ที่มา Thai E-Newsลามาร์แซแยส
ตื่นเถิด เหล่าลูกหลานแห่งปิตุภูมิ วันอันสว่างไสวมาถึงแล้ว
เบื้องหน้าเรา เหล่าทรราช ชักธงศึกอาบเลือดขึ้นแล้ว
ได้ยินเสียงในท้องทุ่งหรือไม่ ? เสียงโห่ร้องของอ้ายทหารป่าเถื่อนพวกนั้น
มันจู่เข้ามาหาพวกท่าน เพื่อประหารลูกเมียของท่านจนสิ้น
จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!
เหล่าทาสจะต้องการอะไรอีกเล่า จากเหล่าคนทรยศและราชันผู้ลวงโลก ?
ห่วงโซ่อันเลวร้ายนี้มีไว้เพื่อใครกัน ท่อนเหล็กนี้คงเตรียมไว้มานานแล้วสิ ?
ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย (มันเตรียมไว้) สำหรับเรานั่นแหละ อ้า! ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
ความเคียดแค้นที่พวยพุ่งออกมามันมากนัก เรานี้แหละคือผู้ที่กล้าต่อต้าน
แผนการซึ่งนำพวกเรากลับเป็นทาสอีกครั้ง !
จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!
ชะ! กองทหารต่างชาติพวกนี้รึ หมายจะตรากฎของมันในแผ่นดินของเรา !
ชะ! อ้ายพวกทหารรับจ้างนี่รึ ที่หมายทำลายความภูมิใจของกองทัพเรา!
ข้าแต่พระเป็นเจ้า! ด้วยสองมือที่ถูกล่ามไว้ ใบหน้าของเราจำต้องก้มลงภายใต้แอก
เพราะผู้กดขี่สารเลวจะกลายเป็น ผู้ลิขิตชะตาชีวิตของพวกเรา!
จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!
จงพินาศ ! เหล่าคนทรยศและทรราช สิ่งอันน่าอัปยศของมนุษย์ทั้งมวล จงพินาศ !
แผนคิดคดต่อมาตุภูมิของแก จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม !
เราทุกคนคือนักรบที่จะสู้กับแก มาตรว่าวีรชนผู้เยาว์ของเราสูญชีพไป
แผ่นดินย่อมสร้างพวกเขาขึ้นใหม่ และพร้อมที่จะเข้าร่วมรบต่อต้านแกเสมอ !
จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!
*************
หมายเหตุ:เนื้อร้องที่แสดงในหน้านี้เป็นเนื้อร้องฉบับทางการจากเว็บไซต์ของสำนักงาน ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ส่วนการขับร้องเพลงนี้ในปัจจุบันนิยมร้องเฉพาะเนื้อร้องบทที่ 1 (บางครั้งรวมถึงบทที่ 3 และบทที่ 5) เท่านั้น
ลามาร์แซแยส (ฝรั่งเศส: La Marseillaise, แปลตามตัวว่า เพลงแห่งเมืองมาร์เซย์) เป็นชื่อของเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย โคลด โจเซฟ รูเชต์ เดอ ลิสล์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาซ เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de l'Armée du Rhin" (แปลว่า "เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์")
เดอลิสล์ได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาวาเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทศฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือจอมพลนิโคลาส ลัคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์เซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยสดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วย
อิทธิพล ของลามาร์แซแยส
