ที่มา thaifreenews
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้คงไม่ต่างไปจากบรรยากาศรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 นัก เพียงแต่ยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเสียงข้างน้อยที่พยายามตะกายฟ้า จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ฟากฝั่งเดียวกับฝ่ายค้านขณะนี้หมุนกลับ 360 องศา ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติจนน้ำลายไหล
กองทัพงูเห่าภาคสองหรือปลาไหลใส่สเก็ตภาคพิศดารในนามกลุ่มสีน้ำเงินก็ผงาดขึ้นในยุทธภพ จนทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่างๆรวมกระทั่งไปถึงชาวบ้านร้านช่องถึงกับตกตะลึงในอำนาจวาสนาของเจ้าสำนักใหม่ที่สามารถกุมอำนาจบริหารกระทรวงสำคัญๆไว้ได้หลายกระทรวง
อย่างไรก็ตาม การทำงานหาได้ราบรื่นไม่เนื่องด้วยสาเหตุแห่งที่มาของอำนาจนั้นไม่ชอบมาพากล ผิดกฎแห่งจรรยาบรรณยุทจักรบู๊ลิ้มเป็นยิ่งนักจนถึงกับทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่างชาตินำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สง่างามของเจ้าสำนักอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ความไม่สง่างามแห่งที่มาหนึ่งบวกกับความพยายามของการดำเนินการต่างๆในการที่จะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการกล่าวหาอย่างรุนแรงผ่านกระบอกเสียงจากสื่อของรัฐด้วยการโหมประโคมข่าวทำลายอย่างต่อเนื่องด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
ความพยายามของกลุ่มสีน้ำเงินที่มีโอกาสเข้าไปคุมกระบอกเสียงและสร้างสื่อต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นทีวีดาวเทียม วิทยุคลื่นหลัก รวมไปถึงวิทยุชุมชน และสื่อหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ ที่มุ่งโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลด้วยสโลแกนปกป้องสถาบันในรหัส “แผนปฏิบัติการดาวสยาม”
การขับเคลื่อนต่างๆทั้งฝ่ายความมั่นคงรวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีที่ได้ไฟเขียวแกมบังคับจากมหาอำมาตย์ใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศ กลับยิ่งทำให้มหาอำมาตย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น บาดแผลเหวอะหวะน่าขยะแขยงชวนขนลุก
การวางแผนการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าไม่จงรักภักดีจากอำนาจรัฐ ที่พยายามกระทำต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ โหมประโคมยุยงควบคู่ไปกับกลุ่มสีเหลืองที่มีสื่อทีวีดาวเทียมอยู่ในมือ กลับไม่สามารถทำลายกลุ่มคนเสื้อแดงลงได้ อีกทั้งยิ่งทำให้คนเสื้อแดงได้รับความเห็นใจจากสังคมและประชาชนมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งบัณฑิตหางเครื่องอำมาตย์ก็ออกมาตอบรับปกป้องมหาอำมาตย์อย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ ไม่เว้นแม้กระทั่งบัณฑิตที่ได้รับการขนานนามว่ากวีรัตนโกสินทร์ก็ยังอุตส่าห์ออกมาเลียก้นอำมาตย์ด้วยคำพูดที่ว่า “บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
รวมไปถึงการดูถูกเหยียดหยามจากผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่เหยียดหยามคนที่มาร่วมชุมนุมว่า “เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย” และคำพูดก้าวร้าวระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันเวรกรรมตามทันเป็นอัมพาตก็ได้พูดว่า “คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
การลดทอนความเป็มนุษย์จากประโยคคำพูดทั้งระดับกวีรัตนโกสินทร์ ผู้ประกาศข่าวหรือนักวิชาการระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างภูวดล ปากชักโครก ยิ่งทำให้การขับเคลื่อนของคนในชนบทชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีตัวตนในสังคมจริง
สิ่งที่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนนั่นคือการที่พวกเขาบุกเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ซึ่งเราก็คงเห็นได้จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2553 นี้
อย่าเข้าใจว่าคนในชนบทนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจและการรับรู้ทางการเมือง พวกเขาเข้าไปมีส่วนปฏิบัติการทางการเมืองทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติมาโดยตลอด เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
วันนี้สงครามแห่งชนชั้นได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้หลัง 2475 เป็นต้นมา กว่า 78 ปีของชนชั้นไพร่ที่ถูกกดทับด้วยวิถีชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรม จารีต ความเชื่องมงาย และระบบการศึกษาที่ยิ่งเรียนยิ่งโง่
ความรู้สึกที่ถูกกระทำมาตลอดเวลายาวนานทั้งถูกกดขี่กดทับและถูกละเมิด อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้คนชั้นกลางในเมืองและพี่น้องที่เดินทางมาจากชนบทได้แสดงศักยภาพให้อำนาจรัฐได้เห็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสื่อและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
การหลั่งเลือดของตัวเองเพื่อยืนยันการต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธถูกดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดจากคอลัมภ์นิสต์หนังสือพิมพ์บางฉบับ ASTV และเครือข่ายเนชั่นก็รวมหัวปลุกระดมยุยงให้สังคมเข้าใจผิดถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่คนเสื้อแดงแสดงออกตลอดกว่า 10 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ ทั้งที่เขามาพร้อมด้วยความโกรธแค้นอยากจะระเบิดความรุนแรงเพื่อระบายสิ่งที่เขาถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยมโนสำนึกในการควบคุมตนเอง และด้วยความอดกลั้นของพวกเขาจึงต่อสู้ด้วยสันติวิธี อหิงสา และปราศจากอาวุธ
แต่สิ่งที่ผู้ชุมนุมกลับได้รับ คือ การยั่วยุจากฝ่ายอำนาจรัฐด้วยการกล่าวหาต่างๆ นานาว่าจะก่อความรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่หุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน รวมถึงผู้นำกลับต้องเข้าไปทำงานอยู่ในค่ายทหาร
อย่างนี้จะไม่เรียกว่ารัฐประหารแล้วจะเรียกว่าอะไรดี หรือควรจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการเช่นนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางออกทางลงที่ดีที่สุดและบอบช้ำน้อยที่สุดในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการคืนอำนาจให้ประชาชน
รัฐสภาของไทยถูกล้อมกรอบด้วยกำลังทหาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเดินเข้าไปทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก จนที่สุดส.ส.ฝ่ายค้านก็บอยคอตไม่เข้าประชุมสภาหากไม่มีการถอนกำลังทหารออกไปจากรัฐสภา
ความเป็นคนจน คนชั้นกลาง และความเป็นไพร่ของเราเป็นเรื่องที่เรามีความภาคภูมิใจที่สุดของศักดิ์ศรีความเป็นไพร่ ซึ่งยังดีกว่าผู้ที่เหยียดไพร่และหยามคนชั้นล่างมาตลอดเพราะคนพวกนั้นหรืออีกชื่อว่าอำมาตย์ เป็นพวกที่มีภยันตรายมากที่สุดของสังคม
ดังนั้น การประกาศสงครามทางชนชั้นครั้งนี้ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางความคิดของมนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นจากการกดขี่ ขูดรีด ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงความเป็นอิสระชนของชนทุกชั้นที่เท่าเทียมกัน
วันที่ 27 มีนาคม 2553 ที่จะถึงในไม่กี่วันข้างหน้านี้ พี่น้องประชาชนในสังคมไทยทั้งหลายต้องออกมาให้มากที่สุดเพื่อแสดงพลังให้อำนาจรัฐได้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีความต้องการทางสังคมในแนวทางเดียวกันว่าพวกเราต้องการความเป็น“เสรีชน”
พระอินทร์
เพื่อไทย
Thursday, March 25, 2010
อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น
โดย prain
วันที่ 24 มีนาคม 2553
อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น