ที่มา thaifreenews
โดย Porsche
จากคุณ : ขนมต้ม
ได้อ่านกระทู้ของคุณ บก.ลายจุดข้างล่าง
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8799729/P8799729.html
(พอเอกเปรม ในฐานะประธานที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ ให้คำปรึกษาอะไร ? )
ก็เลยได้มีโอกาส อ่านบทความของคุณ อาคม ซิดนีย์ เขาเขียนไว้น่าสนใจ
ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าเอามาแปะในกระทู้นี้แล้ว จะมีติดคำกรองอะไรหรือเปล่า
ก็เลยขอแปะเอามาบางส่วนครับ
"...
เพราะความที่เป็นคนมากด้วยบารมีจึงทำให้สามารถชี้เป็นชี้ตายใด้ในเกือบทุก เรื่อง ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้มีผู้คนเข้าหาเพื่ออาศัยบารมีเกือบจะทุกวงการ เปรมก็เลย เป็นขวัญใจของคนเกือบทุกสาขาอาชีพ แล้วกลายมาเป็นศูนย์กลาง
หรือตัวแทนของกลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาด ความมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลมาโดยตลอดทุกยุคสมัย
สายสัมพันธ์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์กับตระกูลโสภณพนิชมีจุดเริ่มต้นจาก
ความใจถึงของนายชาตรี โสภณพนิช ที่กล้าดันนายห้างชินพ่อบังเกิดเกล้า ของตัวเองให้หลุดพ้นวงจรทุกตำแหน่งในธนาคารกรุงเทพ
พร้อมกับปลดนายบุญชู โรจนเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่ แล้วดันนายอำนวย วีรวรรณขึ้นนั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งแทนนายบุญชู ปฎิบัติการของนายชาตรีครั้งนี้
ถูกเรียกขานว่าเป็นการปฎิวัติภายใน ที่รู้จักกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า “รีเอ็นจิ้น” ทั้งนี้เพื่อเป็นการเคลียร์ปัญหากินใจกับเปรม ...
...เมื่อผู้มากด้วยบารมีมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับกลุ่มผู้ มั่งมีด้วยวิธีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนี้นานเข้าก็เลยกลายเป็นอิทธิพลที่ สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและกำกับรัฐบาลได้ในทุกยุคทุกสมัยอย่างที่เห็น ผมเขียนมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านบางคนอาจมีคำถามว่ากลุ่มนักธุรกิจที่เป็นถึง
ลูกค้าระดับวีไอพีซึ่งไม่ได้ ทำธุรกิจผิดกฎหมาย(แต่ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงภาษี) เหตุใดจึงต้องพึ่งพา อิทธิพลผู้มากบารมีตรงนี้แหละที่ผมคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณเองก็คงคิดไม่ถึงเช่น กัน
จึงได้ชะล่าใจจนถูกล้มอย่างไม่เป็นท่า
พรรคประชาธิปัตย์ผมเคยพูดถึงและชี้ให้ท่านผู้อ่านได้เห็น แล้วว่า มีพฤติกรรมรับใช้ เปรมในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะแอบให้ความร่วมมือในการสนับสนุนให้เกิดปัญหารุนแรงในสาม จังหวัดภาคใต้ หรือในการแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ที่หลุดพ้นวงจรห้าเสือทหารบกไปอยู่ในตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิให้กลับมาผงาดเป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือ แม้แต่การร่วมมือโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ โดยนายอภิสิทธิ์มุ่งหน้าไปให้การสนับสนุนนายสนธิเป็นคนแรก
ตลอดจนกลุ่มก้วนที่ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้ท่านผู้อ่านมองเข้าไปในพรรคนี้ก็จะเห็นว่า
ใครเป็นใคร วันนี้จึงสมควรแก่เวลาที่ผมจะได้นำ มาเฉลย
เพื่อให้ได้เห็นกันชัดๆสักสองสามตระกูลตามแต่เนื้อที่จะอำนวย
เมื่อครั้งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาเปิดศึกกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรใหม่ๆนั้น
ท่านผู้ อ่านคงได้สังเกตุเห็นแล้วว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์จะแสดงตัวอย่างเปิดเผยด้วยการ