ในประเทศรัสเซีย เพลงลามาร์แซแยสได้ถูกใช้เป็นเพลงปฏิวัติฝ่ายสาธารณรัฐโดยชาวรัสเซียซึ่งรู้ภาษาฝรั่งเศสในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งไล่เลี่ยกับช่วงเวลาการปฏิวัติในฝรั่งเศส ถึงปี ค.ศ. 1875 ปีเตอร์ ลาฟรอฟ (Peter Lavrov) นักปฏิวัติและนักทฤษฎีกลุ่ม Narodism ได้เขียนเพลงโดยใส่เนื้อร้องภาษารัสเซียขึ้นใหม่ตามทำนองเพลงลามาร์แซแยส และให้ชื่อเพลงว่า "มาร์แซแยสกรรมกร" ("Rabochaya Marselyeza", "Worker's Marseillaise") ซึ่งเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงปฏิวัติยอดนิยมเพลงหนึ่งในรัสเซียและได้มีการใช้ ในการปฏิวัติรัส เซีย ค.ศ. 1905
ต่อมาเมื่อเกิดการปฏิวัติรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เพลงนี้ก็ได้มีลักษณะเป็นกึ่งเพลงชาติของสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นใหม่ หลังเหตุการณ์การปฏิวัติเดือน ตุลาคมซึ่งเกิดขึ้นในปีเดียวกัน เพลงนี้ก็ยังคงใช้เป็นเพลงปฏิวัติควบคู่กับเพลงแองเตอร์นาซิอองนาล
สำหรับประเทศไทย เพลงลามาร์แซแยสได้เป็นแรงดลใจให้คณะราษฏรคิดเพลงชาติขึ้นใหม่ในช่วงการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และยังมีการนำทำนองไปใช้ในเพลงมาร์ชต่างๆ ที่มีชื่อเสียง อันได้แก่ เพลง "มาร์ช ม.ธ.ก." ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ม.ธ.ก. เป็นอักษรย่อนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อครั้งยังใช้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง") ซึ่งประพันธ์โดยทวีป วรดิลก ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2490 และเพลง "มาร์ชลาดยาว" ซึ่งประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ขณะที่เขาถูกคุมขังในเรือนจำลาดยาว (เรือนจำคลองเปรม) ด้วยคดีการเมือง ระหว่างปี พ.ศ. 2503 - 2505 เพื่อใช้ร้องในงานรื่นเริงภายในคุก
ที่นำมาให้อ่านนี้คือเนื้อเพลงชาติประเทศฝรั่งเศสนะครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับประเทศไทยเลย ภาพจำลองเหตุการณ์นี้ ต้องการที่จะเตือนล่วงหน้าให้ทหารที่จะเข้ามาปิดล้อมประชาชนนั้น ขอให้รีบทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้า เพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเห็นหน้ากัน เพราะมักจบลงด้วยโศกนาฏกรรมของทหาร คงจำทหารรักษาพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้ที่ถูกแม่ค้าขายหมูที่บุกเข้าไปในวังตัดคอเอาเสียบกับปลายหอกเดินไปทั่วกรุงปรารีสหลายร้อยคน ก่อนจะมีการตัดสินประหารชีวิตทหารที่เหลือทั้งหมดในเวลาต่อมา
การปราบปรามที่ล้มเหลวหลังสงกรานต์เลือด เนื่องจากฝ่ายทหารเองก็ลังเลกับคำสั่งลับให้เข่นฆ่าประชาชน จนเสื้อแดงชุมนุมได้ครั้งละเป็นแสนและหลายๆแสน จนตั้งเป้าในครั้งสุดท้ายนี้ไว้ที่ 1 ล้านคน โดยชนิดที่มีการจัดตั้งกลุ่มย่อยเพื่อเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบแล้ว
ทำให้ฝ่ายเผด็จการที่จับตาดูด้วยสายตาประดุจเหยี่ยวร้าย คอยตะครุบเหยื่อนั้น เบิกกว้างด้วยความตกใจและเกรงกลัว ไม่อาจปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปไตยเติบโตไปมากกว่านี้อีก
