WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, March 7, 2010

ขอเป็นจิ้งจกทักสามเกลอก่อนชุมนุมใหญ่

ที่มา Thai E-News




ผมไม่เห็นด้วยกับการเร่งแตกหัก เพราะขณะนี้ “ฝ่ายประชาธิปไตยของเรายังไม่พร้อม“ อะไรคือสิ่งที่เรายังไม่พร้อม คำตอบคือ“ แม่ทัพ “ ส่วนด้าน"ยุทธวิธี"นั้น 3เกลอกำลังใช้ยุทธวิธี 14 ตุลา 2516 + 17 พฤษภา 2535 ซึ่ง 3 เกลอไม่รู้จริงๆหล่ะหรือ ว่ามันไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย สถานการณ์ ตุลา2516 + พฤษภา2535 นั้นเป็นการต่อสู้ช่วงชิงกันระหว่างชนชั้นเดียวกัน ส่วนการต่อสู้ครั้งนี้เป็น “สงครามชนชั้น” แต่3เกลอกลับใช้ยุทธวิธีเก่าๆ "แม่ทัพที่วิเคราะห์สถานการณ์อย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง และทำอีกอย่างหนึ่ง จะพาไพร่พลไปชนะสงครามได้อย่างไร"


โดย kidykidy
ที่มา บอร์ดประชาไท

ข้อความที่ปรากฏต่อไปนี้ น่าจะมีประโยชน์สำหรับฝ่ายประชาธิปไตยไม่มากก็น้อย เนื่องจากเป็นการติเพื่อก่อ และไม่มีเจตนาที่จะตำหนิสามเกลอ

และต่อไปนี้

1.เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์ จะใช้คำว่า 3G แทนคำว่าสามเกลอ

2.บทความนี้จะอ้างอิงตำราพิชัยสงคราซุนวูเป็นระยะๆ ดังนั้นจะใช้ตัวย่อแหล่งอ้างอิงว่า ซว. และใช้ บ.แทนบรรพ

"อันการสงครามนั้น เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐ คือวิถีแห่งการคงอยู่หรือล่มสลายของประเทศชาติ เกี่ยวพันถึงชีวิตของไพร่พลและราษฎร จะไม่พินิจพิเคราะห์หาได้ไม่ ผู้ที่ไม่เข้าใจผลร้ายของการทำสงครามอย่างถ่องแท้ จึงไม่อาจเข้าใจผลดีของการทำสงครามอย่างแจ่มแจ้ง ผู้สันทัดในการทำสงคราม จึงไม่เกณฑ์พลซ้ำสอง ไม่เกณฑ์เสบียงซ้ำสาม"
ซว.บ2"การทำสงคราม"

1.ว่าด้วยเรื่อง "แม่ทัพ"

แม่ทัพผู้ชำนาญการสงคราม จึงเป็นผู้ตัดสินการคงอยู่หรือล่มสลายของประเทศชาติ และกุมความเป็นตายของปวงประชาราษฎร์ ซว.บ2 "การทำสงคราม"

อันการสงครามนั้น วิธีหยั่งรู้ว่าฝ่ายใดชนะ มีอยู่ 5 ประการคือ

1.ฝ่ายใดรู้ว่าควรรบหรือไม่ควรรบ ฝ่ายนั้นชนะ
2.ฝ่ายใดรู้ว่าควรใช้กำลังทหารมากน้อยเท่าใด ฝ่ายนั้นชนะ
3.ฝ่ายใดเบื้องบนกับเบื้องล่างมีเจตนารมณ์ตรงกัน ฝ่ายนั้นชนะ
4.ฝ่ายใดเตรียมพร้อมรับมือข้าศึกที่ไม่เตรียมพร้อม ฝ่ายนั้นชนะ
5.และฝ่ายใดแม่ทัพมีสติปัญญาความสามารถ*** อีกทั้งกษัตริย์ไม่แทรกแทรงกิจการของกองทัพ ฝ่ายนั้นชนะ
นี่คือวิธีหยั่งรู้ชัยชนะ ห้า ประการ จึงกล่าวกันว่า
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยคราว,
รู้เขาไม่รู้เรา รบชนะบ้างแพ้บ้าง,
ไม่รู้เขาไม่รู้เรา รบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง

ซว.บ3 "ยุธโทบายเชิงรุก"

เมื่อได้เห็นความสำคัญของ"แม่ทัพ"แล้ว จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เสนอแนะทักท้วง ในการกำหนดยุทธศาสตร์ของแม่ทัพ เพื่อให้ผลแห่งการสงครามนี้ ฝ่ายเราเป็นผู้กำชัยอย่างแท้จริง

และนี่คือความเห็นของผมกรณีมีฝ่ายประชาธิปไตยบางท่านเสนอให้ทำการรบยืดเยื้อ

ผมไม่เห็นด้วยกับ “การรบยืดเยื้อ “

"การรบยืดเยื้อควรใช้ในสถานการณ์ที่เราเป็นฝ่ายตั้งรับ เสบียงกรังพรักพร้อม ขวัญกำลังใจไพร่พลเข้มแข็ง
ค่ายคูประตูหอรบลั่นดาลแน่นหนา แต่สถานการณ์ตอนนี้เปรียบเสมือนเราถูกข้าศึกยึดเมืองไปแล้ว
พวกเขากินเสบียงของเรา นอนบนเตียงของเรา และเผลอๆก็กำลังเอาเมียเราอยู่"


แล้วจะรบยืดเยื้อได้อย่างไร

….

การที่เราปล่อยให้ระบอบเผด็จการเติบโตขึ้นนั้น ก็เท่ากับเราเองด้อยกำลังลง มันไม่ได้เติบโตขนานกัน

ถ้าเราเข้มแข็ง เขาจะอ่อนแอ
ถ้าเราอ่อนแอ เขาจะเข้มแข็ง


ยกตัวอย่างกรณีประเทศพม่า จากการที่เคยได้ชื่อว่าเป็น“ไข่มุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เพราะได้รับระบอบการศึกษาจากอังกฤษ และมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่เพียงแค่ 50 ปี ที่เผด็จการทหารยึดครองประเทศ ฝ่ายประชาธิปไตยก็อ่อนแอลงจนยากที่จะฟื้นตัว

เมื่อฝ่ายเผด็จการครอบครองประเทศ พวกเขาก็ดูดทรัพยากรของชาติไปแสวงหาผลประโยชน์และกระจุกตัวกันในหมู่พวกเขาเท่านั้น (เช่นเดียวกับกรณีเขายายเที่ยง เขาสอยดาว การขายน้ำมันในราคาแพง การฉ้อโกงในโครงการชุมชนพอเพียง การฉ้อโกงในการจัดซื้อเครื่อง GT200 การฉ้อโกงในการจัดซื้อของกระทรวงสาธารณะสุขในโครงการรัฐบาลเข้มแข็ง"แต่ประเทศชาติอ่อนแอ" เป็นต้น )
ส่วนประชาชนก็พากันอดอยากยากแค้น รุ่นคนที่เคยมีการศึกษาก็ค่อยๆหมดไปตามธรรมชาติ แล้วคนรุ่นปัจจุบัน แม้กระทั่งจะมีอาหารกินครบ 3 มื้อยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการต่อสู้เรียกร้องทางการเมือง

เมื่อปี 2550 รัฐบาลทหารพม่าประกาศขึ้นค่าเชื้อเพลิง 500% โดยไม่บอกล่วงหน้า เมื่อประชาชนออกมาประท้วง พวกเขาก็เข่นฆ่าประชาชน และเมื่อประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็จะยิ่งทำให้ฝ่ายประชาชนยิ่งอ่อนแอลงไปอีก

