ที่มา Thai E-News
คนกรุงเทพฯหนุนเสื้อแดงสู้-กลุ่มเสื้อแดงได้รับดอกกุหลาบแดงจากชาวกรุงเทพฯที่มาให้กำลังใจ ขณะที่พวกเขาเริ่มชุมนุมในกรุงเทพฯเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม แม้จะมีการโหมกระพือให้ร้ายเสื้อแดงว่าจะก่อความรุนแรงและส่งผลต่อวิถีชีวิตปกติของชาวกรุงก็ตาม แต่ดูเหมือนการสร้างภาพเสื้อแดงเป็นผู้ร้ายจะไร้ผลเสียแล้วภาพข่าว AP โดยDavid Longstreath)
โดย เปลวเทียน ส่องทาง
13 มีนาคม 2553
ติดตามสดเคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน:-รับฟังสดทางวิทยุชุมชนแท็กซี่ คลิ้ก
-ติดตามถ่ายทอดสดทางเวบนิวสกายไทยแลนด์ คลิ้ก
-ติดตามถ่ายทอดสดทางพีเพิลชาแนลทางทีวีเสื้อแดงจอเท่าบ้าน คลิ้กหรือ คลิ้ก
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เข้มข้นในภาวะปัจจุบัน รัฐได้ใช้กลยุทธ์สร้างภาพ และสื่อรับใช้อำมาตย์ก็ขานรับโดยการสร้างภาพและกล่าวอ้างว่า คนกรุงเทพฯจะเป็นกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง
เป็นวิธีการที่สามานย์ของรัฐอภิสิทธิ์ที่ได้แยกเขาแยกเรา แยกคนกรุงเทพฯออกจากคนในประเทศ และสร้างคนเสื้อแดงเป็นดั่งศัตรู
ทั้งๆที่กรุงเทพฯเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย และคนกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อยก็เป็น คนเสื้อแดง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯที่เป็นคนจนและคนชั้นกลางที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารรอบด้าน รักความยุติธรรม และรักประชาธิปไตย
คนกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยไม่ได้ชื่นชมระบอบอำมาตยาธิปไตยแต่อย่างใด
นอกจากนี้แล้ว ก็ได้มีองค์กรต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวให้ทั้งรัฐและคนเสื้อแดง ใช้สันติวิธีในการเคลื่อนไหวไม่ใช้ความรุนแรง ให้ต้อนรับคนเสื้อแดงอย่างมิตร นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่สร้างความเกลียดชังในสังคม
หลายองค์กรหลายคนเป็นห่วงความรุนแรง และหลายคนหลายองค์กรที่รักประชาธิปไตย ต้องการให้สังคมพัฒนาการแก้ไขความต่างความขัดแย้งกันอย่างสันติ อย่างมีเหตุมีผล ยอมรับเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
ความรุนแรงมีทั้งหลากหลายมิติ ทั้งรูปธรรม นามธรรมทั้งกายภาพและรูปการจิตสำนึก
ความรุนแรงทางการเมืองที่สำคัญในปัจจุบัน ก็คือการไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตยพื้นฐาน ไม่เคารพหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง ไม่ยอมรับเสียงข้างมากที่เคารพเสียงข้างน้อย ไม่ยอมรับว่าคนจนมีสิทธิ์เท่าคนรวย ไม่ยอมรับว่าคนจบป 4 เท่ากับคนจบดอกเตอร์ ไม่เคารพว่าคนเกิดในตระกูลไพร่เท่ากับคนเกิดในตระกูลผู้ดีสูงศักดิ์ ไม่เคารพว่าผู้หญิงเท่ากับผู้ชาย ไม่ยอมรับว่าคนบ้านนอกเท่ากับคนเมืองกรุง ฯลฯ
สรุปก็คือ เป็นวิธีคิดที่ไม่เชื่อไม่ยอมรับไม่เคารพว่า “คนเท่ากัน” ในโลกที่ไม่ได้มีไพร่ทาสกันแล้ว หรือกล่าวอีกด้านหนึ่งได้ว่า เป็นความรุนแรงทางโครงสร้าง นั่นเอง
ดังนั้น ความขัดแย้งในทางการเมืองไทยที่ผ่านมานับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 49 ก็มีสาเหตุรากเหง้าปัญหามาจากความรุนแรงทางโครงสร้างและเพื่อแก้ไขปัญหานี้ จึงต้องหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ อย่างมั่นคงและเป็นประชาธิปไตย จึงต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน รณรงค์อย่างขนานใหญ่ให้ประชาชนเคารพกติกาประชาธิปไตยที่มีวาระเลือกผู้ปกครองแน่นอน ต่อสู้กันอย่างมีหลักการเหตุผล อย่างสันติวิธี ไม่ทำร้ายกัน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ จัดตั้งโดยมีทหาร อำมาตย์หนุนหลัง หรืออำนาจนอกระบบประชาธิปไตยกำหนดขึ้น ไม่ได้มาจากเสียงสวรรค์ของประชาชนโดยแท้จริง
และคงมีแต่พวกตีสองหน้า สร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี มืดบอดทางปัญญา พวกปล้อนปลิ้นหลอกลวงประชาชนไปวันๆเท่านั้นที่บอกว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น การยุบสภา จึงเป็นทางออกเดียวเพื่อสร้างสันติวิธีทั้งเฉพาะหน้าและระดับโครงสร้าง
นอกจากนักสันติวิธีจอมปลอม และนักสันติวิธีไร้หัวใจประชาธิปไตย รับใช้อำมาตย์เท่านั้นที่ปฏิเสธแนวทางนี้ใช่หรือไม่? โปรดทบทวนความคิดกันดู