การสร้างกระแสต่างๆด้วยการดึง กลุ่มพันธมิตรกลับมาทำงานอีกครั้ง และสร้างกระแสคลั่งชาติ คลั่งสถาบันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น รัฐประหาร พ.ศ.2490,14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาทมิฬในปี 2535 และล่าสุดการสร้างสถานการณ์เพื่อการปราบปรามใน สงกรานต์ 13 เมษายน 2552
แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ยังจำได้ถึงครั้ง 6 ตุลาคม 2519 ครั้งนั้นนักศึกษาในธรรมศาสตร์ ชุมนุมกันอย่างไม่รู้เรื่อง รู้ราว ข้างนอกก็ทราบดีว่า มีสื่อหนังสือพิมพ์และวิทยุโจมตีใส่ร้ายอยู่ แต่เหล่านักศึกษาที่ยังไร้ประสบการณ์ และไม่คิดว่าจะมีการสั่งฆ่าจริง ได้ถูกปิดล้อมด้วยลูกเสือชาวบ้านจำนวนมาก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยเหตุผลข้ออ้างที่ว่าหมิ่นสถาบัน ด้วยรูปภาพบิดเบือนตกแต่ง จากสำนักข่าวแห่งหนี่ง ประสานเสียงด้วยสถานีวิทยุ โทรทัศน์ต่างๆ จนในที่สุดก็ถูกปิดล้อม และปราบปรามในที่สุด
สำหรับในครั้งนี้ การโฆษณาชวนเชื่อ การใส่ร้ายป้ายสี การดึงเอาสถาบันมาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ได้ทำมาก่อนล่วงหน้านานมากเกินไป จนคนธรรมดาๆ เดินดินที่ฉลาดหน่อยก็จะหาข้อมูลเองจากสื่อทางเลือกจนทราบว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนคนที่ไม่สนใจการเมืองดูแต่ข่าวจากสื่อหลัก ก็จะเฉยๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะได้รับการโฆษณาชวนเชื่อจนล้น และกลายเป็นไม่เชื่อ หรือเชื่อแบบไม่ใส่ใจมากถือว่าธุระไม่ใช่
เมื่อได้ข้อสรุปว่า ฝ่ายเผด็จการที่เกาะกันเป็นกลุ่มนั้นเกรงว่า ผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับจากการทำนาบนหลังประชาชนมายาวนานนั้นจะหมดสิ้นไป การสั่งปราบให้สิ้นซาก ในทำนองมาหมื่นตายหมื่น มาแสนตายแสนจึงเกิดขึ้น ดังนั้นจึงสมควรที่จะมาพิจารณาว่า ทหาร และ พันธมิตร ซึ่งมีทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านติดอาวุธนั้น จะมีโอกาสชนะหรือไม่อย่างไร
ประการแรก ฝ่ายประชาชนมีบทเรียนแล้วว่า ทหารไม่ได้มาอย่างมิตรเหมือนที่เคยเข้าใจ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว สงสัยหรือไม่ว่า ทำไมทุกคนยังลุกขึ้นสู้อย่างไม่เกรงกลัว และกลับมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ ทั้งยังได้มีการปรับตัวเป็นระบบมวลชนเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่คนไปฟังปราศรัยอย่างแต่ก่อน ซึ่งมวลชนนี้หากจัดตั้งได้ดีพอ ก็จะสามารถโค่นล้มกองทัพได้ทุกแห่ง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตาม และที่สำคัญคือ ประชาชนรู้ทั้งรู้ว่าทหารมาฆ่าแน่ ใครจะยอมให้ฆ่าได้ง่ายๆเหมือนเดิมอีก นี่คือสิ่งที่ควรจะสำนึกได้
ประการที่สอง ทหาร ตำรวจ เองที่ถูกความอยุติธรรม กลั่นแกล้งรังแก ย่อมมีจำนวนมากกว่าทหารที่เป็นสายของเผด็จการอย่างแน่นอน เมื่อประชาชนสู้แล้ว เขาพวกนี้จะเข้าข้างใคร สิ่งนี้ก็ควรทำไปคิดเป็นเรื่องที่สอง
ประการที่สาม ทหารที่ส่งมาแน่ใจแล้วหรือว่าจะได้กลับบ้าน ขอยกเอาทหารจำนวนมากมายที่ไปอารักขา การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ก็แล้วกัน มีทั้งทหาร ตำรวจ อาสา ทั้งหมด 18,000 คน เท่านั้น