มุ่งหน้าไปให้กำลังใจนาย สนธิที่สำนักพิมพ์ผู้จัดการที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว ยังมีอีกคนที่ ติดตามไปเชียร์อย่างออกนอกหน้าในทุกนัดของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่ สวนลุม จนกระทั่งมีการเดินขบวนจากสวนลุมไปลาน...รูปทรงม้าจนเกิดเหตุบุกทำเนียบ รัฐบาล ซึ่งบุคคลผู้นี้นอกจากจะเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
ยังดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุก ท่านต้องรู้จัก เป็นอย่างดีบุคคลผู้นี้คือดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช น้องสาวต่างมารดา คุณชาตรีนาย ใหญ่แห่งธนาคารกรุงเทพผู้ใกล้ชิดเปรม ซึ่งผมคงไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว
เพราะมีความชัดเจนที่จะชี้ให้ได้เห็นว่าเป็น หนึ่งในข้อต่อ
ส่วนอีกหนึ่งข้อต่อที่อยากกล่าวถึงคือนายกรณ์ จาติกวนิช ที่ครอบครัวล่ำซำออกมาปฎิเสธ
ที่จะนับญาติด้วย แต่ผมเชื่อว่าเป็น การปฎิเสธด้วยเหตุผลทางธุรกิจ นายกรณ์เป็นสมาชิก คนสำคัญอีกคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่เพียงแต่ดำรงตำแหน่งเป็นรองโฆษกพรรคฯเท่านั้น หากแต่เป็นมันสมองที่ร่วมทีมงานด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต่อกรกับพรรคไทยรักไทยในเรื่องของเศรษฐกิจก็มา จากคนๆนี้ แต่นายกรณ์คนนี้สำหรับผมถือว่าเป็นแค่ตัวแทนของตระกูลจาติกวนิชเท่านั้นเอง ผู้ที่มีบทบาทตัวจริงต้องมองเข้าไปในบริษัทล๊อกซ เลย์ที่มีคุณหญิงชัชนี จาติกวนิช
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานบริษัท
คุณหญิงชัชนี จาติกวนิชถ้าผมจำไม่ผิด (น่าที่จะไม่ผิด) เดิมชื่อชัชวาล ล่ำซำ สมัยก่อน การตั้งชื่อไม่ได้มีการแยกว่าชื่อใดควรจะเป็นชื่อของชายหรือหญิง
ขอให้มีความหมายเป็นที่ถูกใจเป็นตัวกำหนด จนกระทั่งยุคจอมพลแปลก พิบูลย์สงครามนี่แหละจึงมีการบังคับให้แยกชัดเจนในเรื่องของชื่อระหว่างชาย กับหญิง
คุณหญิงชัชนี แต่งงานอยู่กินกับนายเกษม จาติกวนิช ซึ่งมีคุณพ่อเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจ (สมัยที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)และเป็นเพื่อนนักเรียนนอก ของพี่ชายคุณหญิงชัชนี จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ประวัติการทำงานเติบโตมาจากการไฟฟ้า จนกระทั่งดำรง ตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
นายเกษมเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านพลังงาน เพราะตลอดชีวิตคลุกคลีอยู่กับการไฟฟ้าที่ ต้องเดินทางหาแหล่งพลังงานทั่วประเทศ ส่วนคุณหญิงชัชนีหลังจากแต่งงานก็แยกตัวออกจากครอบครัวล่ำซำ โดยมีจุดเริ่มต้นชีวิตด้วยการเปิดบริษัทสั่งตระเกียงเจ้าพายุและผูกขาดในการ ขายไส้ตะเกียง แล้วมีการไฟฟ้านี่แหละที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ การค้ามีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตามกาลเวลา ธุรกิจเจริญเติบโตมาควบคู่กับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของนายเกษมผู้เป็น สามี จนกลายมาเป็นบริษัทล๊อกซเล่ย์ที่ผูกขาดขาย เครื่องปั่นไฟ จนกระทั่งสุดท้ายบนตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของนายเกษม จาติก วนิช การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจึงได้กลายเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อบริษัทล๊อกซเลย์ ที่รัฐบาลไหน ก็ตามห้ามแตะ และการที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จึงไม่ผิดกับ การแหย่รังแตนนั่นเอง (ท่านผู้อ่านต้องการรู้มากกว่านี้คงต้องค้นหากันเอาเอง เพราะผม มีเนื้อที่จำกัดและถ้าหากต้องการรู้สายสัมพันธ์ของตระกูลนี้ก็มีให้ได้เห็น ในงาน วิวาห์ขิม-ฝนในหนังสือพิมพ์แนวหน้าของประสงค์ สุ่นศิริ)...."
