โรงแรมเวียงใต้ 1 มี.ค.- สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย (ส.ป.ท.) ปรับบทบาทตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาประเทศไทย ดึง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ร่วมงาน
สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย (ส.ป.ท.) นำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในฐานะเลขาธิการ แถลงข่าวแสดงจุดยืนการทำงาน ว่า ส.ป.ท. ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2550 เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 87 ระบุว่า รัฐจะต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันพรรคพลังประชาชน เข้ามาควบคุมอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ รวมถึงมีประชาชนบางส่วน เห็นว่าพรรคพลังประชาชน มีพฤติกรรมเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย ซึ่งคล้องจองกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับประเทศ หลายฝ่ายจึงเป็นห่วง
“เราจึงใช้สถานการณ์ปัจจุบัน และรัฐธรรมนูญมาปรับเป็นบทบาทหน้าที่ของ ส.ป.ท. โดย ส.ป.ท. จะส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิก และประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมในชาติและระดับท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง การใช้สิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ เช่น การเสนอกกฎหมาย หรือการยื่นถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ พร้อมจะตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งทางการเมือง โดยจะรวมตัวกันในลักษณะสมัชชาประชาชน พร้อมทั้งจะสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยสุจริจและเที่ยงธรรม”นายไชยวัฒน์ กล่าว
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ส.ป.ท. จะประกอบด้วยคณะที่ปรึกษา อาทิ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานที่ปรึกษา นายปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นที่ปรึกษา สปท. นายไพศาล พืชมงคล เป็นที่ปรึกษา นายประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษา นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ที่ปรึกษา นางมาลีรัตน์ แก้วก่า ที่ปรึกษา นอกจากนี้จะมีประธานคณะกรรมการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม อาทิ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นายณรงค์ พิริยะเอนก เป็นประธานคณะกรรมการกิจการรัฐบาลและรัฐสภา นายไพศาล พืชมงคล ประธานคณะกรรมการโรงเรียนการเมืองการปกครองภาคประชาชน
ต่อข้อถามว่า ทาง ส.ป.ท. จะมีการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่โยกย้าย อธิบดีดีเอสไอ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ทาง ส.ป.ท. จะต้องรวบรวมสมาชิกให้ได้ 50,000 รายชื่อ จึงจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอกฎหมาย ที่ต้องใช้ชื่อ 10,000 รายชื่อ หรือการถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่ง หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่การยื่นถอดถอนบุคคล เราจะต้องใช้เมื่อถึงเวลาเท่านั้น ซึ่งการโยกย้ายข้าราชการผู้ใหญ่ ก็ไม่ใช่รัฐบาลคิดแต่ว่า กฎหมายเปิดช่องให้ก็สามารถโยกย้ายได้ เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะต้องเน้นหลักของนิติธรรมด้วย ซึ่ง ส.ป.ท.จะเฝ้าดูเหตุผลในการโยกย้ายว่ามีอะไรบ้าง
เมื่อถามว่า ทาง ส.ป.ท. กับพันธมิตรมีการทำงานที่เกี่ยวโยงกันหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า เราตกลงว่าจะมีเป้าหมายร่วมกัน คือการต่อสู้กับระบอบทักษิณ โดยกระทำภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช้การเผชิญหน้าหรือความรุนแรง ซึ่งจะมีการหารือกับพันธมิตรทุกวันพุธของสัปดาห์ ซึ่งเราจะอยู่ภายใต้การทำงานร่วมกับกับพันธมิตรแต่จะแยกกันไปรับผิดชอบงานใครงานมัน แล้วจะมีการพูดคุยกันเพื่อกำหนดบทบาทต่อไป
เมื่อถามว่า จะมีการชุมนุมหรือออกมาเรียกร้องอะไรหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเรื่องของการออกมาชุมนุม แต่เดิมที่มีการออกมาชุมนุมนั้นเพราะกลไกของธรรมนูญไม่สามารถทำงานได้ ประชาชนจึงต้องออกมาเรียกร้องบนถนน อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่สบายใจ ตรงที่รัฐบาลเข้ามาทำงานสมบูรณ์แบบภายในอาทิตย์แรก แต่กลับมีการโยกย้ายแบบมโหฬาร ทั้งด้านยุติธรรมและด้านสื่อ แล้วทุกคนก็กลับเงียบ บอกว่าทำได้ในระบบ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ประชาชนต้องหาทางออก แต่อย่างไรก็ตามก็จะทำภายใต้กฎหมายเพื่อไม่ให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น
ด้านพล.ร.อ. บรรณวิทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง มีการโยกย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะที่ผ่านมา อธิบดีดีเอสไอ ได้ดูแลคดีทุจริตหลายเรื่องและขณะนี้เรื่องการทุจริตที่ดินที่บุรีรัมย์ ก็เตรียมออกหมายจับ แต่กลับมีการย้ายทั้งอธิบดีดีเอสไอและพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งไม่แน่ใจ ว่า ย้ายแล้วจะมีการออกหมายจับหรือไม่ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
“การย้ายอธิบดีดีเอสไอ ผมเสียใจมาก แม้ผมจะเคยโดนย้ายตอนเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่เหมือนนายสุนัยที่ทำเรื่องการทุจริตได้อย่างครอบคลุม เราต้องให้กำลังใจท่าน ซึ่งผม ได้โทรศัพท์ไปหานายสุนัยแล้ว เพื่อขอให้ดำเนินการฟ้องศาลปกครองในเรื่องดังกล่าว ซึ่งท่านบอกว่ากำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ซึ่งในวันที่ 4 มีนาคม จะถึงนี้ ทาง ส.ป.ท. จะเดินทางไปให้กำลันายสุนัยและจะเรียกร้องให้ท่านฟ้องศาลปกครองในเรื่องของการโยกย้าย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีข่าวดี ซึ่งการย้ายข้าราชการตนเห็นด้วยหากจะมีเหตุผลที่ชัดเจน ว่าประชาชนได้อะไร ก็สามารถย้ายเป็นรายวัน รายชั่วโมงเลยก็ได้ หากมีเหตุผลแต่เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลและตนดีใจ ที่วันที่ 4 มี.ค.นี้ ผมจะได้เป็นประชาชนเต็มขั้น เป็นทองพูน โคกโพธ์ เป็นราษฎรเต็มขั้น เพราะสิ้นสุดการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พร้อมจะลุยและอุทิศตัวในบั้นปลายของชีวิต ตอบแทนคุณแผ่นดินไม่ให้เสียชาติเกิด” พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-03-01 14:20:38