แต่แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการรบยืดเยื้อ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการเร่งแตกหักในขณะที่ฝ่ายเรายังไม่พร้อมด้วยเช่นเดียวกัน
และขณะนี้ “ฝ่ายประชาธิปไตยของเรา ก็ยังไม่พร้อม“ อะไรคือสิ่งที่ผมบอกว่าเรายังไม่พร้อม

นั่นคือ “ แม่ทัพ “

3G นั้น กำลังใช้ยุทธวิธี 14 ตุลา 2516 + 17 พฤษภา 2535 ซึ่งผมไม่รู้ว่า 3G ไม่รู้จริงๆล่ะหรือ ว่ามันไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย

สถานการณ์ ตุลา2516 + พฤษภา2535 นั้น เป็นการต่อสู้ช่วงชิงกันระหว่างชนชั้นเดียวกัน

เราจะสังเกตได้ง่ายๆว่า ฝ่ายเผด็จการทรราชที่เข่นฆ่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับคุณทักษิณ (สมมติว่าคุณทักษิณโกงชาติจริงๆ)

ผลลงเอยที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้รับต่างกันอย่างกะฟ้ากับเหว เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกอภิสิทธิ์ชนจะไม่ฆ่าอภิสิทธิ์ชนด้วยกัน
"เป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศหนึ่งจะลงโทษคนโกงชาติด้วยความรุนแรง แต่กลับปล่อยให้ทรราชที่เข่นฆ่าประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างมีเกียร์ติและไม่ได้รับผลกรรมใดๆเลย"

3G นั้นมักจะพูดอยู่เสมอ ( และเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย ) ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เป็น “สงครามชนชั้น” แต่กลับใช้ยุทธวิธีเก่าๆที่เป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นเดียวกัน

"แม่ทัพที่วิเคราะห์สถานการณ์อย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง และทำอีกอย่างหนึ่ง จะพาไพร่พลไปชนะสงครามได้อย่างไร"

อีกอย่าง ผมไม่เถียงว่า 3G เป็นคนกล้าหาญและเสียสละ และได้ทำการ “ปลุก“ ประชาชนให้ตื่นขึ้น แต่การปลุกประชาชนก็ไม่ได้หมายความว่า 3G จะทำตัวเป็น “เจ้าของประชาชน”เสียเอง คนอื่นคิดต่างไม่ได้เลย

ทีวีของ 3G เวทีของ 3G สื่อสิ่งพิมพ์ของ 3G จะต้องไม่มี เสธ.แดง ไม่มีสุรชัย ไม่มีจักรภพ...

สิ่งที่ 3G ทำในวันนี้ก็ไม่ได้ต่างจากการที่เราให้เงินทหารไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อป้องกันประเทศ แต่พวกมันกลับคิดว่ามันเป็นเจ้าของประเทศเสียเอง

แล้วขอร้องว่า ใครก็ตามที่รัก 3G ก็อย่าพึ่งมาด่าผม เพราะผมพูดความจริง และไม่ได้เกลียดชัง 3G เป็นการส่วนตัว ซึ่งโดยส่วนตัวผมรักชอบ 3G เสียด้วยซ้ำไป

แต่ถ้าต้องเลือกระหว่าง 3G กับชาติบ้านเมือง ผมเอาชาติบ้านเมืองก่อน

*** ต่อให้ไพร่พลพรักพร้อมแค่ไหน ถ้าแม่ทัพไร้ความสามารถ ก็ไม่มีทางชนะสงคราม ต่อให้ไพร่พลมีมากกว่าศัตรูแค่ไหน ถ้ากองทัพไร้ศักยภาพ ก็ไม่มีทางชนะสงคราม***

…………….

