ที่มา มติชน
วอชิงตัน โพสต์ รายงานเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ว่า รายงานข่าวกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกยื่นฟ้องเบิกความเท็จคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า อาจทำให้การเมืองไทยวุ่นวายอีกครั้ง โดยขณะนี้ นางยิ่งลักษณ์ กำลังมีคะแนนนิยมนำในการแข่งขันเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนใหม่ แต่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ขัดขวางไม่ให้นักธุรกิจหญิงวัย 43 ปี รายนี้ เป็นนายกฯคนใหม่ของไทย อาจสร้างความไร้เสถียรภาพทางการเมืองให้กับเมืองไทยอีกรอบหนึ่ง
รายงาน ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทต่อ นายนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบน.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีให้การเท็จในชั้นศาลในคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเธอให้การว่า ได้ซื้อหุ้นมูลค่า 20 ล้านบาทจากกิจการชินคอร์ป โดยศาลไม่ได้พูดถึงถึงคำให้การของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นพิเศษ หรือกรณีการครอบครองหุ้นของเธอ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ระบุว่า การต่อสู้ทางกฎหมายของนางยิ่งลักษณ์ต่อกรณีฟ้องร้องดังกล่าว อาจเพิ่มความวิตกให้แก่นักลงทุน ซึ่งขณะนี้กำลังวิตกกังวลกับสถานการณ์การเมืองไทยที่อาจเกิดการประท้วงใหญ่ หรือการปฎิวัติรัฐประหารระลอกใหม่ ภายหลังการเลือกตั้ง
โดยนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เปิดเผยว่า เมือง ไทยกำลังกลับไปสู่การต่อสู้เดิมๆ ระหว่างกลุ่มต่อต้านและกลุ่มสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ และการยื่นฟ้องดังกล่าวน่าจะเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้ สนับสนุนทักษิณได้ขึ้นสู่อำนาจอีก
รายงาน ระบุว่า กลุ่มผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ และคนไทยจำนวนมาก เชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมไทย ถูกใช้ประโยชน์ด้านการเมือง และนักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเชื่อดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการเมืองขึ้นในเมืองไทย โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำนวนเรือนหมื่น ได้ชุมนุมบนท้องถนนในกรุงเทพ เพื่อเรียกร้องให้กองทัพและกระบวนการยุติธรรมไทยยุติการแทรกแซงทางการเมือง
วอชิงตัน โพสต์ ระบุด้วยว่า จากโพลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ ชึ้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังมีคะแนนนิยมนำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในหลายส่วนของประเทศไทยไทย อย่างไรก็ตาม ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ถือว่าสูสีมากและนักวิเคราะห์มองว่า ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ไม่น่าที่จะได้คะแนนเด็ดขาดในการเป็นรัฐบาลเดี่ยว และจะต้องพึ่งพาพรรคขนาดเล็กมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล