WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, March 13, 2010

นักลงทุนต่างชาติตบหน้าสื่อ-มาร์คลุยซื้อหุ้นไทยสนั่น ไม่หวั่นแม้ถูกปั่นหัวม็อบเสื้อแดงกร้าวรุนแรง

ที่มา Thai E-News



ต่างชาติไม่บ้าจี้ตามรัฐ-สื่อ-นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อหุ้นไทย สุทธิมากถึง18,999ล้านบาทในช่วง 9 วันทำการของเดือนมีนาคม2553 เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความไม่หวั่นไหวบ้าจี้ไปกับการที่รัฐบาล-พันธมิตรฯ-สื่อกระแสหลักโหมกระแสใส่ไฟว่าการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของประเทศ และวิถีชีวิตปกติของคนกรุงเทพฯ


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 มีนาคม 2553


อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง:
-ม.ล.ปลื้ม: สื่ออำมาตย์หล่อหลอมมวลชนให้เกลียดนักการเมือง-เบื่อการเลือกตั้ง
-สัมภาษณ์ประวิตร โรจนพฤกษ์ ในวันที่ 'สื่อ' ไม่ได้กุมความถูกต้องแต่ผู้เดียว
-ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : ข้อสังเกตว่าด้วย "ความเนียน" ของสื่อและรัฐบาล

นักลงทุนต่างชาติไม่วิตกม็อบ แห่ลงทุนซื้อหุ้นไทยสุดคึก

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดง รัฐบาลอภิสิทธิ์ กองทัพ และสื่อกระแสหลักที่เป็นแขนขามือไม้เผด็จการอำมาตย์ ได้ออกมามีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแสว่า การชุมนุมใหญ่ครั้งนี้จะเป็นผลเสียต่อการค้าการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของไทย และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตปกติของคนกรุงเทพฯ โดยมีการออกข่าวในทางลบต่างๆนานา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบกระแสของนักลงทุนต่างชาติกลับพบว่าเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่รัฐ,พันธมิตรและสื่อโหมโฆษณาชวนเชื่อ เพราะสะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นในการลงทุนในไทยอยู่ สังเกตจากการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมถึงเมื่อวานนี้ เพียงแค่ 8 วันทำการแรกนั้นปรากฎว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิหุ้นไทยมากถึง18,999ล้านบาท(คลิ้กดูรายละเอียด)

แต่นักเล่นหุ้นคนไทยกลัวตามกระแสสื่อหลัก และพันธมิตรโหมโฆษณาให้กลัวจึงพากันขายหุ้นออกมาต่อเนื่อ งแต่นักลงทุนคนไทยอาจจะผิดทาง เพราะหุ้นไทยขึ้นมาต่อเนื่องในรอบ 8 วันทำการที่ผ่านมานี้ โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากเขต700จุดมาบริเวณ730จุด รวมทั้งวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงเริ่มกิจกรรมการชุมนุมรอบใหม่นี้ ดัชนีตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาบริเวณ 733 จุด ซึ่งเป็นการขึ้นมาปิดที่จุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

บลูมเบิร์กสัมภาษณ์บัณฑูร ล่ำซำชี้นักธุรกิจชินกับม็อบแล้ว

สำนักข่าวบลูม้เบิร์ก สำนักข่าวชั้นนำในโลกการเงินการลงทุนรายงานข่าว โดยสัมภาษณ์นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย แบงก์พาณิชย์รายใหญ่อันดับ3ของประเทศระบุว่า"ถึงแม้การประท้วงจะรุนแรงหรือนองเลือดก็ไม่มีผลทำลายเศรษฐกิจ"เพราะการประท้วงเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้วในประเทศไทย"

บลูมเบิร์กรายงานว่า ไม่ได้มีแต่ชาวชนบทเข้าร่วมการประท้วง เมื่อสายวันนี้มีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปประท้วงที่สวนลุมพินี นายสิริวร นิมิตรศิลมา อายุ 67 ปี ซึ่งไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกานานถึง46ปี และได้กลับมาประเทศไทยในปี2549ก็เข้าร่วมชุมนุมประท้วง โดยบอกว่าเขาประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะ"เขาเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจของพวกเรา หากนายอภิสิทธิ์คิดว่าเขาทำเพื่อคนส่วนใหญ่ ก็แล้วทำไมจึงไม่จัดการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนเสียหละ?"

