ที่มา Thai E-News
จริงหรือเท็จ?-มี การเผยแพร่กันตามสังคมโซเชียล มีเดีย อ้างรายงานข่าวว่านักข่าวช่อง7ยอมรับว่าเคยเข้าร่วมม็อบพันธมิตรยึดสนามบิน และยอมรับว่าเ้กลียดยิ่งลักษณ์-ทักษิณ แต่เมื่อเราไปตรวจสอบเส้นทางข่าวนี้แล้วมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็น"เท็จ" ลองไปอ่านเส้นทางข่าวในรายงานนี้กัน
โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
1 กันยายน 2554
ในวันนี้มีการเผยแพร่ข่าวเรื่อง นักข่าวช่อง7 ยอมรับเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณจริง เผยเคยไปชุมนุมขับไล่ยึดสุวรรณภูมิมาแล้ว กันมากในสังคมโซเชียล มีเดีย ทั้ง เฟซบุ๊ค และ ทวิตเตอร์
สื่อกระแสหลักอื่นๆ เช่น เนชั่นก็มีท่อนสุดท้ายของข่าวแบบเดียวกัน คือ
ส่วนเนื้อหาข่าวที่ Asia Pacific News Line นำ เสนอนั้นตั้งแต่ท่อนแรกถึงท้ายเหมือนกับที่เนชั่นนำเสนอทุกอย่าง ยกเว้นท่อนสุดท้ายที่มีท่อนนี้เพื่มเข้ามา พร้อมกับนำเสนอพาดหัวข่าว นักข่าวช่อง7 ยอมรับเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณจริง เผยเคยไปชุมนุมขับไล่ยึดสุวรรณภูมิมาแล้ว
ส่วนเวอร์ชั่นที่สองเป็นของเฟซบุ๊ค Asia Pacific News Line
แม้ ว่าท่านอยากเชื่อข่าวที่ส่งต่อๆกันมาทางเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ว่า "นักข่าวช่อง7เคยร่วมม็อบยึดสนามบิน และยอมรับว่าเกลียดยิ่งลักษณ์-ทักษิณ" เพราะเผิญว่ามันเข้ากับอคติเพราะรักเพราะชังของท่าน แต่พึงรับทราบไว้เุิถิดว่า สัจธรรมนั้นไม่อาจงอกเงยมาจากความเท็จ
โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
1 กันยายน 2554
ในวันนี้มีการเผยแพร่ข่าวเรื่อง นักข่าวช่อง7 ยอมรับเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณจริง เผยเคยไปชุมนุมขับไล่ยึดสุวรรณภูมิมาแล้ว กันมากในสังคมโซเชียล มีเดีย ทั้ง เฟซบุ๊ค และ ทวิตเตอร์
ดังเช่นในหน้าเพจของผู้ใช้ชื่อว่า Asia Pacific News Line ได้นำเสนอข้อความในลักษณะคล้ายกัยบพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ข้างต้น โดยมีข้อความตอนหนึ่งในท้ายรายงานข่าวว่า
ส่วน ประเด็นที่ว่าตนเคยเดินทางไปประท้วงกับกลุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมินั้นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการแสดงความคิดตามระบอบประชาธิปไตย และยอมรับว่าตนไม่ชอบอดีตนายกฯและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จริง แต่ไม่เคยเอาความคิดส่วนตัวมายุ่งกับการทำหน้าที่สือ แต่อย่างได.อย่างไรก็ตามจากการที่ไทยอีนิวส์ได้ตรวจสอบรายงานข่าวนี้ในสื่อกระแสหลักไม่ พบรายงานข่าวท่อนดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ในส่วนอื่นเหมือนกันหมด เช่น รายงานข่าวของคมชัดลึก