..ถ้าหากพูดถึงกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเปรมผู้มากด้วย บารมี
ก็คงต้องไม่ละเลยที่จะต้อง กล่าวถึง
ท่านผู้หญิงชัตถ์ ปิยะอุย ผู้ซึ่งเคยถูกจอมโจรหน้าหยกนามวันชัย แซ่จิว
ปล้นเงียบบนตึกโรงแรมดุสิตธานี ก็เป็นอีกตระกูลหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเปรม
ไม่แพ้ตระกูลใดๆในประเทศไทย และถ้าจะให้ได้ภาพที่ชัดเจนก็คงต้องย้อนอดีตของ
โรงแรมดุสิตธานีให้ ท่านผู้อ่านได้เห็นถึงที่มาที่ไปจนเป็นตำนานโรงแรมการเมืองแห่งนี้
โรงแรมดุสิตธานีก่อตั้งและเปิดบริการเมื่อปี ๒๕๑๓ ได้ชื่อว่าเป็นโรมแรมสุดหรู
และ โด่งดังที่สุดแห่งยุคในเวลานั้น จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยเบ่งบานสุดขีด ก็ปรากฎมีชื่อนายเทอดภูมิ ใจดี หัวหน้าแผนกทำความสะอาดเครื่องใช้ในการทำอาหารและเครื่องดื่ม (Steward) ซึ่งเป็นหัวหน้าสหภาพแรงงานโรงแรมและเป็นนักเคลื่อนไหวชนิดแส่ไปสิบทิศ ที่ไหนมีการประท้วงคุณแส่คนนี้จะต้องไปร่วมกับเขาทุกงาน
ผมไม่ทราบว่า ด้วยสาเหตุแห่งความวุ่นวายอันเกิดจากพนักงานของโรงแรมที่ชื่อ นายเทอด ใจดีคนนี้หรือเปล่าที่ทำให้นายสมพจน์ ปิยะอุย น้องชายท่านผู้หญิงชนัตน์ต้องตกกระไดพลอยโจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และนายสมพจน์ ก็เลือกที่จะเล่นการเมืองด้วยวิธีโตทางลัด โดยเป็นนายทุนสนับสนุนด้านการเงินตลอดจนอาหารเครื่องดื่ม (เรียกว่าเต็มที่เลยทีเดียว)ในการปฎิวัติเมื่อวันที่ ๒๖มีนาคม ๒๕๒๐ แต่ไม่สำเร็จจึงได้ ชื่อว่าเป็นกบฎ นายสมพจน์ก็เลยต้องดำดินหายหน้าหายตาไปจากวงการ
จนกระทั่งวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ กลุ่มนายทหาร จปร๗ ที่รู้จักกันในนามยังเติร์กสนับ สนุน
พล.อ.สันต์ จิตปฎิมาทำการยึดอำนาจรัฐบาลเปรม (ความจริงรู้กันแต่เปรมไม่ได้รายงานเบื้องบน เรื่องนี้มีหลายคนเข้าใจผิดหากมีโอกาสคงต้องนำเสนอท่านผู้อ่าน)
พลันก็มี ชื่อ นายสมพจน์เข้าไปเกี่ยวข้องอีก การครั้งนี้ล้มเหลวเช่นเคย นายสมพจน์ ก็เลยต้องดำดินต่อ (นายสมพจน์เป็นกบฎที่ไม่เคยถูกดำเนินคดี ในขณะที่พล.อฉลาดถูกประหารชีวิต และเสธ.หนั่นต้องติดคุกบารมีเปรมหรือไม่คงต้องคิดกันเอาเอง)
การที่นายสมพจน์สนิทชิดเชื้อกับกลุ่มยังเติร์กและให้การ สนับสนุนด้วยการเป็นนายทุนก่อการรัฐประหารหลายครั้งหลายหน
ก็มีทั้งผลดีและร้ายในเวลาเดียวกัน ผลดีนั้นก็คือ
เมื่อเกิดมีโครงการรถไฟลอยฟ้าในยุคสมัยของพล.ต.จำลอง ศรีเมืองก็มีการดูแลกันเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เสียทรรศนียภาพของโรงแรมดุสิต ธานี โดยมีการกำหนดให้จุดที่เป็นสถานีพักรถอยู่ด้านทางฝั่งสวนลุมตรงข้ามกับ
โรงแรมดุสิตฯถึงกับมีโครงการจะย้ายพระรูปร.๖ เลยทีเดียว แต่ครั้นเวลาผ่านไป
ถึงคราวที่พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี๒๕๔๐
ท่านผู้หญิงชนัถต์ ก็ต้องออกมาหลั่งน้ำตาอยู่หน้าจอ ทีวีให้เป็นที่สมเพช อันมีเหตุมาจาก มีการเปลี่ยนแปลงให้สถานีพักรถไฟลอยฟ้าย้ายไป อยู่หน้าโรงแรมดุสิตธานี เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้าง ขวางจน
ในที่สุดก็หนีไม่พ้น คนมากด้วยบารมีอย่างเปรมที่ต้องเข้ามาซับน้ำตาให้ท่านผู้ หญิง ด้วยการนำเรื่องขึ้นเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัญหาใหญ่ในครั้งนั้นของท่านผู้หญิงชนัตถ์ไม่เพียงได้รับการแก้ไขเท่านั้น กลุ่มนักธุรกิจที่ใกล้ชิดผูกติดเปรมกลุ่มดังกล่าวข้างต้นยังได้พร้อมใจกัน ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่
พล.อ.เชาวลิต หรือที่รู้จักกันในนาม“ม๊อบสีลม” สุดท้าย พล.อ.เชาวลิตก็ไม่อาจที่จะทนอยู่ได้ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลปิยะอุยกลายมาเป็นโอกาสอย่างชนิดไม่คาดฝัน เมื่อมีบุคคลชั้นสูงเข้ามาร่วมถือหุ้นกิจการในเครือโรงแรมดุสิตธานี ก็เลยทำให้มีกลุ่มไฮโซและนักธุรกิจชื่อดังเฮโลเข้าร่วมทุนซื้อหุ้นกันอย่าง อุ่นหนาฝาคั่ง จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมทุกกิจการในเครือของดุสิตธานีจึงมี คำพ่วงท้ายว่า “รอยัลปรื้นเซส” จึงอย่าได้สงสัยว่าทำไมประธานบริษัทจึงมีชื่อว่า นายชาตรี โสภณพนิช