นายโรเบิร์ต บรอดฟุต กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งมีฐานในฮ่องกงกล่าวว่า"การจัดการเลือกตั้งใหม่นั้นน่าจะเป็นประโยชน์ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะการันตีว่าเป็นทางออกหรือไม่ ในเมื่อคนไทยยังแตกแยกเป็น2กลุ่ม ระหว่างคนในเขตเมืองกับอีกฝ่ายในเขตชนบท"

บลูมเบิร์กรายงานการสัมภาษณ์นายแพทย์เหวง โตจิราการ ผู้นำการประท้วงที่ยืนยันว่าจะจัดการชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ หากใครใช้อาวุธหรือความรุนแรงขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่เสื้อแดง"เราต้องการให้ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น"

UNรับสื่อกระแสหลักรายงานด้านเดียว นำเสนอกรรมการสิทธิฯUN

เช้าวันนี้ น.ส.จารุพันธุ์ กุลดิลก อาจารย์ ม.มหิดล น.ส.สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายสุดสงวน สุธีร์สรณ์ อาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ เดินทางไปที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน เพื่อพบนางนาตาลี เมเยอร์ เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนประจำภูมิภาค ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้สหประชาชาติส่งเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ชุมนุม เพราะสื่อหลักนำเสนอข่าวการชุมนุมด้านเดียว

นางนาตาลีกล่าวว่า เข้าใจว่าสถานการณ์ไม่ปกติ และสื่อในประเทศยังให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติดังกล่าวยังแสดงความห่วงใยว่าการประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง และนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงจะนำเรื่องนี้ไปเสนอกับกรรมการสิทธิมนุษยชนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของสหประชาชาติ

ผู้เชี่ยวชาญใน ตปท. คาด หากเกิดความรุนแรงอาจไม่ใช่ฝีมือเสื้อแดง

ข่าวการชุมนุมของเสื้อแดงในหนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 11 มี.ค. เรียกการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่มีการโดยสารมาทางรถบัส รถบรรทุก และรถอีแต๋น ว่าเป็นยุทธการ "ป่าล้อมเมือง" New York Times รายงานอีกว่า การที่คนในชนบทเข้ามาชุมนุมกันในเมืองหลวงเน้นให้เห็นถึงความแตกแยกที่ฝังรากลึกในประเทศ ระหว่างคนจนชนบทกับคนเมือง

New York Times ยังได้นำเสนอความเห็นของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ ซึ่งตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ชุมนุมมักจะใช้คำว่า 'สงครามครั้งสุดท้าย' (Final Showdown) แต่พวกเขาเชื่อว่าจะทำให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ลงจากอำนาจได้จริงไหม

นอกจากนี้ปวิน ยังบอกอีกว่าเขากลัวว่าจะมีคนกลุ่มอื่นมาสร้างความวุ่นวายเพื่อก่อให้เกิดความรุนแรง

"ถ้าเกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้น มันอาจจะไม่ได้มาจากเสื้อแดง" ปวินกล่าว "มันมีหลายกลุ่มมากในตอนนี้ มีอยู่ในทุก ๆ ที่ แม้แต่ในเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็มีกลุ่มย่อย ๆ อยู่ พวกเราไม่ทราบว่าใครเป็นพวกใคร ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้กลุ่มคนมือที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ใช้ประโยชน์จากมันได้เสมอ"

แฉใบสั่งสื่อป้ายสีเสื้อแดงก่อความวุ่นวายปูทางปราบ

ใบสั่งสื่อ-กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองบัญชาการทหารบก ส่งใบสั่งไปยังสื่อต่างๆขอให้ออกข่าวโฆษณาชวนเชื่อทำสงครามข่าวเพื่อให้ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่จะเรียกร้องประชาธิปไตยในวันที่ 14 มีนาคมนี้ไปในทางที่เป็นผลลบต่อประเทศ ชีวิตของคนกรุงเทพฯ เศรษฐกิจ การลงทุน ตลาดหุ้น และการท่องเที่ยว เชื่อเป็นแผนโดดเดี่ยวเสื้อแดงและปูทางไปสู่การปราบปรามประชาชน


ก่อนการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 14 มีนาคมนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าสื่อของรัฐ และสื่อเอกชนต่างมี"ธง"ในการนำเสนอข่าวไปในทิศทางเดียวกันคือการสร้างภาพลักษณ์ว่า กลุ่มเสื้อแดงจะเข้ามาก่อความวุ่นวายในกรุงเทพฯ สร้างความรุนแรง มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ และผลกระทบทางลบต่างๆ สื่อบางสำนักได้ปลุกปั่นให้คนกรุงเทพฯรวมตัวกันต่อต้าน ปกป้องกรุงเทพฯ หรือสร้างความตระหนกตกใจ เช่น เสนอข่าวว่ามีการกักตุนอาหาร หรือถอนเงินจากบัญฃีเป็นต้น