การทำสงครามยึดหลักรวดเร็วแม้จะหยาบบ้าง ไม่ยึดหลักชักช้าแต่บรรจงปราณีต
กองทัพทำสงครามยืดเยื้อโดยที่ประเทศชาติกลับได้ประโยชน์นั้น ยังมิเคยปรากฏเลย
พึงยึดสินทรัพย์แคว้นอริ แย่งเสบียงจากข้าศึก กองทัพจึงจะมีทรัพย์เสบียงเพียงพอ
ประเทศชาติยากจนจากการทำสงคราม ก็เพราะต้องส่งเสบียงแก่กองทัพในระยะทางไกล ทำให้ราษฎรยากจนข้นแค้น

กองทัพเคลื่อนถึงที่ใด สินค้าบริเวณนั้นจะมีราคาแพง เมื่อสินค้าแพง เงินทองในท้องพระคลังก็ร่อยหรอ จึงต้องเกณฑ์แรงและเสบียงด่วน สิ้นเปลืองกับศึกสงคราม ทำให้ทุกครัวเรือนว่างเปล่า รายได้ของราษฎรพึงถูกเกณฑ์ไปใช้ถึงเจ็ดส่วนสิบ ประเทศชาติต้องสูญเสียทรัพยากรมากมาย อาทิ รถศึกที่ชำรุด ม้า ลาพิการ เกราะหนัง หมวกเหล็ก ธนู หน้าไม้ ทวน มีดขอ ดั้งแขน โล่ วัว เกวียน ฯลฯ สิ้นเปลืองไม่ต่ำกว้าหกส่วนสิบ

เพราะฉะนั้น ขุนพลผู้กอปรด้วยสติปัญญาพึงผลักภาระเสบียงให้ข้าศึก กินเสบียงข้าศึก 1 “จง” เท่ากับประหยัดเสบียงของตน 20 “จง” เลี้ยงสัตว์พาหนะด้วยอาหารสัตว์ของข้าศึก 1 “สือ” เท่ากับประหยัดอาหารสัตว์ของตน 20 “สือ”

“ดังนั้น หากต้องการให้นักรบไพร่พลเข่นฆ่าสังหารข้าศึก จะต้องปลุกเร้าความเคียดแค้น“

3G ปลุกประชาชนขึ้นมาให้รักชาติบ้านเมือง แต่ไม่เคยตอกย้ำความเกลียดชังให้ประชาชนมีต่ออำมาตย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่สนธิได้ทำกับเหล่าสาวกและประสบความสำเร็จมาจนถึงวันนี้ นักรบไพร่พลที่ไม่เกลียดชังศัตรู จะมีพลังไปได้อย่างไร "ไม่ต่างอะไรกับการยิงธนูแต่ง้างคันธนูไม่สุดแขน แม้จะเล็งตรงเป้า แต่ก็ไม่มีพลังเพียงพอจะให้หัวธนูปักเข้าเป้าหมาย"
“หากต้องการให้นักรบไพร่พลแย่งยึดเสบียงและยุทธปัจจัยของข้าศึก จะต้องตกรางวัลเป็นทรัพย์สินเงินทอง“

อันรถศึกนั้น ถ้ายึดรถได้สิบคันขึ้นไป ควรตกรางวัลแก่ผู้เข้าแย่งยึดครองอย่างงาม แล้วเปลี่ยนธงรถศึก นำเข้าประจำการ ส่วนเชลยศึกนั้น จะต้องปฏิบัติต่อด้วยดีและช่วงใช้ตามควร จึงจะกล่าวได้ว่า ยิ่งชนะศึก ก็ยิ่งทำให้กองทัพฝ่ายตนเข้มแข็ง การทำสงคราม จึงต้องยึดหลักเผด็จศึกเร็ว ไม่ยืดเยื้อ

แม่ทัพผู้ชำนาญการสงคราม จึงเป็นผู้ตัดสินการคงอยู่หรือล่มสลายของประเทศชาติ และกุมความเป็นตายของปวงของประชาราษฎร์
ซว.บ2 "การทำสงคราม"

2. ว่าด้วยเรื่องยุทธวิธี

ในบทความข้างต้น "ว่าด้วยเรื่องแม่ทัพ" ผมวิเคราะห์ไว้ว่า"ฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่พร้อมรบ"