ความสัมพันธ์ระหว่างเปรมและธนาคารกรุงเทพในลักษณะของการ ถ้อยทีถ้อยอาศัย
ที่มีมาอย่างยาวนาน แม้ปัจจุบันสำหรับคนรุ่นใหม่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ในความเป็นเปรมเชื่อว่า
ท่านผู้อ่านคงต้องจำได้เมื่อครั้งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เดินขบวนไปบ้านสี่เสา
เพื่อ ยื่นถวายฎีกาขอนายกฯพระราชทานให้เปรมนั้น
เปรมได้ให้พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีปออกมารับแทน
โดยที่ตัวเองหลบไปจิบน้ำชาอยู่บนตึกธนาคารกรุงเทพ และพอโค่นล้มรัฐบาลทักษิณได้สำเร็จ ก็ไม่ลืมใช้บริการของธนาคารกรุงเทพอย่างคงเส้นคงวาด้วย
การให้นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกรุงเทพมาดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ นอกจากนี้ยังมีการโอนหนี้สิน ที่ผูกพันอัน เกิดจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้วไปอยู่ในความดูแลของธนาคารกรุงเทพ และเชื่อว่ายังจะต้องมีการถ่ายโอนในอีกหลายๆเรื่องที่เป็นประโยชน์ โดยเปลี่ยนมือไปอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจที่มีเปรมเป็นตัวแทนที่เต็มเปี่ยมไป ด้วยคุณธรรมและ จริยธรรม
“เปรมข้อต่อธุรกิจ-การเมือง-เบื้องสูง” จึงมีที่มาด้วยประการฉะนี้"
ขอบคุณคุณ อาคม ซิดนี่ย์มาก ที่ได้ต่อ "จิ๊กซอว์" ให้เห็น เพราะบางเรื่อง ผมก็ลืมไปแล้ว
อีกอย่่างที่ผมทราบมา (ไม่กรอง) ก็คือ
โรงเรียนนานาชาติ เปรม ติญสูลานนท์ ที่อยู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่นั้น มีผู้ถือหุ้นใหญ่
ก็คือ เครือดุสิตธานี ของคุณหญิงชนัชต์ นั่นเอง
หรือ แม้แต่ในตัวตึกของ วิทยาลัยดุสิตธานี ที่สอนเรื่องการโรงแรม ทำอาหาร แถวซีคอนสแคว์
ก็ยังเป็นของเครือดุสิต ที่มีการขยาย เพื่อรองรับธุรกิจโรงแรมของเครือดุสิต
ผมเองก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะคนทำธุรกิจก็ต้องหาความมั่นคงไว้เป็นหลักประกันอยู่แล้ว
แต่บางอย่าง ก็น่าจะดูความ "เหมาะสม" สักหน่อยก็ดี
อย่างเรื่องของ ดุสิตธานี หาก คุณอาคม ไม่พูด บางทีก็นึกไม่ถึง
เพราะเหตุการณ์ประท้วงขอขึ้นค่าแรงของ พนักงานโรงแรมดุสิต
เมื่อช่วงปี 2519-20 (จำ พ.ศ.ไม่ได้ชัด) ก็มีกลุ่มกระทิงแดง
ที่เคยลุยนักศึกษาธรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ไปฮึ่ม ๆ ใส่สหภาพแรงงานของโรงแรมดุสิตธานี
รัฐบาลชุดนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นของธานินทร์ กรัยวิเชียร นี่แหละ
โดน พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นคนปฏิวัติ
โดยการนำทางจากกลุ่มของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
เรื่องนี้ถ้าคุยกัน สงสัย ต้องหาเอกสารมาประกอบอีกเยอะ
ถามว่า ความพอดีควรอยู่ตรงไหน
ผมคิดว่าความพอดีพอเหมาะ มันพูดกันลำบากเหมือนกัน
เหมือนกับเวลาเราพูดถึงว่า คนตัวใหญ่ ก็ควรจะกินข้าวเยอะ,
คนตัวเล็กก็ควรกินให้น้อยหน่อย
ทีนี้อย่างกรณีการไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน ของ พล.อ.เปรม ถามว่า
ทำได้มั้ย..ตอบว่าได้..
แต่ถ้าถามว่าเหมาะมั้ย
ก็ต้องตอบว่าไม่เหมาะ
ไม่เหมาะเพราะว่า ท่านเป็นองคมนตรี ที่ปรึกษาพระมหา...
ผมเห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ช่อง TAN ของคุณสโรชา แห่ง ASTV ที่ถามว่า
เวลาว่างเอาไปทำอะไร
พล.อ.เปรม บอกว่า แต่งเพลง, ร้องเพลง, เล่นกอล์ฟ
ไม่เห็นว่า จะต้องไปนั่งคิดให้คำปรึกษาในด้านใดกับบริษัทเอกชนทั้งหลายเลย
ยกเว้นอย่างกรณีที่บทความข้างบนเขาเขียนไว้กระมัง..
