WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, July 1, 2011

‘ทักษิณ’ กับ ‘อภิสิทธิ์’ ในการเผชิญปัญหา ‘ความชอบธรรม’

ที่มา ประชาไท

ความ ชอบธรรมทางการเมือง อาจมองจาก 2 ส่วนหลักๆ คือ 1) ความชอบธรรมตามกติกา 2) ความชอบธรรมตามมโนธรรมทางสังคม หรือความรู้สึกของสังคม การยอมรับของประชาชน

น่าสนใจว่า หากเราลองเปรียบเทียบวิธีการเผชิญปัญหาความชอบธรรม ระหว่างคุณทักษิณและคุณอภิสิทธิ์ช่วงกึ่งทศวรรษมานี้ เราจะเห็นอะไรบ้าง ขอยกตัวอย่างกรณีต่อไปนี้

กรณีที่ 1: การเผชิญ ปัญหาความชอบธรรมเรื่อง “ขายหุ้นไม่เสียภาษี” คุณทักษิณอ้าง “ความชอบธรรมตามกติกา” ว่า ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะตามกฎหมายการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่ในสถานการณ์เวลานั้นกระแสสังคมไม่พอใจคุณทักษิณสูงมาก ฉะนั้น แม้คุณทักษิณจะมีความชอบธรรมในแง่กติกา แต่ในแง่ “มโนธรรมทางสังคม” หรือความรู้สึกของประชาชนดูเหมือนคุณทักษิณจะสูญเสียความชอบธรรมไปมาก

แต่ ข้อสังเกตคือ เมื่อคุณทักษิณรู้ตัวว่า ตนเองสูญเสียความชอบธรรมในแง่มโนธรรมทางสังคมไปมาก และต้องเผชิญกับการกดดันของพันธมิตร การขอเสียงสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทยเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยประชาธิ ปัตย์ คุณทักษิณก็ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน

การ ตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่ มีความชอบธรรมในสองความหมายคือ 1) เป็นการเดินตามกติกาประชาธิปไตย 2) เคารพต่อมโนธรรมทางสังคม โดยคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน

แต่ในกรณีดังกล่าวนี้ คุณอภิสิทธิ์ขอเสียงสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทยเพื่อเปิดอภิปรายคุณทักษิณ เมื่อไม่ได้ และคุณทักษิณยุบสภา คุณอภิสิทธิ์กลับบอยคอตการเลือกตั้งและชวนพรรคการเมืองอื่นๆ บอยคอตการเลือกตั้งด้วย ความชอบธรรมของคุณอภิสิทธิ์ในกรณีนี้คือ 1) ไม่ผิดกติกา 2) มีกระแสสนับสนุนจากประชาชนจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจการกระทำนั้น อย่างน้อยก็คือประชาชนจำนวนมากที่เลือกพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง 2 เมษา 49

แต่หากพิจารณาเหตุผลของคุณอภิสิทธิ์ตอนนั้นที่ว่า คุณทักษิณยุบสภาเพราะเห็นว่าตนเองได้เปรียบ ถ้าเลือกตั้งตนตองชนะแน่ๆ เหตุผลเช่นนี้จึงเป็นเหตุผลเพื่อผลประโยชน์ของตนเองไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ ของชาติ เราก็ย้อนถามคุณอภิสิทธิ์ได้เช่นกันว่า ที่คุณอภิสิทธิ์รู้ว่าตนเองเสียเปรียบ ลงเลือกตั้งต้องแพ้แน่ๆ จึงบอยคอตการเลือกตั้ง เหตุผลเช่นนี้เป็นเหตุผลเพื่อประเทศชาติอย่างไร

ฉะนั้น ตรรกะทำนองนี้มันฟ้องถึงภาวะผู้นำในการตัดสินใจแก้ปัญหาของคุณอภิสิทธิ์ อย่างชัดเจน และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญสืบเนื่องจากการตัดสิน ใจบอยคอตการเลือกตั้ง ก็คือรัฐประหาร 19 กันยา 49 จนถึงการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 มันสะท้อนว่าคุณอภิสิทธิ์ตัดสินใจไม่ตรงไปตรงมา และผิดพลาด เพราะขาด “สปิริตประชาธิปไตย”