โดยให้เหตุผลว่า เราขาด "แม่ทัพ" ที่เป็นนักยุทธศาสตร์สงคราม( ซึ่งจริงๆแล้วผมเห็นว่าคนๆนั้นจะต้องเก่งกว่าประธานเหมาเจ๋อตุงด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายได้ใช้อำนาจทางวัฒนธรรมเป็นเกราะ เป็นโล่ เป็นดาบ ไว้ฟาดฟันเราด้วย ซึ่งในยุคของท่านประธานเหมาไม่มีเงื่อนไขนี้ )

และทอดตามองไปทั่วแผ่นดินผมก็ยังมองไม่เห็นนักยุทธศาสตร์สงครามคนนี้ แม้แต่ท่านชวลิต หรือคุณทักษิณ

แต่คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็อย่าพึ่งท้อแท้ใจ เพราะผมยังเชื่อในระบบทีมเวิร์คมากกว่าเชิดชูตัวบุคคล ขอแต่คนระดับแกนนำเปิดใจรับฟังกันและกัน แล้วค่อยจัดแบ่งงานกันให้ชัดเจน เช่น

1.คนนี้ดูงานมวลชน
2.คนนี้ดูงานการโต้ตอบทางการเมือง ( สร้างวาทะกรรมที่โดนใจ ตอบโต้ข้อกล่าวหาใส่ร้ายอย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อ หรืออินเตอร์เน็ต เช่นกรณีขึ้นบัญชีดำคนเสื้อแดง 200 กว่ารายชื่อ เรื่องนี้เรื่องที่ใหญ่มากในสังคมประชาธิปไตยระหว่างประเทศ แต่ก็เหมือนเดิม คนของคุณทักษิณและแกนนำ 3G เล่นไม่เป็น ขยายแผลไม่เป็น น่าเศร้า ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถร้องไปที่ฮิวแมนไรท์วอทซ์มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย )
3.คนนี้ดูการข่าวและการฑูตต่างประเทศ ( เด็ดดอกฟ้าสะเทือนถึงดวงดาวฉันท์ได การทำให้เสื้อแดงมีเวทีระหว่างประเทศเล่นก็ไม่มีอะไรเสียหายฉันท์นั้น ยกตัวอย่าง กรณีเฮติ ใต้หวัน ชิลี เราสามารถระดมสิ่งของ เงินทอง อะไรต่างๆในนามเสื้อแดงไปบริจาคผ่านสหประชาชาติหรือองค์กร NGO ของต่างประเทศที่ทำงานในเรื่องนี้ได้ ได้ทั้งหน้า ทั้งชื่อเสียง ทั้งภาพพจน์ที่ดี )
4.คนนี้ประสานงานหาข่าวกับตำรวจ-ทหาร ของฝ่ายศัตรู
5.คนนี้ดูงานด้านการเงิน รับบริจาค ขายสิ่งของ ( แต่ต้องทำให้โปร่งใสทุกบาททุกสตางค์ อาจจะแถลงทุกเดือน เพื่อความชอบธรรมของฝ่ายประชาธิปไตยเอง )
6.คนนี้ดูงานด้านการพัฒนากองกำลังปกป้องประชาชน ( โปรดสังเกตุคำที่ผมใช้ "กองกำลังปกป้องประชาชน"
ถ้าเรารู้จักเล่นแบบข้อ 2 เรื่องขึ้นบัญชีดำคนเสื้อแดง เราก็จะมีความชอบธรรมในการจัดตั้งกองกำลังนี้ ส่วนจะติดอาวุธหรือไม่ติดอาวุธ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องประกาศ ยอมรับ หรือปฎิเสธ เพราะชื่อมันก็บอกหน้าที่อยู่แล้วว่าปกป้องประชาชน และน้ำลายมันคงปกป้องประชาชนไม่ได้
7.คนนี้ดูงานด้านการฑูตกับฝ่ายอำมาตย์ หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น แต่ผมคิดว่ามันจำเป็น และผมขออนุญาติเสนอแนะว่าท่านเชาวลิตเหมาะกับงายส่วนนี้
8.คนนี้ดูงานด้านกฏหมาย ช่วยเหลือฝ่ายประชาธิปไตยที่ถูกรังแก
9.คนนี้ดูงานมวลชนสีดำ ( มวลชนสีดำน่าจะเป็นใครผมคงไม่มาพูดในที่นี้ )
10.คนนี้ดูงานด้านการประสานกับฝ่ายอำนาจทางศาสนาและวัฒนธรรม แสดงให้เขารู้ว่า เรายังต้องการเขา ไม่ได้คิดโค่นล้มเขาอย่างที่ฝ่ายศัตรูกล่าวหาใส่ร้าย