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8799815/P8799815.html
โดย Porsche
จากคุณ : ขนมต้ม
ได้อ่านกระทู้ของคุณ บก.ลายจุดข้างล่าง
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8799729/P8799729.html
(พอเอกเปรม ในฐานะประธานที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ ให้คำปรึกษาอะไร ? )
ก็เลยได้มีโอกาส อ่านบทความของคุณ อาคม ซิดนีย์ เขาเขียนไว้น่าสนใจ
ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าเอามาแปะในกระทู้นี้แล้ว จะมีติดคำกรองอะไรหรือเปล่า
ก็เลยขอแปะเอามาบางส่วนครับ
"...
เพราะความที่เป็นคนมากด้วยบารมีจึงทำให้สามารถชี้เป็นชี้ตายใด้ในเกือบทุก เรื่อง ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้มีผู้คนเข้าหาเพื่ออาศัยบารมีเกือบจะทุกวงการ เปรมก็เลย เป็นขวัญใจของคนเกือบทุกสาขาอาชีพ แล้วกลายมาเป็นศูนย์กลาง
หรือตัวแทนของกลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาด ความมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลมาโดยตลอดทุกยุคสมัย
สายสัมพันธ์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์กับตระกูลโสภณพนิชมีจุดเริ่มต้นจาก
ความใจถึงของนายชาตรี โสภณพนิช ที่กล้าดันนายห้างชินพ่อบังเกิดเกล้า ของตัวเองให้หลุดพ้นวงจรทุกตำแหน่งในธนาคารกรุงเทพ
พร้อมกับปลดนายบุญชู โรจนเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่ แล้วดันนายอำนวย วีรวรรณขึ้นนั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งแทนนายบุญชู ปฎิบัติการของนายชาตรีครั้งนี้
ถูกเรียกขานว่าเป็นการปฎิวัติภายใน ที่รู้จักกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า “รีเอ็นจิ้น” ทั้งนี้เพื่อเป็นการเคลียร์ปัญหากินใจกับเปรม ...
...เมื่อผู้มากด้วยบารมีมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับกลุ่มผู้ มั่งมีด้วยวิธีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนี้นานเข้าก็เลยกลายเป็นอิทธิพลที่ สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและกำกับรัฐบาลได้ในทุกยุคทุกสมัยอย่างที่เห็น ผมเขียนมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านบางคนอาจมีคำถามว่ากลุ่มนักธุรกิจที่เป็นถึง
ลูกค้าระดับวีไอพีซึ่งไม่ได้ ทำธุรกิจผิดกฎหมาย(แต่ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงภาษี) เหตุใดจึงต้องพึ่งพา อิทธิพลผู้มากบารมีตรงนี้แหละที่ผมคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณเองก็คงคิดไม่ถึงเช่น กัน
จึงได้ชะล่าใจจนถูกล้มอย่างไม่เป็นท่า
พรรคประชาธิปัตย์ผมเคยพูดถึงและชี้ให้ท่านผู้อ่านได้เห็น แล้วว่า มีพฤติกรรมรับใช้ เปรมในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะแอบให้ความร่วมมือในการสนับสนุนให้เกิดปัญหารุนแรงในสาม จังหวัดภาคใต้ หรือในการแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ที่หลุดพ้นวงจรห้าเสือทหารบกไปอยู่ในตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิให้กลับมาผงาดเป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือ แม้แต่การร่วมมือโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ โดยนายอภิสิทธิ์มุ่งหน้าไปให้การสนับสนุนนายสนธิเป็นคนแรก
ตลอดจนกลุ่มก้วนที่ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้ท่านผู้อ่านมองเข้าไปในพรรคนี้ก็จะเห็นว่า
ใครเป็นใคร วันนี้จึงสมควรแก่เวลาที่ผมจะได้นำ มาเฉลย
เพื่อให้ได้เห็นกันชัดๆสักสองสามตระกูลตามแต่เนื้อที่จะอำนวย
เมื่อครั้งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาเปิดศึกกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรใหม่ๆนั้น
ท่านผู้ อ่านคงได้สังเกตุเห็นแล้วว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์จะแสดงตัวอย่างเปิดเผยด้วยการ