การนำเสนอข่าวดังกล่าวเป็นไปในทิศทางที่รัฐบาล และระบอบอำมาตย์ต้องการ นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเชื่อว่าเพื่อทำลายความชอบธรรมในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย โดดเดี่ยวคนเสื้อแดงให้เป็นเรื่องคนกลุ่มน้อยที่จะก่อความวุ่นวาย สร้างความรุนแรง และสร้างความชอบธรรมในการออกกฎหมายพรบ.ความมั่นคง พรก.ฉุกเฉินเพื่อปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย

เรื่องการสร้างกระแสดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่มี"ใบสั่ง"ให้สื่อกระแสหลักดำเนินการมาเป็นลำดับ ดังเอกสารที่เรานำมาเปิดเผยนี้เป็นใบสั่งจากกรมกิจการพลเรือนทหารบก กองบัญชาการทหารบก ที่ส่งไปยังสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทวีวี(ช่อง9) โดยใบสั่งนี้เป็นใบสั่งประจำวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ระบุ"ขอความร่วมมือ"เผยแพร่เป็นอักษรตัววิ่งประจำวันที่ 4 มีนาคม 2553 ดังนี้ และเรามีข้อสังเกตเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

-ข้อความที่1:นายสุเทพฯ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ประสงค์ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ส่วนใหญ่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ


ข้อสังเกตก็คือ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโดดเดี่ยวประชาชนที่จะมาชุมนุมใหญ่ว่าเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย

-ข้อความที่2:นายกงกฤษ หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความมั่นใจว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวไทยมีทิศทางที่สดใส หากปัจจัยการเมืองไม่มีความวุ่นวาย อาจขยายตัวถึง12-15%


ข้อสังเกต เป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะมีผลทางลบต่อการท่องเที่ยว ทั้งที่นายกงกฤษให้สัมภาษณ์หลายสื่อ รวมทั้งสัมภาษณ์ทางทีวีเนชั่นในช่วงสายวันที่ 9 มี.ค.เชื่อว่าการชุมนุมจะไม่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากไม่น่ามีเหตุรุนแรง และผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ปรับตัวได้แล้ว

-ข้อความที่ 3:นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทยกล่าวต้องติดตามสถานการณ์การเมืองช่วงนี้เป็นพิเศษ เพราะปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย หากการเมืองเกิดความรุนแรงอาจทำให้การขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่า2%


ข้อสังเกต:เป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่าการชุมนุมจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ ซึ่งกองทัพบกไม่เคยทำอย่างนี้เลยในตอนที่พันธมิตรชุมนุม แต่ผู้นำกองทัพบกกลับไปออกทีวีเรียกร้องให้นายกฯลาออกแทน

ข้อความที่4:กตม.ยังคงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่สำคัญโดยต่อเนื่อง และขออภัยในความไม่สะดวกในเส้นทางการจราจรบางพื้นที่ ทั้งนี้หากพี่น้องประชาชนพบบุคคลและวัตถุต้องสงสัย โทรสายด่วน191และ1555


ข้อสังเกต:เป็นการโฆษณาชวนเชื่อแยกผู้ชุมนุมเสื้อแดงให้โดดเดี่ยว ขาดการสนับสนุนจากประชาชน และโน้มน้าวให้ประชาชนเกลียดชัง และจับตาหรือร่วมมือรัฐบาลระบอบอำมาตย์เอาผิดกับผู้ชุมนุม ในขณะที่ออกตัวในกรณีรัฐบาลไปตั้งด่านทำให้การจราจรติดขัดเสียเอง

แถลงการณ์ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย:สื่อต้องยุติสงครามข่าวปูทางปราบเสื้อแดง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันนักข่าว ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งเรียกร้องให้สื่อยุติการทำสงครามข่าวเพื่อใส่ร้ายป้ายสีเเสื้อแดง เพราะเห็นว่าเป็นการปูทางนำไปสู่การปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธืปไตย โดยมีเนื้อหารายละเอียดดังต่อไปนี้

ขอเรียกร้องให้สื่อยุติการทำสงครามข่าวเพื่อจุดชนวนนำไปสู่การปราบปรามกลุ่มเสื้อแดง และขอเรียกร้องให้รัฐยุติการใช้สื่อของรัฐบิดเบือนยั่วยุสร้างความเกลียดชังแตกแยกในสังคม และยุติการคุกคามสื่อใหม่ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ

ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย ซึ่งเป็นองค์กรกลางประสานงานของผู้สื่อข่าวที่เคลื่อนไหวเพื่อให้ผู้สื่อข่าวนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้วยความเป็นกลาง ไร้การบิดเบือน และสนับสนุนประชาธิปไตย คัดค้านเผด็จการเห็นว่า บทบาทของสื่อสารมวลชนทั้งของรัฐ และเอกชนในปัจจุบัน กำลังหมิ่นเหม่ต่อการตกเป็นเครื่องมือของผู้กุมอำนาจรัฐ และนำเสนอข่าวชี้นำสังคมไปในทางที่มีอคติต่อกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่การใช้สื่อสร้าง"สงครามข่าว"เป็นการชี้นำสาธารณชนให้เกิดการเกลียดชัง ก่อความรุนแรงได้ จึงขอเรียกร้องดังนี้