3. ว่าด้วยเรื่องยุทธศาสตร์

อย่างไรก็ตาม วันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากเห็น 3G ณัฐวุฒิ ปราศัยที่โคราช บอกได้คำเดียวว่า สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
อย่างนี้สิถึงจะเรียกได้ว่า การง้างคันธนูสุดลำแขน และยิงได้ตรงเป้าณัฐวุฒินับจากวันนี้ไปจะต้องไม่เหมือนเดิม และอย่าได้ลืมกลยุทธนี้เด็ดขาด “หากต้องการให้นักรบไพร่พลเข่นฆ่าสังหารข้าศึก จะต้องปลุกเร้าความเคียดแค้น“
ซว.บ2

เพราะพลังแห่งความรักจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการ"สร้างสรรค์" แต่พลังแห่งความเกลียดชังจนถึงขั้นระดับเคียดแค้น จะใช้ในการ "ทำลาย"

พลังแห่งความรักชาติ และพลังแห่งความเกลียดชังคนวรรณะ "จัญไร" ที่ทำลายชาติ 2 ส่วนหนุนเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างกับสายฝนสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารหล่อเลี้ยงทุกชีวิตบนพื้นโลก และคลื่นยักษ์สึนามิที่ทำลายสิ่งสกปรกโสโครกทุกอย่างให้พ้นไปจากแผ่นดิน

ขอชื่นชมอีกครั้ง ณัฐวุฒิ คุณยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าคุณใช้ศักยภาพระดับนี้ แม้แต่สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของคุณ แต่ไม่ใช่แค่ทักษะในการปราศัยทางการเมือง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคุณพูดความจริง ขณะที่สนธิพูดแต่เรื่องลวงโลก

จบเรื่องผู้นำ ทีนี้ก็กลับมาเข้าเรื่องของพวกเราซึ่งเป็นผู้ตาม คือเรื่องยุทธศาสตร์


ดังที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วว่าสถานการณ์วันนี้คือการทำสงครามระหว่างชนชั้น ฝ่ายหนึ่งต้องการกดขี่ผู้คนให้เป็น ไพร่ และ ทาส อีกฝ่ายต้องการสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ

ซึ่งโดยแท้ที่จริงแล้ว สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพนั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนมีอยู่เดิมนับตั้งแต่เกิดมา ผู้ปกครองพึงทำหน้าที่ปกป้องสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเท่านั้น มิใช่เป็น "ผู้ให้" เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อไม่ได้เป็นผู้ให้ และมีหน้าที่ปกป้องสิ่งเหล่านี้ให้ประชาชนแล้ว เหตุใด ยังจะมีหน้ามา "ปล้น" เอาไปจากประชาชนเสียเองอีกเล่า

เมื่อทราบสถานการณ์สงครามแล้วว่าเป็น "สงครามชนชั้น"

ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามในฝ่ายประชาธิปไตยที่มีความคิดว่าจะเอาชนะสงครามชนชั้นด้วยการเลือกตั้ง ขอให้เลิกงมงายและตื่นขึ้น โดยเฉพาะคุณทักษิณ