น.ส.สม จิตต์กล่าวต่อว่า ผู้บริหารช่อง 7 เข้าใจในการทำหน้าที่ และตนขอโทษผู้บริหารที่ทำให้สถานีได้รับผลกระทบจากการรักษาสิทธิ ซึ่งผู้บริหารก็เข้าใจว่าเป็นการรักษาสิทธิตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าจะไม่ถอนแจ้งความและจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะหากคนในสังคมไม่สามารถรักษาสิทธิได้ และนำคนมาข่มขู่บ้านเมืองคงอยู่ยาก และคดีนี้ก็เป็นเพียงแค่ลหุโทษเท่านั้นและคนที่มีชื่อในอีเมล์ก็ออกมาขอโทษ และตนก็รับ แต่เรื่องการดำเนินคดีเป็นคนละส่วนและอยากให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ไม่ว่าโทษ หนักหรือเบา อย่างวานนี้คู่กรณีก็จะฟ้องกลับตนก็ยินดีหากเห็นว่าตัวเองเสียหาย นี่คือการใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม อย่าใช้ความรู้สึกตัวเองมาตัดสิน
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ผู้บริหารยืนยันว่าจะปลดหรือไม่ น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ผู้บริหารหนักแน่นเพียงพอ และมั่นใจว่าที่ตนทำงานไม่มีส่วนไหน ที่อคติกับ น.ส. ยิ่งลักษณ์หรือกลั่นแกล้ง เพราะคำถามเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ หากไม่ออกจากปากของตน ก็จะมีคนอื่นถามเช่นกัน และต้องผจญกับคำถามนี้ไปอีกหลายครั้ง
"คนมีอารมณ์มากในสังคมที่ขัดแย้งสูง เราอย่าทำให้สังคมไทยเป็นสังคมเด็กเทคนิค ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ว่าถูกรังแกและยกพวกไปขู่อีกฟาก เราไม่ควรให้เกิดเรื่องแบบนี้ในสังคม นายกรัฐมนตรีบอกอยากสลายทุกข์สร้างสุข ทำทีทำได้คือให้ทุกคนใช้ชีวิตได้ตามปกติ เคารพหน้าที่ซึ่งกันและกัน และหากทุกคนเคารพกฎหมาย กติกา ก็จะทำให้สังคมมีรอยยิ้มอย่างที่ต้องการ" น.ส.สมจิตต์กล่าว
เมื่อถามว่า วันนี้ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ระบุว่กาารเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีแกนนำร่วมด้วยแต่ก็เป็นสิทธิที่ทำได้ น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ไม่เถียงว่าทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกภายใต้กรอบกฎหมาย แต่ขอย้อนถามว่าวันที่ นักศึษา 2 คน ไปแสดงความเห็นโดยการวางพวงหรีดที่หน้าสภา มีใครมีสิทธิจะไปทำร้ายเขา และวันนี้มีใครไปทำร้าสยคนเสื้อแดงในการแสดงออกหรือไม่ หากบอกว่าเรามีสิทธิต้องให้คนอื่นมีสิทธิเหมือนกันไม่ใช่เสื้อแดงมีสิทธิ เหนือคนอื่น อย่างนี้เป็นสองมาตรฐานใช่หรือไม่
น.ส.สมจิตต์ กล่าวต่อว่าถึงวันนี้ยังไม่จำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากตำรวจ เพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อว่าความดีจะคุ้มครอง การทำงานไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และไม่ทำให้หวั่นไหว แต่การส่งสัญญาณลักษณะนี้จะทำให้สัมคมเกิดความรู้สึกว่าจะสร้างอาณาจักรความ กลัวให้เกิดขึ้นหรือไม่ อย่าเซนเซอร์ให้เกิดความกลัว อย่าบริหารประเทศท่ามกลางความหวาดกลัวขอให้สังเกตที่ท่อนสุดท้ายของข่าวนี้จะจบลงที่"อย่าเซ็นเซอร์ให้เกิดความหวาดกลัว อย่าบริหารประเทศท่ามกลางความหวาดกลัว"
สื่อกระแสหลักอื่นๆ เช่น เนชั่นก็มีท่อนสุดท้ายของข่าวแบบเดียวกัน คือ