กรณีที่ 2 : เมื่อการเลือกตั้ง 2 เมษา 49 เป็นโมฆะ และคุณทักษิณถูกกดดันจากพันธมิตร อำมาตย์ และพรรคการเมืองที่บอยคอตการเลือกตั้ง รวมทั้งกระแสความไม่พอใจของสื่อ นักวิชาการ ปัญญาชน คุณทักษิณตัดสินใจขอใช้กติกาประชาธิปไตยด้วยการให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ราวกลางเดือนตุลาคม 49 พร้อมกับแสดงออกถึงการเคารพต่อมโนธรรมทางสังคมด้วยการ “ถอยหนึ่งก้าว” โดยประกาศจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ หากพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง

แต่คุณ อภิสิทธิ์กลับใช้ภาวะผู้นำตัดสินใจเผชิญปัญหานี้ด้วยการเสนอ “นายกฯ พระราชทานตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7” ซึ่งเป็นการเดินตามเกมของพันธมิตร จนเป็นที่มาของฉายา “มาร์ค ม.7” อันมีความหมายเป็น “ตัวตลก” ทางการเมืองในเวทีประชาธิปไตย

กรณีที่ 3 : เมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยา จนมาถึงคุณทักษิณถูกตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาในข้อหา “เซ็นชื่อยินยอมให้เมียซื้อที่ดิน” คุณทักษิณเผชิญปัญหานี้ด้วยการหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศ เป็นเหตุให้ถูกโจมตีว่าไม่เคารพ “กระบวนการยุติธรรม” แต่เหตุผลของคุณทักษิณคือ นั่นไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม แต่เป็นกระบวนการรัฐประหาร เพราะมันเริ่มจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจประชาชนไป แล้วก็ใช้กลไกของรัฐประหารคือ คตส.ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับเขา ซึ่งมันไม่ใช่ “กระบวนการยุติธรรมตามครรลองประชาธิปไตย”

เหตุผลของ คุณทักษิณ เราอาจเข้าใจได้ว่า ความยุติธรรมจะมีได้ในระบบที่มีนิติธรรม (หมายถึงมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระและเป็นกลาง) ซึ่งนิติธรรมจะมีได้ก็ต่อเมื่อมี “นิติรัฐ” ทว่านิติรัฐคือรากฐาน (key element) ของระบอบประชาธิปไตย เมื่อประชาธิปไตยถูกล้มไปโดยรัฐประหารนิติรัฐย่อมถูกล้มไปด้วย กระบวนการต่อมาที่เอาผิดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง จึงเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า “เป็นอิสระและเป็นกลาง” ฉะนั้น จึงไม่ใช่กระบวนการที่มีนิติธรรม

ในกรณีนี้คุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ ว่า ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่กลับเห็นว่ารัฐประหารสร้างระบบนิติรัฐนิติธรรมขึ้นมาได้ ดังที่คุณอภิสิทธิ์แสดงความเห็นทางเฟซบุ๊ค ว่า หากนิรโทษกรรมคุณทักษิณเท่ากับเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและนิติธรรม และยังเป็นการทำลายความมั่นคงของ “ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (หมายความว่าคุณอภิสิทธิ์เห็นว่า “ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ถูกสถาปนาขึ้นโดยรัฐประหาร และถูกค้ำจุนด้วยกระบวนการสืบเนื่องจากรัฐประหารใช่หรือไม่?)

กรณีที่ 4 : การ ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร คุณอภิสิทธิ์อ้างว่าเป็นนายกฯ โดยผ่านกระบวนการรัฐสภา หมายความว่าเขามีความชอบธรรมตามกติกา แต่ไม่แคร์ต่อความชอบธรรมตามมโนธรรมทางสังคม คือไม่สนใจว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไรกับการที่มีการร่วมมือกับอำนาจพิเศษไป ฉกเอา ส.ส.จากฝ่ายตรงข้ามแล้วไปวางแผนตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

กรณีที่ 5 : เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 คุณอภิสิทธิ์อ้างความชอบธรรมตามกติกาเพียงประการเดียวคือ “การรักษากฎหมาย” แต่ไม่สนใจความชอบธรรมตามมโนธรรมทางสังคม คือไม่สนใจว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไรกับการที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้ “กระสุนจริง” สลาย “การชุมนุมทางการเมือง” ของประชาชนหลายหมื่นคน จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และข้อพิสูจน์ว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่แคร์ต่อมโนธรรมทางสังคมใดๆ เลย คือการเปิดปราศรัยปฏิเสธความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงที่ “ราชประสงค์”