"6 เดือนแรก จะแก้ปัญหายาเสพติด 6 เดือนที่สอง จะปลดหนี้ 6 เดือนที่สามจะสร้างเขื่อน" พักเรื่องหาเสียงไว้ก่อนครับท่านนายกฯ เพราะสื่อฝ่ายเขาจะลงว่าท่านเพ้อเจ้อ

วันนี้ ต่อให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้ สส.480 เสียงเข้าสภา โดยพรรคอื่นสอบตกหมด ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่ได้อำนาจในการบริหารประเทศ ฝ่ายศัตรูจะประดิษฐ์ประดอยคำว่า "เผด็จการรัฐสภา" ให้ใบเหลืองใบแดง อื่นๆอีกมากมาย

และที่สำคัญที่สุด " ประเทศไทยวันนี้อำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐสภา " แต่อยู่ที่เทเวศน์

ดังนั้น ถ้าไม่เริ่มหันไปมองโมเดลต้นแบบในแนวทางอื่น เช่น

-กลุ่มเหมาอิสต์ในเนปาล
-กลุ่มพยัคทมิฬอีแลม
-กลุ่มมูจาฮีดีนผู้ปลดปล่อยอัฟกานิสถานจากสหภาพโซเวียต
-กลุ่มโคมัยนี
-และอีกมากมาย
-มาประยุกต์กับโมเดลต้นแบบในแนวทางสันติวิธี เช่น คานธี

เอาทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานกับ ตบไปตบมาให้ลงตัว หากไม่ศึกษาทั้งสองแนวทางแล้วกำหนดยุทธศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ฝ่ายประชาธิปไตยจะไม่มีวันชนะ ย้ำ "ไม่มีวันชนะ"

ฝ่ายเราจะต้องไปศึกษาดู แม้แต่ฝรั่งเศส ถ้าทหารยังยืนยันในอำนาจของหลุยส์ ฝ่ายปฎิวัติก็จะไม่มีวันชนะ เพียงแต่หลุยส์ไม่กล้าพอที่จะเป็นทรราชเท่านั้นเอง แต่ผมแน่ใจว่า อำมาตย์จัญไรของพวกเรา เขากล้าทำเรื่องชั่วร้ายได้มากกว่าหลุยส์แน่

ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องเปิดใจกันตรงๆว่า ทุกวันนี้ฝ่ายศัตรู ใช้อำนาจอะไรที่แข็งแกร่งที่สุดมาสู้กับฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าไม่ใช่อ้างอิงยึดโยงกับอำนาจทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นอำนาจที่ทุกฝ่ายยอมรับ และมีพลังมากกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ

ดังนั้นต้องทำให้อำมาตย์ไม่มีที่พิงหลัง ชัยชนะของเราจึงจะใกล้เข้ามา

ถามว่าทำยังไง ผมว่า คุณทักษิณน่าจะมีคำตอบ ถ้าไม่ปล่อยให้ชีวิตยึดดิดกับความทุกข์มากจนเกินไป สายตาก็จะกระจ่าง
คนเรา "กลัวอะไร ก็จะได้สิ่งนั้น"

คนที่เป็นมหาเศรษฐีมักมีจุดอ่อนที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือกลัวตายมากกว่าคนธรรมดาสามัญ แล้วยิ่งคนที่สร้างตัวด้วยสองมือตัวเองแบบคุณทักษิณ ( คือไม่ใช่พวก Next Generation ) ท่านก็อยากจะใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ มีเงินทิ้งไว้ให้ลูกเต้าก่อนตาย ได้อยู่กับลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมกับเกียร์ติยศที่ทำคุณงามความดีเพื่อชาติบ้านเมืองมา ( ถ้าท่านเกิดที่อังกฤษ ท่านอาจจะได้ยศเป็นท่านเซอร์ เหมือนเอลตัน จอห์น พอล แมคคาร์ทนี แต่ท่านเกิดผิดที่ไปหน่อย )

แต่อำมาตย์พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากคุณทักษิณ

และศักยภาพที่คุณทักษิณมี แค่เปลี่ยนวิธีคิดมุมมอง ( จากชนะเลือกตั้ง เป็นชนะศึก ) ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ทำสงครามชนชั้นได้ อยู่ที่ว่าหัวใจของคุณทักษิณ พร้อมแล้วหรือยัง

แต่ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวว่ามีคุณทักษิณแล้ว เราจะชนะไม่มีคุณทักษิณแล้วเราจะแพ้นะ ไม่ใช่เช่นนั้น

แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ควรต้องมีคุณทักษิณ และใช้คุณทักษิณในการทำงานบางเรื่อง เช่น เป็นกระบอกเสียงให้เราบนเวทีสื่อต่างประเทศ

กลับมาจุดเดิม คือ อย่ารบแค่เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่สั่งใครไม่ได้

ตราบใดที่ศักยภาพในการฆ่าหรือการทำลายไม่เท่าเทียมกัน ฝ่ายที่มีศักยภาพเหนือกว่าก็ไม่นั่งเจรจากับเรา เขาเอาปืนจ่อหัวเราอยู่แต่เราเป็นฝ่ายบอกว่าพร้อมเจรจา มันเป็นไปไม่ได้ แล้วการบีบให้เจรจาก็ไม่ใช่แค่การชุมนุม "โดยสงบ"

บทความนี้อาจไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี แต่เป็นการนำเสนอด้วยใจจริง มีติติงบ้าง ( และส่วนใหญ่ก็ติติง ) แต่คำยกยอปอปั้นคงไม่ช่วยให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะสงครามชนชั้นครั้งนี้ได้

กลอนบทนี้ ผมได้เขียนไว้จากความอัดอั้นตันใจหลังรับทราบคำพิพากษายึดทรัพย์คุณทักษิณ เคยนำมาลงไว้ ณ.ที่นี้แล้ว แต่ขอนำมาลงไว้อีกครั้งเพื่อเป็นกำลังใจกับฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลาย

และขอให้เหล่าแม่ทัพนายกองไพร่พลทั้งหลายจงประสบชัยชนะ เพราะพวกท่านกำลังทำสงครามที่มีความ "ชอบธรรม"ที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์ชาติไทย

แม้กาขาว จะรังแก แลกดขี่
แต่มวลชน เราต่างมี เป้าหมายใหญ่
ในวันนี้ รังแกได้ รังแกไป
จะอย่างไร สู้ไม่ถอย คอยดูกัน

จะปล้นทรัพย์ จะลอบฆ่า จะรัฐประหาร
ใช้อันธพาล ลอบทำร้าย ไม่หวั่นไหว
จะสู้ต่อ ให้มันรู้ กูคือไทย
จะสู้ไป จนชีพดับ กลับสู่ดิน

ถึงแผ่นฟ้า ไม่มีตา ข้าก็สู้
คนเดินดิน จะค้ำชู ชาติไทยไว้
สู้เพื่อชาติ เพื่อลูกหลาน เพื่อประชาธิปไตย
ไอ้จัญไร จะไม่ได้ สิ่งที่ต้องการ

คนเสื้อแดง ตาสว่าง กันทั้งโลก
ใครคือคน สับโขก กดขี่ไว้
ใครคือคน ข่มเหง รังแกไทย
ใครเป็นใคร ก็ได้รู้ กันเสียที

อยุติธรรม แผ่กระจาย ทั้งแผ่นดิน
มวลชนสิ้น ความเชื่อถือ ในกฏหมาย
ต่อไปนี้ จะสู้จน อีกฝ่ายตาย
ดีหรือชั่ว จะต้องพ่าย ได้รู้กัน

แม้จะเกิด อะไรขึ้น ก็ไม่ท้อ
อุปสรรคใดๆ ก็ จะข้ามพ้น
เราจะยืน หยัดอย่าง ทรนง
ยิ้มเย้ยสู้ อยุติธรรม เพื่อกำชัย