ถ้าเกิดฉุกเฉินจะให้ทหารจากส่วนอื่นๆยกเข้ามาช่วยส่วนกลาง แน่ใจหรือว่าพม่าและเขมร จะไม่ฉวยโอกาสจัดการตลบหลัง ในเมื่อไปทำกับเขาไว้ขนาดนั้น และคราวนี้มีการเตรียมทหารตำรวจมา 50,000 คนนี้ มีกี่คนที่ได้ผลประโยชน์จากเผด็จการอำมาตย์โดยตรง ส่วนมากก็เป็นลูกชาวบ้าน หลานชาวนา ทั้งนั้น ไม่ใช่ทหารรับจ้าง ดังนั้นจะไว้ใจได้หรือ
สมมติอีกว่า ไว้ใจได้ทั้งหมด ก็คงมีตำรวจ และ อส. ที่ไม่ยอมใช้อาวุธบางส่วนออกไป เหลือทหารจริงๆที่เป็นกำลังหลักสักกี่คน ที่จะทำตามคำสั่งของเผด็จการอำมาตย์ กับฝ่ายพันธมิตรที่มีทหารปลอมตัวกับแก๊งค์ศรีวิชัยเท่านั้น
หากสมมติว่า ฝ่ายประชาชน หาคนมาไม่ได้ มีเพียง 120,000 คน ถ้าแยกกันชุมนุมเพื่อป้องกันการปิดล้อม เป็นสองกลุ่มๆละ 60,000 คน ไม่รวมกองหนุน และคนเสื้อแดงที่ติดตามสถานการณ์พร้อมมาช่วยอีก ตีเสียว่าอีก 1 ต่อ 1 คือ อีก 120,000 คอยติดตามข่าว และจัดกำลังไว้เป็นกลุ่มๆแบบมวลชนจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว คอยซุ่มอยู่บ้านใครบ้านมัน หมู่บ้านใครหมู่บ้านมัน และติดต่อกับแกนนำได้ตลอดเวลา
ทีนี้กลับมาที่กลุ่มชุมนุม กลุ่มละ 60,000 คนดังกล่าว ถ้าไม่ชุมนุมพร้อมกัน แบ่งเป็นสองผลัด ให้เหลือแค่ 30,000 คนในแต่ละที่ ที่เหลือคอยผลัดเปลี่ยนออกมาช่วยเมื่อเกิดเหตุ ถ้าทหารและพันธมิตรที่ติดอาวุธจะมาล้อมปราบ ยังไง ก็ต้องคิดใหม่ เพราะสงกรานต์ที่เห็นว่าหมูๆนั้น เพราะมีคนอยู่ประมาณ 6,000 คนเท่านั้น ทหารใช้กำลังสองกองพล อีกหนึ่งกองพลหนุน รวมทั้งหมด 15,000 คน
ลองนึกภาพใหม่ว่า มีคนที่ถูกปิดล้อมสงกรานต์นั้น เพิ่มอีก อย่างน้อย 5 เท่า เขาไม่อยู่นิ่งให้ล้อม เขาวิ่งไป วิ่งมา คอยเข้าด้านข้างบ้าง ด้านหลังบ้างของชุดปิดล้อม เพราะแยกกันชุมนุม และเคลื่อนไหวกลุ่มกระจายกันไป โดยรอบทำให้ทำอย่างไรก็ปิดล้อมไม่ได้ต้องสร้าง บังเกอร์
เมื่อสร้างบังเกอร์ ก็เท่ากับปิดขังตัวเองด้วย ประชาชนก็จะนำรถ นำเครื่องกีดขวางมาปิดทางถอยของทหารไว้ นักรบศรีวิชัยหรือ ทหารปลอมตัวมาแบบว่า ทำให้ดูดีว่า ประชาชนตีกันแล้วทหารมาช่วยแยกฝ่าย แต่ที่จริงมาช่วยให้ทหารปลอมฆ่าได้สะดวกนั้น ก็จะมีสภาพไม่ต่างจากทหาร คือถูกปิดประตูตีแมวเหมือนกัน
ลองคำนวณจำนวนคนของทหาร ถ้าแยกออกไปปิดล้อมคนชุมนุมชุดแรก 30,000 คนที่มีกองหนุนคอยจะมาช่วยอีก 30,000 คน เมื่อต้องส่งคน 5,000 คนไปปิดล้อมนั้น จะไม่สามารถใช้วิธีวิ่งเข้าไปยิงได้ เพราะจะตกเป็นเป้าการถ่ายทอดสดไปต่างประเทศ
ดังนั้น จะปิดล้อมเพื่อให้ตัดการสื่อสาร แล้วให้พวกพันธมิตรเข้าไปตีเท่านั้น จากนั้น จึงเข้าไปยิงซ้ำทำทีว่ามีการชุลมุน แผนก็มีอยู่เท่านี้ไม่สามารถพลิกไปอย่างอื่นได้
แต่ว่าในครั้งนี้ คน 5,000 คนปิดล้อมได้อย่างมากชั้นเดียว ประชาชนอีก 30,000 คนก็จะกรูกันมาด้านข้าง ด้านหลัง คอยทีเมื่อมีเหตุการณ์ จะไม่ขอให้ทหารเปิดทางเพื่อไปช่วยเพื่อน แต่จะเป็นการใช้สหบาทากับทหารนั้นเอง เพราะเชื่อแล้วว่า ทหารไม่ได้อยู่ข้างประชาชนอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันประชาชนที่อยู่ในวงล้อม ก็จะทราบว่ามีเพื่อนอยู่ด้านนอก ก็จะทลายออกมาฝ่าแนวกระสุนของฝ่ายพันธมิตร เข้าหาตัวคนยิงอย่างไม่คิดชีวิตแน่ ฝ่ายพันธมิตรเองก็หลังติดทหาร ทหารเองก็ถูกตีจากด้านข้าง ด้านหลัง ระส่ำระสายได้แต่รอคอยความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาถึงเท่านั้น