มุ่งหน้าไปให้กำลังใจนาย สนธิที่สำนักพิมพ์ผู้จัดการที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว ยังมีอีกคนที่ ติดตามไปเชียร์อย่างออกนอกหน้าในทุกนัดของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่ สวนลุม จนกระทั่งมีการเดินขบวนจากสวนลุมไปลาน...รูปทรงม้าจนเกิดเหตุบุกทำเนียบ รัฐบาล ซึ่งบุคคลผู้นี้นอกจากจะเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
ยังดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุก ท่านต้องรู้จัก เป็นอย่างดีบุคคลผู้นี้คือดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช น้องสาวต่างมารดา คุณชาตรีนาย ใหญ่แห่งธนาคารกรุงเทพผู้ใกล้ชิดเปรม ซึ่งผมคงไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว
เพราะมีความชัดเจนที่จะชี้ให้ได้เห็นว่าเป็น หนึ่งในข้อต่อ
ส่วนอีกหนึ่งข้อต่อที่อยากกล่าวถึงคือนายกรณ์ จาติกวนิช ที่ครอบครัวล่ำซำออกมาปฎิเสธ
ที่จะนับญาติด้วย แต่ผมเชื่อว่าเป็น การปฎิเสธด้วยเหตุผลทางธุรกิจ นายกรณ์เป็นสมาชิก คนสำคัญอีกคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่เพียงแต่ดำรงตำแหน่งเป็นรองโฆษกพรรคฯเท่านั้น หากแต่เป็นมันสมองที่ร่วมทีมงานด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต่อกรกับพรรคไทยรักไทยในเรื่องของเศรษฐกิจก็มา จากคนๆนี้ แต่นายกรณ์คนนี้สำหรับผมถือว่าเป็นแค่ตัวแทนของตระกูลจาติกวนิชเท่านั้นเอง ผู้ที่มีบทบาทตัวจริงต้องมองเข้าไปในบริษัทล๊อกซ เลย์ที่มีคุณหญิงชัชนี จาติกวนิช
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานบริษัท
คุณหญิงชัชนี จาติกวนิชถ้าผมจำไม่ผิด (น่าที่จะไม่ผิด) เดิมชื่อชัชวาล ล่ำซำ สมัยก่อน การตั้งชื่อไม่ได้มีการแยกว่าชื่อใดควรจะเป็นชื่อของชายหรือหญิง
ขอให้มีความหมายเป็นที่ถูกใจเป็นตัวกำหนด จนกระทั่งยุคจอมพลแปลก พิบูลย์สงครามนี่แหละจึงมีการบังคับให้แยกชัดเจนในเรื่องของชื่อระหว่างชาย กับหญิง
คุณหญิงชัชนี แต่งงานอยู่กินกับนายเกษม จาติกวนิช ซึ่งมีคุณพ่อเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจ (สมัยที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)และเป็นเพื่อนนักเรียนนอก ของพี่ชายคุณหญิงชัชนี จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ประวัติการทำงานเติบโตมาจากการไฟฟ้า จนกระทั่งดำรง ตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
นายเกษมเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านพลังงาน เพราะตลอดชีวิตคลุกคลีอยู่กับการไฟฟ้าที่ ต้องเดินทางหาแหล่งพลังงานทั่วประเทศ ส่วนคุณหญิงชัชนีหลังจากแต่งงานก็แยกตัวออกจากครอบครัวล่ำซำ โดยมีจุดเริ่มต้นชีวิตด้วยการเปิดบริษัทสั่งตระเกียงเจ้าพายุและผูกขาดในการ ขายไส้ตะเกียง แล้วมีการไฟฟ้านี่แหละที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ การค้ามีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตามกาลเวลา ธุรกิจเจริญเติบโตมาควบคู่กับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของนายเกษมผู้เป็น สามี จนกลายมาเป็นบริษัทล๊อกซเล่ย์ที่ผูกขาดขาย เครื่องปั่นไฟ จนกระทั่งสุดท้ายบนตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของนายเกษม จาติก วนิช การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจึงได้กลายเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อบริษัทล๊อกซเลย์ ที่รัฐบาลไหน ก็ตามห้ามแตะ และการที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จึงไม่ผิดกับ การแหย่รังแตนนั่นเอง (ท่านผู้อ่านต้องการรู้มากกว่านี้คงต้องค้นหากันเอาเอง เพราะผม มีเนื้อที่จำกัดและถ้าหากต้องการรู้สายสัมพันธ์ของตระกูลนี้ก็มีให้ได้เห็น ในงาน วิวาห์ขิม-ฝนในหนังสือพิมพ์แนวหน้าของประสงค์ สุ่นศิริ)...."
