจจะร่วมมือกับศัตรูเผาเองเลยก็ได้ ร่วมกันผสมโรงเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระมหากษัตริย์ เพราะถ้าใช้ตรรกะแบบง่ายๆ คิดดูเอง มันสุดวิสัยของกษัตริย์หรือไม่ แม้แต่ราชบัลลังของตนเองยังไม่คิดปกป้อง สุรานารีมีให้สนองตอบมากมาย เวลาไหนก็ได้ เพราะในขณะนั้น กษัตริย์คือกฎหมาย กษัตริย์คือจ้าวชีวิตของทุกคน มีด้วยหรือ เมื่อข้าศึกมาบุกพระนคร ยังไม่ใส่ใจ แถมยังห้ามไม่ให้เอาปืนใหญ่ออกมายิงต่อสู้ด้วย มันมีส่วนจริงมากน้อยเพียงไหน
วันนี้เช่นเดียวกัน ข่าวที่เราได้ฟังกันมาทั้ง เอเอสทีวี เรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาจากคนเสื้อเหลือง แท้จริงมันใช่หรือไม่ มีเรื่องจริงมากน้อยเพียงไหน เป็นเรื่องที่เหล่าอำมาตย์ปล่อยข่าวสร้างข่าวมาหรือเปล่า คนไทยรักภักดีในหลวงและราชวงศ์เท่านั้น คนอื่นที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เราไม่หลงประเด็น
ต้องขอบพระคุณแกนนำคนเสื้อแดงทุกท่าน ที่นำเอาความจริงนั้นมาเปิดเผย
วันนี้เราสู้กับขันที สู้กับอำมาตย์ สู้กับทาสผู้ซื่อสัตย์ที่เป็นทั้งนักการเมือง นักวิชาการและทหาร เราไม่ได้ต่อสู้กับองค์เหนือหัว ตรงกันข้ามเรากลับปกป้ององค์เหนือหัวของพวกเราด้วยในการต่อสู้ในครั้งนี้
จงภูมิใจในตัวเองครับ ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของนักรบเสื้อแดง สู้เพื่อพระเกียรติยศของพระองค์ท่านให้กลับมาละบือไกลไปทั่วโลกอีกครั้ง เฉกเช่น อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เคยได้กระทำเอาไว้
เมื่อวันนั้นมาถึง อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน การกล่าวสดุดีในงานศพจะมีหรือไม่ คงไม่อยากรู้ เพราะมันก็แค่ลมพัดผ่านหู แต่ถ้าพวกเราชนะ สามารถเอาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกลับคืนมาได้ การตายก็ไม่สูญเปล่า การสดุดีไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีหรือไม่
อีก 100 ปีข้างหน้า แม้โลกเปลี่ยนแปลงไปไกลแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ของประเทศไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ การต่อสู้ของพวกเรา จะถูกบันทึกเอาไว้ ด้วยภาพ ด้วยข้อเขียนและความทรงจำที่เล่าต่อๆ กันมา นามสกุลของท่าน จะถูกจารึกไว้ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์นั้นด้วย หลาน เหลนโหลนของท่าน จะภูมิใจมากซักเพียงใด ที่ครั้งหนึ่งต้นตระกูลของพวกเขา เป็นผู้กอบกู้แผ่นดินนี้ขึ้นมา และต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง
ตั้งปณิธานเอาไว้อย่างมั่นคง ขอให้หัวใจอันแน่วแน่อย่าแกว่ง ความคิดดี จะทำให้ผมและพวกพี่น้องร่วมอุดมการณ์ ประสพผลสำเร็จได้รับชัยชนะต่อขันทีชั่วผู้นี้ครับ
เพื่อไทย
Friday, January 29, 2010
ชีพนี้พลีเพื่อ " ใคร "
ที่มา Thai E-News
โดย คุณอ่างขาง