1.สื่อมวลชนกระแสหลักนำเสนอข่าวโดยขาดการตรวจสอบในกรณีที่เสนอข่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงได้ขึ้นบัญชีดำต่อบุคคล 53 รายที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาล หรือสนับสนุนรัฐบาล รวมทั้งสื่อที่มีบทบาทสนับสนุนรัฐบาล และโจมตีต่อกลุ่มเสื้อแดงด้วยความอคติบิดเบือน โดยสื่อบางค่ายเช่น ผู้จัดการASTVนำเสนอว่าบุคคลทั้ง53รายตกเป็นเป้าการสังหารของคนเสื้อแดง

ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพียงการไปโพสต์ข้อความในเวบไซต์เสธ.แดง โดยข้อความดังกล่าวไม่ได้บอกว่าบุคคลทั้ง53รายเป็นเป้าหมายการสังหาร หรือขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายแต่อย่างใด เป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์ว่าบุคคลทั้ง53รายนั้น สนับสนุนระบอบเผด็จการอำมาตย์ และทำลายประชาธิปไตย และต่างก็ประสบเคราะห์กรรมตามหลักพุทธศาสนาไปแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นการติชมโดยสุจริตและเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

แต่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนกลับขาดการตรวจสอบ และนำไปขยายผลว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะประสงค์ร้ายต่อกลุ่มบุคคลทั้ง53ราย ซึ่งสุ่มเสี่ยงมากว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้วยความอคติลำเอียง และมีจุดประสงค์สร้างความเกลียดชังคนเสื้อแดง และอาจรวมไปถึงการสร้างกระแสเพื่อจุดชนวนให้ปราบปรามประชาชนที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ในวันที่14มีนาคมนี้ได้

ลักษณะดังกล่าวไม่แตกต่างไปจากกรณีหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และบางกอกโพสต์ตกแต่งภาพรัชทายาท และเป็นชนวนสำคัญนำไปสู่การปราบปรามนักศึกษาประชาชนในกรณี6ตุลาคม2519 แต่คราวนี้ย่ำแย่กว่ามากนัก เพราะไม่ได้มีเพียง2ฉบับ แต่สื่อมวลชนกระแสหลักแทบทั้งหมดกำลังบิดเบือน ตกแต่งข่าวป้ายสีและอาจเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้

จึงขอเรียกร้องให้ยุติการทำสงครามข่าวเพื่อจุดประสงค์ปูทางหรือจุดชนวนนำไปสู่การปราบปรามประชาชนโดยทันที

2.ที่ผ่านมาสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจำนวนมาก ได้แสดงตนอย่างเด่นชัดว่าขาดจากสถานภาพการเป็นสื่อสารมวลชนที่เป็นกลาง และนำเสนอข่าวเยี่ยงนักวิชาชีพไปแล้ว เพราะนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ทัศนะที่สนับสนุนระบอบอำมาตย์เผด็จการ ให้ร้ายป้ายสีสร้างความเกลียดชัง ชี้นำให้มีการปราบปรามทำลายล้างประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง

จึงขอเรียกร้องต่อองค์กรวิชาชีพสื่อ ทั้งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เป็นต้น ได้มีมาตรการกำชับหรือบังคับอย่างมีประสิทธิภาพให้สมาชิกขององค์กรของตนให้ธำรงตนอยู่ในความเป็นกลาง เสนอข่าวอย่างรอบด้าน ไร้อคติ ปราศจากการบิดเบือนชี้นำ และองค์กรวิชาชีพเหล่านี้ต้องแสดงตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย

3.ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องยุติการใช้สื่อของรัฐบิดเบือนสร้างความเกลียดชัง และยั่วยุให้เกิดความรุนแรงตลอดทั้งยุติการคุกคามปิดกั้นสื่อที่นำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง เช่น วิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม สื่อใหม่ทางวอินเตอร์เน็ตช่องทางต่างๆ ที่ใช้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์มใต้กรอบรัฐธรรมนูญ

4.ขอเรียกร้องต่อหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งของรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนช่วยกันเรียกร้องกดดัน และติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อข้างต้น

ด้วยจิตเจตนาที่เป็นกลาง และสงบสันติ สมานฉันท์

นายไพโรจน์ นิมิบุตร

ประธานชมรม นักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย

ติดต่อ:อีเมล์thailand.inc@gmail.com