ที่มา มติชน
สัมภาษณ์พิเศษโดย สุเมศ ทองพันธ์ พนัสชัย คงศิริขันธ์
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เขียนบันทึกเปิดใจลงเว็บไซต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยใช้ชื่อว่า "จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ" มาแล้ว 2 ตอน
เนื้อหาครบถ้วน ตั้งแต่เริ่มตั้ง "รัฐบาล ปชป." ปลายปี 2551 ไปจนถึงการบริหารประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี
เคลียร์ทุกข้อครหาคาใจ!
แต่ ประเด็นที่น่าสนใจคือ "เบื้องลึก" ของขบวนการ "สลับขั้วการเมือง" ที่เกี่ยวโยงกับ "คดียุบพรรคพลังประชาชน (พปช.)" จนเป็นที่มาของโอกาสการแย่งชิงจัดตั้งของ "รัฐบาลเทพประทาน" จนสำเร็จในที่สุด
"อภิสิทธิ์" ระบุในเฟซบุ๊กว่า พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน "ส.ส.คนหนึ่ง" เพื่อขอพบ จึงนัดพบกันที่ร้านอาหารใกล้ ปชป. ซึ่ง "พสิษฐ์" แจ้งว่า พปช.จะถูกยุบ มาเล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับ ปชป.
เป็น "พสิษฐ์" ซึ่งเป็นคนคนเดียวกับ "มือปล่อยคลิปลับ" ในช่วงที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" กำลังพิจารณาคดียุบ ปชป.
เป็น "พสิษฐ์" ที่ออก มาแฉแหลกวงการ "ยุติธรรม" กลางเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยเล่านิทานเรื่อง "สนามฟุตบอล" ที่ "ผู้จัดการสนาม" เข้ามากำกับ "หัวหน้ากรรมการ" และใช้ "มือวิเศษ-เท้าวิเศษ" กำหนด "เกมการแข่งขัน"
จากบรรทัดนี้ เป็นอีกฉาก-อีกมุมจาก "พสิษฐ์" ที่บอกกับ "มติชน" ซึ่งเขาออกตัวว่าความจริงไม่อยากพูดถึงเรื่องดังกล่าว เพราะรู้สึก "เหนื่อย" และต้องการ "หยุด" แล้ว แต่ถูกกระตุกให้ออกมา
"ผม ไม่พร้อมที่จะเป็นสตั๊นต์ (นักแสดงแทน) ให้ใครอีก เจ็บตัวแทนคนอื่นมาตลอด วันนี้ไม่อยากที่จะเจ็บตัวอีก จึงอยากขอให้ผู้แสดงจริงทั้งหลาย เล่นเอง เจ็บเองบ้าง แต่ในเมื่อท่าน (นายอภิสิทธิ์) เขียนลงเฟซบุ๊กว่าเคยพบกับผม ถ้าผมจะบอกว่าไม่เคยพบคงไม่ได้"
"พสิษฐ์" ทวนเข็มนาฬิกา-ย้อนเวลากลับไปในวันเกิดเหตุ โดยยืนยันว่า "ผมไม่ได้เป็นคนที่ติดต่อขอพบท่านผู้นำฝ่ายค้าน และทราบล่วงหน้าว่าผมต้องไปพบท่านไม่ถึงชั่วโมงครับ... คำสั่งเพิ่งมา ผมเตรียมตัวยังแทบไม่ทันเลย ผมทราบเพียงแค่ว่าผมต้องไปพบ ส่วนพบที่ไหน ใครเป็นคนติดต่อกับใคร ผมไม่ทราบ"
ใครจะสั่งให้ท่านไปพบผู้นำฝ่ายค้านได้ ในเมื่อ "ผู้บังคับบัญชา" เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญมีเพียงคนเดียว?
"พสิษฐ์" หัวเราะร่วนก่อนขอเปลี่ยนคำถามใหม่
ในวันนั้น "พสิษฐ์" มีคนไปด้วยอีก 1 คน
ฟาก "ผู้นำ" ก็มาพร้อมกับ "ส.ส." อีกคนหนึ่ง ซึ่งในเฟซบุ๊ก "อภิสิทธิ์" ระบุว่าคือ "มือดีล" นั่นเอง
"ประเด็น คือพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เป็นใคร ทำไมผู้นำฝ่ายค้านต้องพบ ไม่พบได้ไหม ผมมีประโยชน์อะไรหรือ ที่ท่านเขียนในบันทึกว่าผมไปบอกท่านอย่างนั้นอย่างนี้ มันอาจจะเป็นการรวบยอดทางความคิด ก็เป็นสิทธิของท่าน แต่คนคุยกันเป็นชั่วโมง คงไม่ได้มีแค่ 2-3 ประโยค วันนั้นผมบันทึกและจำได้อย่างชัดเจน"
พสิษฐ์ : ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ถ้าศาลได้ลงเอาไว้แล้ว(คดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช) ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น มันก็อาจจะเป็นประโยชน์กับ ปชป.มั้ง
อภิสิทธิ์ : โอ้...ถ้าเป็นแค่พรรคเดียว มันก็อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะไม่มีผลใดๆ พรรคร่วมก็อาจจะไปจับมือกับทางขั้วเดิม
พสิษฐ์ : เอาล่ะ ผมเข้าใจประเด็นละ แล้วผมก็จะนำความนี้กลับไปสื่อสาร...
ถือเป็นอันหมดหน้าที่ของเขา!
"ถ้า ถามว่าผมจะรู้ผลของคดีที่จะเกิดขึ้นเลยหรือ ขอโทษเถอะครับ ผมไม่ใช่ตัวตุลาการ ผมไม่ใช่องค์คณะ ที่สำคัญกว่านั้นคือผมไม่มีอำนาจ เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะทราบก่อน การประชุมของตุลาการเรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ เป็นการประชุมลับ ข้าราชการต้องออกทั้งหมดนะครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าท่านจะจุดประเด็นนี้ขึ้นมาอีกทำไม ทั้งๆ ที่มันผ่านมาแล้ว ก็ควรให้ผ่านไป หลังจากนี้ ถ้าท่านอยากพูดอะไร ก็ให้ท่านพูดมาเถอะ แต่ถ้าท่านพูดต่อเรื่อยๆ ผมก็จะฟังเรื่อยๆ ถ้าประเด็นไหนผมสนใจ ผมก็จะพูดบ้าง หรือผมอาจจะให้ได้เห็นอะไรบางอย่างชัดๆ ไปเลยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอะไรกันแน่" เขากล่าวแกมขู่
จากนั้น "พสิษฐ์" ได้พูดถึง "ความยุติธรรม" ที่เขาเคยยืนอยู่ทั้งใน "ฝ่ายเดียวกัน" และ "ฝ่ายตรงข้าม"
"ผม ว่าความยุติธรรมวันนี้ มันตอบคำถามประชาชนได้หรือไม่ ประชาชนเองรู้ดี ในวันนี้ที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ผมอ่านจากข่าว... ประเด็นนี้ผมเน้นเลยนะ "ผมอ่านจากข่าว" มีการเตรียมการกันต่างๆ นานา เหมือนล็อคว่าใครจะมา ผมก็อยากขอร้องว่าอย่าใช้ "บันได 4 ขั้น 5 ขั้น" หรืออย่าใช้ "บันไดเลื่อน" หรืออย่าใช้ "ลิฟต์" กดขึ้นไปเลย ให้มันเป็นไปตามครรลอง แต่ก่อนต้องเดินกันเหนื่อยขึ้นบันไดกัน ไม่นานที่ผ่านมาพัฒนากันเป็นบันไดเลื่อน ถ้าวันนี้เลือกตั้งแล้วเกิดเป็นตามข่าวที่ออกมากัน ผมว่าอันนี้มันกำลังขึ้นลิฟต์นะ ต้องระวัง!"
ระวังเกิดเหตุ "ไฟดับ" แล้วทำให้ "ลิฟต์ค้าง" หรือ???