..ถ้าหากพูดถึงกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเปรมผู้มากด้วย บารมี
ก็คงต้องไม่ละเลยที่จะต้อง กล่าวถึง
ท่านผู้หญิงชัตถ์ ปิยะอุย ผู้ซึ่งเคยถูกจอมโจรหน้าหยกนามวันชัย แซ่จิว
ปล้นเงียบบนตึกโรงแรมดุสิตธานี ก็เป็นอีกตระกูลหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเปรม
ไม่แพ้ตระกูลใดๆในประเทศไทย และถ้าจะให้ได้ภาพที่ชัดเจนก็คงต้องย้อนอดีตของ
โรงแรมดุสิตธานีให้ ท่านผู้อ่านได้เห็นถึงที่มาที่ไปจนเป็นตำนานโรงแรมการเมืองแห่งนี้
โรงแรมดุสิตธานีก่อตั้งและเปิดบริการเมื่อปี ๒๕๑๓ ได้ชื่อว่าเป็นโรมแรมสุดหรู
และ โด่งดังที่สุดแห่งยุคในเวลานั้น จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยเบ่งบานสุดขีด ก็ปรากฎมีชื่อนายเทอดภูมิ ใจดี หัวหน้าแผนกทำความสะอาดเครื่องใช้ในการทำอาหารและเครื่องดื่ม (Steward) ซึ่งเป็นหัวหน้าสหภาพแรงงานโรงแรมและเป็นนักเคลื่อนไหวชนิดแส่ไปสิบทิศ ที่ไหนมีการประท้วงคุณแส่คนนี้จะต้องไปร่วมกับเขาทุกงาน
ผมไม่ทราบว่า ด้วยสาเหตุแห่งความวุ่นวายอันเกิดจากพนักงานของโรงแรมที่ชื่อ นายเทอด ใจดีคนนี้หรือเปล่าที่ทำให้นายสมพจน์ ปิยะอุย น้องชายท่านผู้หญิงชนัตน์ต้องตกกระไดพลอยโจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และนายสมพจน์ ก็เลือกที่จะเล่นการเมืองด้วยวิธีโตทางลัด โดยเป็นนายทุนสนับสนุนด้านการเงินตลอดจนอาหารเครื่องดื่ม (เรียกว่าเต็มที่เลยทีเดียว)ในการปฎิวัติเมื่อวันที่ ๒๖มีนาคม ๒๕๒๐ แต่ไม่สำเร็จจึงได้ ชื่อว่าเป็นกบฎ นายสมพจน์ก็เลยต้องดำดินหายหน้าหายตาไปจากวงการ
จนกระทั่งวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ กลุ่มนายทหาร จปร๗ ที่รู้จักกันในนามยังเติร์กสนับ สนุน
พล.อ.สันต์ จิตปฎิมาทำการยึดอำนาจรัฐบาลเปรม (ความจริงรู้กันแต่เปรมไม่ได้รายงานเบื้องบน เรื่องนี้มีหลายคนเข้าใจผิดหากมีโอกาสคงต้องนำเสนอท่านผู้อ่าน)
พลันก็มี ชื่อ นายสมพจน์เข้าไปเกี่ยวข้องอีก การครั้งนี้ล้มเหลวเช่นเคย นายสมพจน์ ก็เลยต้องดำดินต่อ (นายสมพจน์เป็นกบฎที่ไม่เคยถูกดำเนินคดี ในขณะที่พล.อฉลาดถูกประหารชีวิต และเสธ.หนั่นต้องติดคุกบารมีเปรมหรือไม่คงต้องคิดกันเอาเอง)
การที่นายสมพจน์สนิทชิดเชื้อกับกลุ่มยังเติร์กและให้การ สนับสนุนด้วยการเป็นนายทุนก่อการรัฐประหารหลายครั้งหลายหน
ก็มีทั้งผลดีและร้ายในเวลาเดียวกัน ผลดีนั้นก็คือ
เมื่อเกิดมีโครงการรถไฟลอยฟ้าในยุคสมัยของพล.ต.จำลอง ศรีเมืองก็มีการดูแลกันเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เสียทรรศนียภาพของโรงแรมดุสิต ธานี โดยมีการกำหนดให้จุดที่เป็นสถานีพักรถอยู่ด้านทางฝั่งสวนลุมตรงข้ามกับ
โรงแรมดุสิตฯถึงกับมีโครงการจะย้ายพระรูปร.๖ เลยทีเดียว แต่ครั้นเวลาผ่านไป
ถึงคราวที่พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี๒๕๔๐
ท่านผู้หญิงชนัถต์ ก็ต้องออกมาหลั่งน้ำตาอยู่หน้าจอ ทีวีให้เป็นที่สมเพช อันมีเหตุมาจาก มีการเปลี่ยนแปลงให้สถานีพักรถไฟลอยฟ้าย้ายไป อยู่หน้าโรงแรมดุสิตธานี เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้าง ขวางจน
ในที่สุดก็หนีไม่พ้น คนมากด้วยบารมีอย่างเปรมที่ต้องเข้ามาซับน้ำตาให้ท่านผู้ หญิง ด้วยการนำเรื่องขึ้นเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัญหาใหญ่ในครั้งนั้นของท่านผู้หญิงชนัตถ์ไม่เพียงได้รับการแก้ไขเท่านั้น กลุ่มนักธุรกิจที่ใกล้ชิดผูกติดเปรมกลุ่มดังกล่าวข้างต้นยังได้พร้อมใจกัน ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่
พล.อ.เชาวลิต หรือที่รู้จักกันในนาม“ม๊อบสีลม” สุดท้าย พล.อ.เชาวลิตก็ไม่อาจที่จะทนอยู่ได้ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลปิยะอุยกลายมาเป็นโอกาสอย่างชนิดไม่คาดฝัน เมื่อมีบุคคลชั้นสูงเข้ามาร่วมถือหุ้นกิจการในเครือโรงแรมดุสิตธานี ก็เลยทำให้มีกลุ่มไฮโซและนักธุรกิจชื่อดังเฮโลเข้าร่วมทุนซื้อหุ้นกันอย่าง อุ่นหนาฝาคั่ง จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมทุกกิจการในเครือของดุสิตธานีจึงมี คำพ่วงท้ายว่า “รอยัลปรื้นเซส” จึงอย่าได้สงสัยว่าทำไมประธานบริษัทจึงมีชื่อว่า นายชาตรี โสภณพนิช