ส่วนกองหนุนอีก 5,000 คนนั้นหมดหวังเสียแล้ว เพราะเมื่อเกิดเรื่องจริง ประชาชนอีก 120,000 คนที่คอยอยู่รอบนอก ก็คงทะลักเข้ามาเห็นสีเขียว สีเหลือง สีชมพูที่ไหน ก็คงไม่มีการละเว้น
การลุกขึ้นสู้นี้ ให้ทหารทั้งกองทัพก็ไม่สามารถสู้ได้ เพราะทหารไทย จะสู้ได้เฉพาะคนไม่มีอาวุธเท่านั้น ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดๆจากกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาพจำลองเหตุการณ์นี้ ต้องการที่จะเตือนล่วงหน้าให้ทหารที่จะเข้ามาปิดล้อมประชาชนนั้น ขอให้รีบทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้า หัวหน้าหน่วยงานทหารขอให้สงเคราะห์บอกกล่าวให้ลูกน้องในสังกัดตัวเองได้เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม เพราะครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเห็นหน้ากันแล้ว เพราะการจลาจลเช่นนี้มักจบลงด้วยโศกนาฏกรรมของทหาร คงจำทหารรักษาพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้ที่ถูกแม่ค้าขายหมูที่บุกเข้าไปในวังตัดคอเอาเสียบกับปลายหอกเดินไปทั่วกรุงปรารีสหลายร้อยคน ก่อนจะมีการตัดสินประหารชีวิตทหารที่เหลือทั้งหมดในเวลาต่อมา ในประเทศไทยคงต้องผ่านเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนในหลายๆประเทศก่อน ความเจริญจึงจะเกิดขึ้นได้
ประการที่สี่ เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วฝ่ายเผด็จการมักจะฉวยโอกาสที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบก็ตามสร้างสถานการณ์ให้เกิดการยุติปัญหาลงชั่วคราว แล้วในที่สุดฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับเครือข่ายระบบอำมาตย์ก็จะพ่ายแพ้ไปทั้งๆที่ได้ชัยชนะ เช่น กรณีของรัฐบาล พลเอกสุจินดาฯ เป็นต้น หรือแม้แต่กรณี จอมพลถนอมฯ ก็ตาม
จึงขอเตีอนไว้ด้วยความหวังดีว่า อย่าดึงฟ้าต่ำเป็นอันขาด เพราะตัวปัญหาคืออำมาตย์ที่ใกล้ชิดสถาบันนั้นเอง สมควรที่จะสู้ตรงไปตรงมากับประชาชนดีกว่าที่จะคิดเอาตัวรอดหรือพลิกสถานการณ์อย่างที่เคยเป็นมา เพราะครั้งนี้ผลคงไม่จบอย่างที่เคยเพราะประชาชนรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ความเสียหายจะเกิดมากกว่าที่คิด
ประการที่ห้า การสร้างสถานการณ์ลอยๆ แล้วทำเป็นรัฐประหารรัฐบาลคนกันเอง(สมัย ควงฯ ก็อีหรอบเดียวกัน) เพื่อหาคนกลาง ขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานเพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้เรียกร้องต่อ เพื่อว่าจะได้มีเวลาตามล่า ดร.ทักษิณฯ ต่อไปนั้น ขอร้องว่าอย่าทำเลย เพราะผลเสียหายจะตามมาเช่นกัน แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเปิดโอกาสให้มีการยึดอำนาจได้ก็ตาม แต่ว่าอย่าลืมว่าเป็นการให้ไว้กับ คมช. ไม่ใช่กลุ่มใหม่ ถ้าดำเนินการโดยคนกลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่คณะรัฐประหารสมัย คปค. หรือ คมช.
