ที่มา Thai E-News
โดย จิตร พลจันทร์
ที่มา คอลัมน์คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 16
จิตรงัด “แผนนองเลือด” มาแฉคราวก่อน ก็เพื่อให้พี่น้องผองเพื่อนได้เตรียมตัวเตรียมใจ มัวแต่หลอกคนดูว่าเขาสู้กับตาเปรม ตาสุรยุทธ์ ตาปีย์ ตาประยุทธ์ หรือพวกลูกตะขบนี้อยู่ จะพามวลชนไปซวยเสียเปล่าๆ
คู่ต่อสู้ตลอดมาและคู่ต่อสู้ในบัดนี้ของชาวประชาธิปไตย ไม่ได้เปี๊ยนไป๋แต่ประการใดเลย ยังเป็น “หลวงนฤบาล” แห่ง “โรงแรมผี” ตนเดิมนั่นแหละเจ้า
ผีตัวนี้มันร้ายนัก สิงสู่เมืองไทยหยั่งกะลิงจับหลัก ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที ขนาดนรกรอรับอยู่ไม่ต่ำกว่าสามขุม คือขุมฆาตกรรม ขุมสูบเลือดประเทศ และขุมโกหกพกลม (ว่าเป็นคนดีแสนดี) ก็ยังด้านเล่นยี่เกอยู่นั่นแล้ว ถึงคนดูถอดเกือกขว้างกบาลก็ยังไม่พอ ต้องช่วยกันรื้อเวทีไล่แล้วเอาน้ำร้อนราดตามนั่นแหละ
แฉแล้วจิตรก็นึกขึ้นได้ว่า คนรุ่นหลังๆ ที่ไม่รู้แผนนองเลือดฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ คงจะมีอีกแยะ นั่นเป็นหนึ่งในสูตรสำเร็จของแผนนองเลือดเลยนะจะบอกให้
เหตุการณ์ไทยฆ่าไทยด้วยกันอย่างทารุณครั้งนั้น ที่เรียกว่า “เหตุการณ์ ๖ ตุลา” เหมือนเป็นแบบฝึกหัดของ “หลวงนฤบาล” ว่าถ้าจะลงมือฆ่าคนจำนวนมากๆ และฆ่ากลางเมืองชนิดไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนกันอีกแล้วนั้น ต้องทำจะได๋ จิตรว่าคนที่ร่วมเหตุการณ์หรือคนที่มาตามอ่านตามค้นทีหลัง จะรู้ทันทีว่า “ปิศาจ” ตนนี้มันชอบนองเลือดนัก
ถ้าเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อสามทศวรรษที่แล้วเกิดเพราะอะไร เกิดอย่างไร และจบด้วยอะไร จะรู้เลยว่าอำมาตย์ในวันนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
จิตรออกตัวซะก่อนว่า คนที่รู้ดีกว่าจิตรมีอีกเป็นพะเรอเกวียน ตรงไหนผิดพลาดตกหล่น ก็อย่าชี้อยู่ห่างๆ เลย บอกกล่าวเล่าสิบกันมั่งเถิดนะเจ้า
ต้องย้อนกลับไป พ.ศ.๒๕๐๑ โน่น ตอนนั้น “หลวงนฤบาล” แกไปสอพลอทหารใหญ่ที่ลุ่มหลงในแนวความคิดเรื่อง “ที่สูงที่ต่ำ” คือ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้กลืนน้ำลายตัวเอง ด้วยการโค่นนายเลิฟที่ตัวไปสบถสาบานว่าจะรักและจงรักภักดียิ่งกว่าหมาที่จูงมาให้ในวันเกิด แล้วฟูขึ้นเป็นเผด็จการคับบ้านคับเมือง
หลวงนฤบาลแกก็ใช้อำนาจผ่านอีตาจอมพลผ้าขะม้าแดง (ต้องนุ่งผ้าขะม้าอยู่ตลอดเพราะแกมีเซ็กส์เกือบตลอดอย่างคนโรคจิตติดเซ็กส์) ใช้อำนาจฆ่าคนหัวเอียงซ้ายที่แกกลัวจะมาโค่นแก แถมมีกฎหมายออกมาตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนตัว แล้วตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๑ แกก็หาเงินเข้าพกเข้าห่อขนาดหนักเพื่อสร้างฐาน ช่วงนั้นเมืองไทยเป็นเผด็จการเสียยิ่งกว่าช่วงไหนๆ ก็เผด็จการทหารกับเผด็จการโบราณมันผสมพันธุ์กันนัวออกหยั่งงั้น
