WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, February 24, 2008

อำนาจสร้างชาติ หรือขบเหลี่ยมแตกหัก [24 ก.พ. 51 - 23:40]

หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว

ถือได้ว่าผ่านพ้นพิธีการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์

คณะรัฐมนตรีสามารถเดินหน้าในการทำงานขับเคลื่อน นโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยผ่านกลไกของรัฐได้เต็มตัว

สั่งราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้อย่างเต็มลูกสูบ

ถึงแม้โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ออกแนว “ขี้เหร่” ตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน แต่สังคมก็กัดฟันให้ โอกาสกับรัฐบาล

เพื่อเป็นการแสดงออกว่า ไม่ยอมรับการรัฐประหาร

เมื่อได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้มีหน้าตาขี้เหร่อย่างไร ก็ทนกล้ำกลืน ยอมให้เวลา ให้โอกาสกับรัฐบาลอย่างเต็มที่

และถึงแม้รัฐบาลจะใช้โอกาสที่สังคมมอบให้ในครั้งนี้ แบบเปลืองมาก

โดยเฉพาะกับการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี

เอาคนที่มีพฤติกรรมความประพฤติไม่เหมาะสมเข้ามารับตำแหน่ง

ทั้งกรณีการแต่งตั้งนายวัน อยู่บำรุง ลูกชายหัวแก้ว หัวแหวนของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.สาธารณสุข

และการแต่งตั้งนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ลูกชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย

สะท้อนให้เห็นถึงการลดมาตรฐานจริยธรรมในการแต่งตั้งบุคคล เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเข้ามาใช้อำนาจรัฐ

ไม่แคร์ความรู้สึกของประชาชน

สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับผู้คนโดยทั่วไป

และจากปมนี้เอง ทำให้นายชนม์สวัสดิ์ ต้องตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ รมว. มหาดไทย เพราะไม่อาจฝืนกระแสสังคมได้

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลชุดนี้จะขี้เหร่ มาตรฐานจริยธรรม ในการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งอยู่ในขั้นถดถอย

แต่สังคมก็ทนกล้ำกลืน ให้เวลา ให้โอกาส

เพราะอยากให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาทำงานแก้ไขปัญหาของ ประเทศที่หมักหมมสะสมอยู่มากมายหลังจมอยู่ในวิกฤติมา 2-3 ปี

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ น้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น สินค้าพาเหรดขึ้นราคา ข้าวยากหมากแพง

ปัญหายาเสพติดที่กลับมาระบาดหนัก ปัญหาอาชญากรรมโจรผู้ร้ายเกลื่อนเมือง รวมทั้งปัญหาความมั่นคง กรณีวิกฤติความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สังคมอยากเห็นรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้

อยากให้คณะรัฐมนตรีนำนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาไปสู่การปฏิบัติ ไม่อยากเห็น ความล้มเหลว

แถมยังช่วยลุ้นให้เกิดผลสำเร็จโดยรวดเร็ว

เพราะต้องการให้ประเทศชาติพ้นจากวิกฤติทั้งปวง พัฒนาเจริญก้าวหน้า ประชาชนโดยส่วนรวมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แต่ในท่ามกลางความคาดหวังของสังคม ก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่รัฐบาลที่ใช้อำนาจได้ตามปกติวิสัยเหมือนรัฐบาลทั่วไป

เพราะโดยพื้นฐานที่มาของพรรคพลังประชาชนที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล

มีอำนาจซ้อนอำนาจอยู่

อย่างที่รู้ๆกันโดยทั่ว ไปว่าสถานภาพของรัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลตัวแทน นายกรัฐมนตรีนอมินี รัฐมนตรีหุ่นเชิด

เพียงแต่ไม่มีการพูดออก มาชัดๆ

เพราะยังมีคดีที่พรรคพลังประชาชนถูกร้องเรียนว่าเป็นนอมินี พรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอาจเป็นเหตุนำไปสู่ การตัดสินยุบพรรครอบสองได้

แต่ถ้ามองถึงความเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง และความเป็น “นายใหญ่” ของพรรคพลังประชาชน

ย่อมทำให้รัฐบาลชุดนี้ เหมือนมีนายกฯ 2 ร่าง ซ้อนกันอยู่

ร่างหนึ่งมีสถานภาพในทางเปิดเผยชัดเจน คือ

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี

อีกร่างหนึ่ง เป็นใครก็เห็นๆกันอยู่ แต่จับต้องไม่ได้

อย่างการเปิดฉากการทำงานของนายกรัฐมนตรี ภารกิจสำคัญ คือ การเดินทางไปเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อแนะนำตัว

เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทั้งลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย

จากนั้นก็จะต้องไปเยือนประเทศมหาอำนาจและประเทศคู่ค้าทั้งหลาย อาทิ จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย

ตรงนี้ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นำใหม่ เป็นธรรมเนียมของสังคมโลก

แต่ก่อนที่นายสมัครจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 3 มีนาคม ตามกำหนดการที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานงาน

ก็มีกระแสข่าวออกมาว่า ทางสมเด็จฮุนเซนเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมตีกอล์ฟที่กัมพูชา ในวันที่ 3 มีนาคมเช่นเดียวกัน

ช่วงจังหวะพอดิบพอดีกับที่นายกฯสมัครเดินทางไปเยือน

แม้นายสมัครออกมายืนยันว่า ไม่รู้เรื่องนี้

พร้อมเน้นย้ำ “ถ้าจะมีการเจอกันผมควรจะต้องรู้ และถ้าพูดกันที่สุดแล้วผมเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะต้องไปเจออดีตนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยทางฝ่ายโน้นจะต้องแจ้งให้ผมรู้หน่อย นี่ผมไม่รู้เลย ไม่มีการบอก ไม่มีการนัดหมาย จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น”

เรื่องนี้เป็นแค่ช็อตแรก แต่ก็ทำให้คิดไปถึงบทบาทของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

เพราะการเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกของนายนพดล โดยได้เป็น รมว.ต่างประเทศ เครดิตสำคัญคือ เป็นทนายคู่ใจของ “ทักษิณ”

สังคมระหว่างประเทศเข้าใจอยู่แล้วว่า นี่คือสายตรง “นายใหญ่”

ฉะนั้น เมื่อให้เครดิตอดีตนายกฯทักษิณที่กว้างขวางในเวทีต่างประเทศ ก็ต้องให้เครดิตกับนายนพดล

อย่างไรก็ตาม ในยุคโลกไร้พรมแดน การสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันหมด การเคลื่อนไหวต่างๆของนายนพดล และ “นายใหญ่” บนเวทีต่างประเทศ

เสมือนมีสปอตไลต์คอยส่องอยู่ตลอดเวลา และยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องไปเยือน ฉะนั้น ต้องคอยติดตามดูว่าจะขยับขับเคลื่อนกันไปในแนวทางไหน

แต่ที่แน่ๆมีร่องรอยให้เห็นแล้วในการไปเยือนกัมพูชาของนายกฯสมัคร ที่มีเงาร่างของ “ทักษิณ” ตามประกบ

นอกจากนี้ เมื่อโฟกัสไปที่การนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล โดยเฉพาะกระทรวงที่เป็นหัวใจหลักและเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ

ทั้งกระทรวงการคลัง ที่ดูแลเรื่องตลาดเงิน ตลาดทุน ภายใต้กำกับของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง

กระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลเรื่องการซื้อขาย นำเข้า ส่งออก ภายใต้กำกับของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์

ล้วนแต่เป็นสายตรง “ทักษิณ” ทั้งสิ้น

การดำเนินการสั่งการให้ทำงานสอด-คล้องกันมาจากประเทศไหน มุมไหนของโลกก็ได้

ร่างเงาของนายกฯอีกคน ที่เห็นๆกันอยู่ แต่จับต้องไม่ได้ สามารถสั่งการได้

นอกจากนี้ในส่วนกระทรวงอื่นๆที่มีรัฐมนตรีหุ่นเชิดเข้ามากำกับดูแล ในทางลึก “นายใหญ่” ก็ได้จัดส่งทีมงานเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงานให้ทั้งหมดอยู่แล้ว

ในขณะที่นายกฯสมัครที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคมนาคม อยากดูแลแผนเมกะโปรเจกต์แบบครบวงจร

ด้วยเหตุนี้ แม้ “นายใหญ่-นายหญิง” ส่งคนสายตรงอย่างนายสันติ พร้อมพัฒน์ เข้ามานั่งเก้าอี้ รมว.คมนาคม

แต่นายสมัครก็มอบหมายงานให้คนสนิทอย่างนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ เข้าไปกำกับดูแลงานในส่วนของกระทรวงคมนาคมโดยตรง

จากภาพที่ปรากฏ การบริหารของรัฐบาล “นายกฯ 2 ร่าง” ชัดเจนว่า

ร่างแรก ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ดูแลงานกระทรวงที่เป็นหัวใจหลัก ทั้งด้านการต่างประเทศ และด้านเศรษฐกิจ

อีกร่างหนึ่ง ในฐานะนายกฯนอมินี ดูแลโครงการเมกะโปรเจกต์ภายในประเทศ

ถ้าทั้ง 2 ร่าง ประสานงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ใช้เวลาและโอกาสที่สังคมมอบให้

ทำงานเพื่อชาติอย่างจริงจัง

ก็จะส่งผลดีต่อประเทศและประชาชนโดยส่วนรวม

แต่ถ้าการทำงานเกิดปัญหาแตกคอกัน ต่างคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตคอรัปชัน

ย่อมส่งผลร้ายต่อประเทศ

อีกทั้งผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว จะพุ่งเข้าใส่ รัฐบาลเต็มๆ

เหนืออื่นใด เมื่อรัฐบาลชุดนี้ชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก สังคมให้โอกาสในการทำงาน ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น

เวลาจะให้คำตอบ

“องคุลีมาล” จะกลับใจได้หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์กัน.

ทีมการเมือง

คอลัมน์ ข่าวการเมือง(วิเคราะห์)