ต้องคิดให้ดีว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้หรือไม่ และ รัฐบาลพลัดถิ่นโดย ดร.ทักษิณฯ จะเกิดหรือไม่ ประชาชนถ้าไม่ฟังล่ะ เดินหน้าลุกฮือเกิดการจลาจลล่ะ เพราะประชาชนรู้อยู่แล้วว่าต้องปะทะกับทหาร เขาคงไม่รอไปอีกรอบ คงจะซัดกับทหารที่ยึดอำนาจนั้นเองเพราะเต็มไม้เต็มมือ ดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยแอบแฝงแบบปัจจุบันเสียอีก
แล้วจะทำอย่างไรเมื่อไม่มีแผ่นดินอยู่แน่นอน
ประการที่หก แม้ไม่ทำอะไรเลย ประชาชนก็จะหูตาสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าแพ้หรือชนะในรอบนี้ ฝ่ายอำมาตย์บาดเจ็บสาหัสแน่นอน เพราะผู้คนจะรู้กันไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดว่า ใครทำร้ายประเทศไทย ใครทำร้ายคนไทย ผลประโยชน์ของใครผูกขาด ขูดรีดประชาชนตลอดมา แม้ว่าอาจจะคิดหาทางออกแบบง่ายๆ เช่นลาออก หรือตัดใจเป็นลมตายไป ทายาทของระบอบอำมาตย์ก็ยังมีอยู่ การเดินหน้าให้ความจริง ให้ความรู้ความเลวร้ายของระบอบนี้ก็จะยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรายล้อมอยู่รอบๆตัวของเหล่าอำมาตย์ ความเกลียดชังจะทวีมากยิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหมด นอกเสียจากประชาชนจะให้อภัย
ประชาชนจะให้อภัยต่อเหล่าอำมาตย์ด้วยว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ไม่อาฆาต พยาบาท จองเวรเหมือนเหล่าอำมาตย์ที่นับถือลัทธิพราหมณ์ ฮินดู ก็ต่อเมื่อ ได้คืนรัฐธรรมนูญปี 40 พร้อมการแก้ไขสาระสำคัญ 4 ประการคือ
ประการแรก ให้นำธรรมนูญการปกครองสยาม 2475 ฉบับชั่วคราวที่กล่าวถึงอำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลายมาใช้แทนปัจจุบัน ที่แม้จะบอกว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยมาตั้งแต่ รธน. 40 แต่ก็ยังเพิ่มเติมให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ฯ ซึ่งไม่ใช่ประเพณีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำให้เกิดกระบวนการแอบอ้างพระราชอำนาจให้วุ่นวายมาจนถึงปัจจุบัน และเกิดการยึดอำนาจไม่หยุดหย่อนก็ด้วยเหตุนี้
ประการที่สอง ปัญหาของประเทศไทยเกิดจาก การมีคณะอภิรัฐมนตรีซึ่งแปลงร่างเป็น องคมนตรี ตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 และเป็นปัญหาให้เกิดการใช้อำนาจนอกระบบและการรัฐประหารต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เมื่อพบว่ากลไกนี้มีปัญหา ไม่ใช่เรื่องของบุคคลอย่างแน่นอน ก็สมควรที่จะยกเลิกคณะองคมนตรีเสียทั้งหมด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาของประเทศไทยจะยุติลงอย่างถาวร และในความเป็นจริงนั้น องค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะขอคำปรึกษาจากใครก็ได้อยู่แล้ว และในทางสากลนั้น คณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา และ เป็นผู้ลงนามร่วมเพื่อป้องกันมิให้องค์พระมหากษัตริย์ถูกกล่าวโทษ การนี้ ได้มีการกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ ธรรมนูญ ฯ 2475 ฉบับชั่วคราว ซึ่งหากดำรงไว้ ปัญหาของประเทศไทยก็จะไม่เกิดขึ้น ทำให้ล้าหลังมาจนปัจจุบันนี้
ประการที่สาม ยกเลิกวุฒิสมาชิกที่มีอำนาจในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ เนื่องจากมีฐานที่มาจากพรรคการเมือง เนื่องจากมีการเลือกตั้งระดับจังหวัด รวมทั้งยกเลิกองค์กรอิสระและให้กลไกรัฐ และ รัฐสภาที่มีผู้แทนราษฎรเท่านั้น เป็นผู้ตรวจสอบกันเอง ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
หรือ หากจะยังให้มีวุฒิสภาและองค์กรอิสระแบบเดิม สมาชิกวุฒิสภา ควรมาจากกลุ่มอาชีพ และแยกย่อยให้มาก เช่นกลุ่มเกษตรกร ก็แยกเป็นกลุ่มชาวนา กลุ่มชาวนาแยกเป็นชาวนาเขตชลประทาน นอกเขตชลประทานเป็นต้น และให้ประธานกลุ่ม หรือ นายกสมาคมกลุ่มต่างๆ เป็นวุฒิสมาชิกโดยตำแหน่ง
และเนื่องจากมีจำนวนมากก็ให้จัดเป็นการประชุมแบบสมัชชาประชาชน หรือ กลุ่มอาชีพแล้วให้ตัวแทนเป็นคณะกรรมการทำงานไป ก็จะทำให้มีการถ่วงดุลกับฝ่ายผู้แทนราษฎร และ เป็นตัวแทนของประชาชนได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อเป็นผู้แทนที่ชัดเจน
การออกกฎหมาย ก็ควรออกในรูปของสภาคู่ คือเป็นความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองสภา ไม่ใช่สภากลั่นกรองอีกต่อไป จะทำให้ตัวแทนของประชาชนในอีกมุมมองหนึ่งมีอำนาจมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้ว การไม่มีวุฒิสภาเลยจะดีกว่า
ประการที่สี่ ยกเลิกองค์กรอิสระ ที่ คมช แต่งตั้งทั้งหมด แล้วให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากภายนอกเป็นคณะกรรมการพิเศษ ไม่ต้องมาจากศาลเช่นเดิม แต่ให้เป็นผู้มีความชำนาญในการจัดการเลือกตั้งให้สะอาด บริสุทธิ์ หากไม่สามารถหาได้ ขอให้นำคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุดแรกที่ได้แสดงความสามารถในการจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพมาแล้วครั้งหนึ่งมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติในครั้งนี้
การยอมให้กับประชาชนเพียงเรื่องเล็กๆ สาม สี่เรื่องเท่านี้ น่าจะทำให้เกิดความสงบสุขในสังคมไทย และความเจริญก้าวหน้าได้อย่างมาก กลุ่มคนที่จะตามล่า ดร.ทักษิณฯ ก็จะหมดอำนาจที่จะแอบอิง องค์กรและพระราชอำนาจ ทำให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันระหว่างเหล่าอำมาตย์และประชาชน ซึ่งจะไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นอีกต่อไป
แต่ถ้ายังคิดร้ายและอาฆาตพยาบาท ไม่เลิกรา ประชาชนก็พร้อมแล้ว สำหรับในครั้งนี้ขอให้กล้าๆหน่อย ยินดีต้อนรับ
*************