น.ส.สม จิตต์ กล่าวต่อว่า ถึงวันนี้ยังไม่จำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากตำรวจ เพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อว่าความดีจะคุ้มครอง การทำงานไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และไม่ทำให้หวั่นไหว แต่การส่งสัญญาณลักษณะนี้จะทำให้สัมคมเกิดความรู้สึกว่าจะสร้างอาณาจักรความ กลัวให้เกิดขึ้นหรือไม่ อย่าเซ้นเซอร์ให้เกิดความกลัว อย่าบริหารประเทศท่ามกลางความหวาดกลัวที่มาของข่าวนี้เครือเนชั่นรายงานว่ามาจากการที่ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งถูกคนเสื้อแดงกดดันให้สถานีปลดออกจากหน้าที่ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนแนล และเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา
ส่วนเนื้อหาข่าวที่ Asia Pacific News Line นำ เสนอนั้นตั้งแต่ท่อนแรกถึงท้ายเหมือนกับที่เนชั่นนำเสนอทุกอย่าง ยกเว้นท่อนสุดท้ายที่มีท่อนนี้เพื่มเข้ามา พร้อมกับนำเสนอพาดหัวข่าว นักข่าวช่อง7 ยอมรับเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณจริง เผยเคยไปชุมนุมขับไล่ยึดสุวรรณภูมิมาแล้ว
ส่วน ประเด็นที่ว่าตนเคยเดินทางไปประท้วงกับกลุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมินั้นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการแสดงความคิดตามระบอบประชาธิปไตย และยอมรับว่าตนไม่ชอบอดีตนายกฯและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จริง แต่ไม่เคยเอาความคิดส่วนตัวมายุ่งกับการทำหน้าที่สือ แต่อย่างได.ลองมาอ่านเปรียบเทียบของทั้ง 2 เวอร์ชั่นแบบละเอียด อันแรกจากเวบเนชั่น เบรกกิ้ง นิวส์ http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?lang=th&newsid=526942
"นักข่าวช่อง7"ยันไม่มีอคติกับ"ยิ่งลักษณ์"วอนเป็นสังคมใช้เหตุผล
| ||||
|
ส่วนเวอร์ชั่นที่สองเป็นของเฟซบุ๊ค Asia Pacific News Line
นักข่าวช่อง7 ยอมรับเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณจริง เผยเคยไปชุมนุมขับไล่ยึดสุวรรณภูมิมาแล้ว
โดย Asia Pacific News Line เมื่อ 1 กันยายน 2011 เวลา 12:50 น.
น.ส.สมจิตต์ กล่าวต่อว่า ผู้บริหารช่อง 7 เข้าใจในการทำหน้าที่ และตนขอโทษผู้บริหารที่ทำให้สถานีได้รับผลกระทบจากการรักษาสิทธิ ซึ่งผู้บริหารก็เข้าใจว่าเป็นการรักษาสิทธิตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าจะไม่ถอนแจ้งความ และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะหากคนในสังคมไม่สามารถรักษาสิทธิได้ และนำคนมาข่มขู่บ้านเมืองคงอยู่ยาก และคดีนี้ก็เป็นเพียงแค่ลหุโทษเท่านั้นและคนที่มีชื่อในอีเมล์ ก็ออกมาขอโทษและตนก็รับ แต่เรื่องการดำเนินคดีเป็นคนละส่วนและอยากให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ไม่ว่าโทษ หนักหรือเบา อย่างวานนี้ คู่กรณีก็จะฟ้องกลับตน ก็ยินดีหากเห็นว่าตัวเองเสียหาย นี่คือการใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม อย่าใช้ความรู้สึกตัวเองมาตัดสิน
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ผู้บริหารยืนยันว่าจะปลดหรือไม่ น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ผู้บริหารหนักแน่นเพียงพอ และมั่นใจว่าที่ตนทำงานไม่มีส่วนไหน ที่อคติกับ น.ส. ยิ่งลักษณ์หรือกลั่นแกล้ง เพราะคำถามเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ หากไม่ออกจากปากของตน ก็จะมีคนอื่นถามเช่นกัน และต้องผจญกับคำถามนี้ไปอีกหลายครั้ง "คนมีอารมณ์มากในสังคมที่ขัดแย้งสูง เราอย่าทำให้สังคมไทยเป็นสังคมเด็กเทคนิค ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ว่าถูกรังแกและยกพวกไปขู่อีกฟาก เราไม่ควรให้เกิดเรื่องแบบนี้ในสังคม นายกรัฐมนตรีบอกอยากสลายทุกข์สร้างสุข ทำทีทำได้คือให้ทุกคนใช้ชีวิตได้ตามปกติ เคารพหน้าที่ซึ่งกันและกัน และหากทุกคนเคารพกฎหมาย กติกา ก็จะทำให้สังคมมีรอยยิ้มอย่างที่ต้องการ" น.ส.สมจิตต์กล่าว