กรณีที่ 6 : การเลือกตั้งใน 3 ก.ค. คุณทักษิณเห็นว่า พรรคที่ควรเป็นรัฐบาลควรมีความชอบธรรม 2 ส่วน คือ 1) ความชอบธรรมตามกติกาคือ การมีสิทธิ์ตั้งรัฐบาลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2) ความชอบธรรมตามมโนธรรมทางสังคม คือการชนะเลือกตั้งได้คะแนนเสียงอันดับ 1 แต่คุณอภิสิทธิ์เห็นต่างออกไปว่า พรรคที่ควรเป็นรัฐบาลมีความชอบธรรมเพียงประการเดียวก็พอ คือมีความชอบธรรมตามกติกา เมื่อกติกาเปิดให้แข่งจัดตั้งรัฐบาลได้ เขาก็มีสิทธิ์ตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนที่ลงคะแนน ให้กับพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1

สรุป ความชอบธรรมในการต่อสู้ทางการเมืองของคุณทักษิณ คือการพยายามต่อสู้ตาม “กติกาประชาธิปไตย” และอ้างอิง “มโนธรรมทางสังคม” หรือ “เสียงส่วนใหญ่” เป็นหลัก (ส่วนกรณีฆ่าตัดตอนยาเสพติด กรือเซะ ตากใบ ข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องจัดการด้วยวิธีรัฐประหาร)

ขณะที่คุณภิสิทธิ์อ้าง อิง “กติกา” แต่แทบไม่แคร์ต่อมโนธรรมทางสังคมเลย ในส่วนของการอ้างอิง “กติกา” หากในสถานการณ์ที่ถ้าการต่อสู้กันตามกติกานั้นตนเองจะแพ้ คุณอภิสิทธิ์ก็ปฏิเสธจะต่อสู้ เช่น บอยคอตการเลือกตั้ง หรือหากใช้กติกาใดแล้วจะทำให้คู่ต่อสู้ไม่ได้กลับคืนสู้อำนาจอีกตนเองก็จะ ใช้กติกานั้น เช่น เสนอ ม.7 หรือไม่ก็อ้างกติกาแบบ “ขัดแย้งในตัวเอง” เช่น ปฏิเสธรัฐประหารแต่ยืนยันว่ารัฐประหารมีนิติรัฐและนิติธรรม หรืออ้างกติกาอย่างไม่แคร์ต่อมโนธรรมทางสังคม เช่น กรณีตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร หรืออ้างกติกาแบบทั้งไม่แคร์ต่อมโนธรรมทางสังคมและอย่างไร้มนุษยธรรม เช่น อ้างการรักษากฎหมายด้วยการสลายการชุมนุมโดยใช้กระสุนจริง และสุดท้ายก็อ้างแค่ความชอบธรรมตามกติกาในการตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง โดยไม่แคร์ต่อเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคชนะเลือกตั้งอันดับ 1

การไม่ แคร์ต่อเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคชนะเลือกตั้งอันดับ 1 ใน “สถานการณ์ความแตกแยกของประเทศ” เช่นนี้ มีความหมายสำคัญว่า คุณอภิสิทธิ์ไม่แคร์ต่อ “โอกาสของประเทศ” ที่ควรจะมีโอกาสป้องกันความขัดแย้งเฉพาะหน้าที่อาจปะทุขึ้นมาอีก ด้วยการให้พรรคการเมืองที่มีความชอบธรรมมากกว่าคือ ทั้งชอบธรรมตามกติกา และชอบธรรมตามมโนธรรมทางสังคม ได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน

ฉะนั้น วาทกรรมปรองดอง อ้างว่าตนไม่ใช่เงื่อนไขความขัดแย้ง ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่เป็นผู้อาสานำพาประเทศข้ามพ้นความแตกแยก กลับคืนสู่ความสงบสุข จึงเป็นวาทกรรมที่หลอกตัวเอง และลวงโลกอย่างเหลือเชื่อ!