ความสัมพันธ์ระหว่างเปรมและธนาคารกรุงเทพในลักษณะของการ ถ้อยทีถ้อยอาศัย
ที่มีมาอย่างยาวนาน แม้ปัจจุบันสำหรับคนรุ่นใหม่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ในความเป็นเปรมเชื่อว่า
ท่านผู้อ่านคงต้องจำได้เมื่อครั้งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เดินขบวนไปบ้านสี่เสา
เพื่อ ยื่นถวายฎีกาขอนายกฯพระราชทานให้เปรมนั้น
เปรมได้ให้พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีปออกมารับแทน
โดยที่ตัวเองหลบไปจิบน้ำชาอยู่บนตึกธนาคารกรุงเทพ และพอโค่นล้มรัฐบาลทักษิณได้สำเร็จ ก็ไม่ลืมใช้บริการของธนาคารกรุงเทพอย่างคงเส้นคงวาด้วย
การให้นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกรุงเทพมาดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ นอกจากนี้ยังมีการโอนหนี้สิน ที่ผูกพันอัน เกิดจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้วไปอยู่ในความดูแลของธนาคารกรุงเทพ และเชื่อว่ายังจะต้องมีการถ่ายโอนในอีกหลายๆเรื่องที่เป็นประโยชน์ โดยเปลี่ยนมือไปอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจที่มีเปรมเป็นตัวแทนที่เต็มเปี่ยมไป ด้วยคุณธรรมและ จริยธรรม
“เปรมข้อต่อธุรกิจ-การเมือง-เบื้องสูง” จึงมีที่มาด้วยประการฉะนี้"
ขอบคุณคุณ อาคม ซิดนี่ย์มาก ที่ได้ต่อ "จิ๊กซอว์" ให้เห็น เพราะบางเรื่อง ผมก็ลืมไปแล้ว
อีกอย่่างที่ผมทราบมา (ไม่กรอง) ก็คือ
โรงเรียนนานาชาติ เปรม ติญสูลานนท์ ที่อยู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่นั้น มีผู้ถือหุ้นใหญ่
ก็คือ เครือดุสิตธานี ของคุณหญิงชนัชต์ นั่นเอง
หรือ แม้แต่ในตัวตึกของ วิทยาลัยดุสิตธานี ที่สอนเรื่องการโรงแรม ทำอาหาร แถวซีคอนสแคว์
ก็ยังเป็นของเครือดุสิต ที่มีการขยาย เพื่อรองรับธุรกิจโรงแรมของเครือดุสิต
ผมเองก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะคนทำธุรกิจก็ต้องหาความมั่นคงไว้เป็นหลักประกันอยู่แล้ว
แต่บางอย่าง ก็น่าจะดูความ "เหมาะสม" สักหน่อยก็ดี
อย่างเรื่องของ ดุสิตธานี หาก คุณอาคม ไม่พูด บางทีก็นึกไม่ถึง
เพราะเหตุการณ์ประท้วงขอขึ้นค่าแรงของ พนักงานโรงแรมดุสิต
เมื่อช่วงปี 2519-20 (จำ พ.ศ.ไม่ได้ชัด) ก็มีกลุ่มกระทิงแดง
ที่เคยลุยนักศึกษาธรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ไปฮึ่ม ๆ ใส่สหภาพแรงงานของโรงแรมดุสิตธานี
รัฐบาลชุดนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นของธานินทร์ กรัยวิเชียร นี่แหละ
โดน พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นคนปฏิวัติ
โดยการนำทางจากกลุ่มของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
เรื่องนี้ถ้าคุยกัน สงสัย ต้องหาเอกสารมาประกอบอีกเยอะ
ถามว่า ความพอดีควรอยู่ตรงไหน
ผมคิดว่าความพอดีพอเหมาะ มันพูดกันลำบากเหมือนกัน
เหมือนกับเวลาเราพูดถึงว่า คนตัวใหญ่ ก็ควรจะกินข้าวเยอะ,
คนตัวเล็กก็ควรกินให้น้อยหน่อย
ทีนี้อย่างกรณีการไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน ของ พล.อ.เปรม ถามว่า
ทำได้มั้ย..ตอบว่าได้..
แต่ถ้าถามว่าเหมาะมั้ย
ก็ต้องตอบว่าไม่เหมาะ
ไม่เหมาะเพราะว่า ท่านเป็นองคมนตรี ที่ปรึกษาพระมหา...
ผมเห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ช่อง TAN ของคุณสโรชา แห่ง ASTV ที่ถามว่า
เวลาว่างเอาไปทำอะไร
พล.อ.เปรม บอกว่า แต่งเพลง, ร้องเพลง, เล่นกอล์ฟ
ไม่เห็นว่า จะต้องไปนั่งคิดให้คำปรึกษาในด้านใดกับบริษัทเอกชนทั้งหลายเลย
ยกเว้นอย่างกรณีที่บทความข้างบนเขาเขียนไว้กระมัง..
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8799815/P8799815.html