ต่อมาสฤษดิ์ตาย คนที่นายสฤษดิ์ปั้นไว้ก็มานั่งแป้นแล้นแทน กลายเป็นระบอบเผด็จการถนอม-ประพาส-ณรงค์ในเวลาต่อมา พอถึง พ.ศ.๒๕๑๖ “หลวงนฤบาล” แกชักรู้สึกว่าหมารับใช้ฝูงนี้มันชักจะมากเรื่อง ที่สำคัญคือ “กร่าง” เหลือกำลังลาก ขนาดพันเอกณรงค์ กิตติขจร ทำท่าจะเทียบรัศมีลูกชายเจ้าปัญหาของคุณหลวงเลยทีเดียวเชียว อีตาประพาสก็โกยเงินโกยทองหยั่งกะคนบ้า “หลวงนฤบาล” แกก็เลยโค่นซะ
โดยหลบอยู่หลังขบวนการที่มีประชาชนลุกฮืออยู่ข้างหน้า เอา คึกฤทธิ์ ปราโมช มาทำประชาสัมพันธ์ออกข่าว ทำจิตวิทยามวลชน เอา พลเอกกฤษณ์ สีวะรา มาคอยโค่นถนอมจากในกองทัพบก เบ็ดเสร็จแล้วเอาคนของตัวมาเป็นรัฐบาลเสียสองสมัยรวด ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน (ชั่วคราว) เอา “หลวงตา” ของสัญญา ธรรมศักดิ์มาทำให้หุ้น “ความซื่อสัตย์” มันขึ้นราคาซะหน่อย (หลวงตาแกซื่อสัตย์จริงจิตรไม่เถียง แต่หลวงนฤบาลแกเล่นหลอกหลวงตาอีกต่อหนึ่งน่ะสิ)
ทีนี้พอรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามาสวมแทน คุณหลวงปิศาจก็ทำการกวนแข้งตลอด ไม่ว่าจะรัฐบาลเสนีย์ คึกฤทธิ์ และกลับมาเสนีย์อีกสมัยหนึ่ง โอ๊ย...แกกวนไม่หยุด โชคดีที่ไปเจอคนกวนเมืองพอๆ กันคือคึกฤทธิ์ พอคุณหลวงโรคจิตแกสั่งให้ลาออก เพื่อจะเอาคนการเมืองที่แกเตรียมไว้มาเป็นแทน “เฒ่าสารพัดพิษ” คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ตวัดหางประกาศยุบสภาทันทีทันควัน คุณหลวงแกก็เลยงงไม่เสร็จ
เรียกว่าความรอบจัดของแกยังไม่เท่าพวกนี้ คุณหลวงผีสิงแกก็เลยเล่นเกมใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดเปื้อนเลือดที่แกชอบใจนักหนา และคงขุดซากกลับมาใช้ใหม่ใน พ.ศ.๒๕๕๓ แกจัดตั้งมวลชนขวาจัดขึ้นมาอย่างเงียบๆ ให้ขึ้นกับแกโดยตรง เครือข่ายลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล ผุดขึ้นพร้อมกับคนพันธุ์เดียวกันอย่าง ดร.วัฒนา เขียววิมล พลเอกประพันธ์ กุลพิจิตร พลเอกสำราญ แพทยกุล พลตรีสุตสาย หัสดิน มีหน่วยงานของพระติดอาวุธอย่างสำนักจิตตภาวันวิทยาลัย ของพระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือนายกิติศักดิ์ กิตติวุฑโฒ ที่เรียกกันติดปากว่า กิตติวุฑโฒ นั่นด้วย
พอจบกระบวนการเตรียมตัวแล้ว แกก็เริ่ม “แหย่” ฝ่ายประชาธิปไตยด้วยการกวักมือเรียก จอมพลประพาส จารุเสถียร กลับมาเมืองไทยแบบลับๆ ก่อน อยู่บ้านแถวโรงงานยาสูบใกล้ช่อง ๗ เพราะตาประพาสแกมีบุญคุณอยู่กับช่อง ๗ เอาทหารตำรวจไปล้อมบ้านไว้เต็ม พอทำท่าจะไม่ดี แกก็ให้กลับไปต่างประเทศก่อน
ต่อมาอีกไม่นานก็แหย่ใหม่ คราวนี้เล่นแรงเลย เอาตัวจอมพลถนอมบวชเณรกลับมาอยู่ที่วัดบวรอย่างสง่าผ่าเผย วัดบวรของใครก็รู้อยู่ จิตรคงไม่ต้องสอนหนังสือสังฆราช (จะสังฆราชชื่ออะไรก็ช่างเหอะ) เรื่องนี้เล่นเอารัฐบาลหม่อมเสนีย์ ปราโมชถึงขั้นเดินไม่เป็น ตอนหลังก็พลาดท่าเสียทีทั้งนอกรัฐบาลและในคณะรัฐมนตรีเอง
เพราะพรรคชาติไทยที่ร่วมรัฐบาลเป็นลูกกะเป๋งของหลวงนฤบาลตอนนั้น จนนายกเสนีย์ทำท่าจะสะดุดขาตัวเองหัวฟาดพื้นอยู่แล้ว หลวงนฤบาลแกก็ใช้ฝ่ายขวาของแกเข้าพิฆาตซ้าย ซึ่งความจริงไม่ใช่ซ้ายแต่เป็นชาวประชาธิปไตยทั้งนั้น ที่ลานโพธิ์ ธรรมศาสตร์ เพราะฝ่ายต่อต้านจอมพลถนอมไปรวมอยู่ที่นั่น สังหารโหดลูกหลานร่วมชาติอย่างเลือดเย็นที่สุด จิตรกราบขอร้องให้ทุกคนที่ไม่เคยเห็นไปหาภาพถ่ายสมัยนั้นมาดูด้วยตา จะรู้ว่ามันแผ่นดินธรรม-แผ่นดินทอง หรือ “แผ่นดินดำ-แผ่นดิน (เลือด) นอง” กันแน่
ในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อยึดอำนาจที่แกนึกว่าเป็นของแกคืนนั้น แกเริ่มใช้สูตรของการยึดอำนาจในระดับสูงสุดที่ตอนหลังแกชำนาญมาก
ขั้นตอน “แผน ๖ ตุลา” ของแกมีดังนี้
๑. ตั้งเครือข่ายคนรัก (ความจริงคลั่ง) ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ขึ้นมา ให้เงิน ให้อาวุธ และให้กำลังใจ (เช่น พระเครื่อง เป็นต้น)
๒. ใช้สื่อทำลายภาพฝ่ายตรงข้ามให้เลวระยำ สมัยนั้นบอกนักศึกษาเป็นลูกญวนลูกแกว ติดอาวุธจะยึดเมืองไทย รัฐบาลเสนีย์เป็นคอมมิวนิสต์ หรือมีคอมมิวนิสต์อยู่ในคณะรัฐมนตรี สมัยนี้ใช้วิธีตอแหลว่าฝ่ายประชาธิปไตยคิดล้มเจ้า จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง คดโกงสารพัด
๓. แหย่ให้เกิดสถานการณ์ เป็นเงื่อนไขให้ใช้ความรุนแรงได้ ตอนนั้นคือให้ถนอมกับประพาสเข้าเมืองอย่างลับๆ มาเป็นตัวล่อ ตอนนี้ใช้การยึดทรัพย์คุณทักษิณมายั่วอารมณ์คน ถ้าไม่สำเร็จก็คงจะหาอย่างอื่นมายั่วต่อไปตามสูตร
๔. ซ่อนตัวให้มิดชิด
๕. เตรียมรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีพิเศษ พ.ศ.๒๕๑๙ เตรียมศาสตราจารย์กฎหมายขวาตกขอบชื่อ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เอาไว้ เข้ามาได้ก็ประกาศว่าจะพัฒนาประชาธิปไตยยาวนาน ๑๒ ปี (โดยเป็นเผด็จการในระหว่างที่คอย) ตอนนี้คุณหลวงสั่งโปรโมท พลากร สุวรรณรัฐ พอขบวนการประชาธิปไตยถูกทำลายจนล้มคว่ำลงแล้ว ก็คงเอาคนใหม่ขึ้นหิ้งแทน
๖. เตรียมรัฐธรรมนูญฉบับฟื้นฟูอำนาจตัวเอง ซ่อนอำนาจเผด็จการไว้ให้แนบเนียน พ.ศ.๒๕๑๙ ก็ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๑๗ ที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยมาก แล้วไปงัดฉบับ พ.ศ.๒๕๒๑ มาใช้ จนเกิดรัฐบาลแบบรัฐบาลเปรมครอบงำเมืองไทยมาอีกเป็นสิบปี
จิตรขอป่าวประกาศว่าเมืองไทยขณะนี้อยู่ที่ “ข้อ ๓” เจ้าข้าเอ๊ย!