เมื่อถามว่า วันนี้ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ระบุว่กาารเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีแกนนำร่วมด้วยแต่ก็เป็นสิทธิที่ทำได้ น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ไม่เถียงว่าทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกภายใต้กรอบกฎหมาย แต่ขอย้อนถามว่าวันที่ นักศึษา 2 คน ไปแสดงความเห็นโดยการวางพวงหรีดที่หน้าสภา มีใครมีสิทธิจะไปทำร้ายเขา และวันนี้มีใครไปทำร้าสยคนเสื้อแดงในการแสดงออกหรือไม่ หากบอกว่าเรามีสิทธิต้องให้คนอื่นมีสิทธิเหมือนกันไม่ใช่เสื้อแดงมีสิทธิ เหนือคนอื่น อย่างนี้เป็นสองมาตรฐานใช่หรือไม่
น.ส.สมจิตต์ กล่าวต่อว่าถึงวันนี้ยังไม่จำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากตำรวจ เพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อว่าความดีจะคุ้มครอง การทำงานไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และไม่ทำให้หวั่นไหว แต่การส่งสัญญาณลักษณะนี้จะทำให้สัมคมเกิดความรู้สึกว่าจะสร้างอาณาจักรความ กลัวให้เกิดขึ้นหรือไม่ อย่าเซนเซอร์ให้เกิดความกลัว อย่าบริหารประเทศท่ามกลางความหวาดกลัว ส่วนประเด็นที่ว่าตนเคยเดินทางไปประท้วงกับกลุมพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมินั้นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการแสดงความคิดตามระบอบประชาธิปไตย และยอมรับว่าตนไม่ชอบอดีตนายกฯและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จริง แต่ไม่เคยเอาความคิดส่วนตัวมายุ่งกับการทำหน้าที่สือ แต่อย่างได.
ความจริงเรื่องฟอร์เวิร์ดเมล์จบคดีแพรวา8ศพอวสานคนจน สะท้อนคนไทยสิ้นหวังกระบวนการยุติธรรม ...มี อีเมล์ฟอร์เวิร์ดต่อกันมาว่าแพรวาคดีชนรถตู้ 8 ศพพ้นผิด ซึ่งคนก็เชื่อทันที เพราะปักใจไปแล้วว่าคนเส่นใหญ่นามสกุลดังในประเทศนี้ต้องรอด แท้ที่จริงแพวาโดนเพิ่มอีกคดี
ความจริงของกลอนร้อนที่อ้างว่าสมัครเขียนก่อนตาย และสุรชัย แซ่ด่านนำไปอ่านจนติดคุกคดีหมิ่นฯ...เรื่อง นี้มีการตกแต่งข้อความกันเข้า และนำของหลายคนมารวมแล้วอ้างว่าสมัคร สุนทรเวชเขียน จนสุรชัย แซ่ด่านนำไปอ้างถึงในเวทีอภิปราย และเจ้าหน้าที่อ้างเป็นเหตุจับกุม
คำต่อคำทักษิณสัมภาษณ์TIMESONLINE แฉสื่อลิ้ม-สื่อหลักบิดขาวเป็นดำจากภักดีเป็นล้มสถาบัน ข่าวนี้เป็นการ บิดเบือนคำให้สัมภาษณ์ของASTVผู้จัดการ ทักษิณให้สัมภาษณ์ว่าจงรักภักดี ไปบิดเป็นล้มสถาบัน แล้วพวกเหลืองกับสลิ่มก็ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ
หากท่านผู้อ่านและฝ่ายประชาธิปไตยไม่ชอบพฤติการณ์แบบที่ASTVผู้จัดการ หรือเสื้อเหลือง-สลิ่มชอบทำ ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่สมควรทำเช่นกัน