"ผมกลัว "สะลิงลิฟต์" ขาดนะสิ" เขาตอบสวนทันควัน และว่า "แต่ผมภาวนาว่าอย่าให้เกิดเลย ใครอยู่ในลิฟต์บ้าง ก็รู้กันอยู่แล้วว่ามีใครบ้าง"
เขา บอกว่าวันนี้ประชาชนมีศักยภาพสูงนะครับ อย่าไปดูถูก เพราะแต่ละคนรู้ทั้งสิ้น เห็นทั้งสิ้น เข้าใจทั้งสิ้น ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็มั่นใจว่าประเทศไทยจะกลับมาอยู่ในภาวะสงบ
"แล้วขอฝากไปถึงคนที่คอยแต่จะ "ตัดสะลิงลิฟต์" ด้วยว่าอย่าตัดอีกเลย ตัดทุกครั้ง ถอยหลังทุกครั้ง"
ถือเป็นอีกครั้งที่ "พสิษฐ์" ทิ้งคำอุปมาอุปไมยเขย่าขวัญคนในวังวนอำนาจ!!!
(มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 )
Mr.Unlimit names
"ไป สอบประวัติผมดูว่าผมเคยเป็นหนี้ใคร ไม่เคย บ้านผมก็มีฐานะพอสมควร ผมทำงานไม่เคยคดโกงใคร ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องซื้อผมเลย พูดตรงๆ ตอนอายุ 25 ปี ผมมีรถเบนซ์ขับแล้ว ที่สำคัญผมเดินไปขอเงินพ่อผมได้ถ้าอยากได้รถ ดังนั้นไม่ต้องมาซื้อผม ยิ่งซื้อ ผมยิ่งไม่ไป ใครจะว่าบ้าก็เอา"
คือคำตอบโต้ข้อครหา "หนีหนี้" หรือ "หนีคดี" ของ "พสิษฐ์ ศักดาณรงค์" หรือ "ปอย" บุคคลที่ผ่านการ "เปลี่ยนชื่อ" มาถึง 6 ครั้ง
จาก "ชื่อแรก" คือ "กษมศักดิ์ชนะ" เปลี่ยนเป็นชื่อที่ 2 "ชนะ" เปลี่ยนครั้งที่ 3 กลับมาใช้ชื่อเดิม "กษมศักดิ์ชนะ"
พอ เปลี่ยนชื่อครั้งที่ 4 เป็นชื่อ "พสิษฐ์" แปลว่า ดีเลิศ, มั่งมีดีเลิศ เปลี่ยนครั้งที่ 5 เป็นชื่อ "กันตินันท์" แปลว่า ผู้ยินดีในความรัก
และล่าสุดกลับไปใช้ชื่อ "พสิษฐ์" อีกครั้ง
"ชาย มากนาม" แจง "เหตุ" ที่ต้องเปลี่ยนชื่อหลายครั้งว่า เนื่องจาก "พระเกจิชื่อดัง" ที่เพิ่งมรณภาพไปไม่นาน เป็นผู้ตั้งชื่อให้ เพราะตรวจดูดวงชะตาราศีของ "ปอย" แล้วเห็นว่าหากฤกษ์ยามช่วงเวลาใดที่ดวงชะตากำลังไม่ดี จะต้องใช้ชื่อที่พระเกจิตั้งให้เพื่อเสริมดวงชะตา
"หลังจากนี้อีกประมาณปีครึ่ง ผมต้องวนกลับไปใช้ชื่อแรก (กษมศักดิ์ชนะ) ประมาณครึ่งปี แล้วถึงจะกลับมาใช้ชื่อพสิษฐ์อีกครั้ง"
นอก จากตัวของ "พสิษฐ์" แล้ว อดีตนายเก่านาม "ชัช ชลวร" ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยเปลี่ยนชื่อจากนามเดิมว่า "วิจิตร งามทวีสุข" ในสมัยศึกษาอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นปี 2511
หรือแม้แต่ "บิดา" ของ "พสิษฐ์" ก็เคยทิ้ง "ชื่อเก่า" แล้วมาใช้ชื่อ "พ.ต.อ.โฆษิต ศักดาณรงค์" ที่พระเกจิคนดังเป็นผู้ตั้งให้
"ถามสักคำได้ไหมว่าผมผิดตรงไหนในการเปลี่ยนชื่อ" "ปอย" กระซิบเบาๆ พลางหัวเราะทิ้งท้าย ก่อนมีชื่อที่ 7 และ 8 ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้
(ล้อมกรอบ)