ที่มา Thai E-Newsเครื่องGT200 พิสูจน์ 20 จุด ยังถูกตั้ง 4 ครั้ง แต่พวกสื่อเวลานี้ 20 สื่อ แทบจะไม่มีแม้แต่ 1 ช่องหรือ 1 ฉบับที่กล้าเปิดเผยความจริง..บางคนฉ้อโกงแค่เงินหนึ่งบริษัท โจรปล้นแค่ร้านทองร้านเดียว แต่สื่อปล้นความเชื่อถือ คดโกงความจริง ต่อหน้าคนนับล้านทั่วประเทศ
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 มีนาคม 2553หมายเหตุไทยอีนิวส์:เวบบล็อกไทยเพรสในเครือไทยอีนิวส์ได้นำเสนอบทความของ"ตะบันไฟ"กลุ่มครูมัธยมรักประชาธิปไตย ภาคกลาง วิพากษ์วิจารณ์บทบาทสื่อมวลชนกระแสหลัก ต่อมานายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ เนชั่น แชนแนล ผู้บริหารเครือเนชั่น เขียนแสดงปฏิกริยาของเขาต่อบทความนี้ในเฟสบุ๊ค ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
สื่อไทย…กระทำการคดโกงยิ่งกว่า G.T.200
สถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่โหมโรงตั้งแต่วันที่ 12 มีนา 2553 ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงเทพ ฯ ผู้คนทั่วทุกจังหวัด ทุกหย่อมหญ้าสาธารณ์รับรู้เรื่องนี้กันทุกคนก็ว่าได้ และติดตามข่าวคราวด้วยระดับความสนใจที่แตกต่างกัน
บางคนหายใจรดต้นคอ ชนิดเปิดโทรทัศน์แช่ไว้ทั้งวัน คนทันสมัยหน่อยก็เปิดเว็บไซต์ ใครชอบใคร ก็เปิดเว็บข่าวของแต่ละสี บางคนไม่ชอบนั่งหน้าจอโทรทัศน์ หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็ออกไปซื้อหนังสือพิมพ์รายวัน และวิเคราะห์ข่าวรายสัปดาห์มาอ่าน
คนกลาง ๆก็จะซื้อของทั้งสองฝ่ายที่เชียร์เหลืองบ้าง แดงบ้าง ไม่ว่ากัน
ผมอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีเคเบิ้ลดู เพราะไม่ชอบนั่งดูข่าวนาน ๆ เป็นประเภทอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่า แต่ทันทีที่มีข่าวเคลื่อนขบวนของคนสีแดงเข้ากรุง ผมก็อยากรู้ว่า ราคาคุยของแกนนำนปช.ที่ว่าจะมากันหลักแสนหลักล้าน มันจริงหรือไม่ อย่างไร ?
ผมเปิดโทรทัศน์ทุกช่อง ไล่ไปตามเลขคี่ตั้งแต่ 3 ถึง 11 นั่นแหละ จำได้ว่าเห็นภาพหม้อพะโล้ใบใหญ่มาก กับแผงไข่ไก่เรียงเป็นตั้งจากช่อง 7 นักข่าวบอกว่าเป็นเสบียงที่คนเชียงใหม่ที่ไม่ได้ไปด้วยบริจาคมา กำลังเตรียมขึ้นรถ จะออกเดินทาง เพียงข่าวเดียวแค่นั้นจริง ๆ
ทางอีสาน ไม่เห็นภาพ ทางใต้ยิ่งไม่เห็น(แต่ข่าวว่ามีเสื้อแดงเดินทางมาเหมือนกัน)
จุดที่ได้ดูมากที่สุดก็คือ วังน้อย เท่านั้นจริง ๆครับพี่น้อง แม้จนค่ำที่ขบวนบางจังหวัดน่าจะมาถึงกรุงเทพ ฯแล้ว ก็ไม่มีภาพออกมาให้เห็นเลย
เออ สงสัยยังมาไม่ถึง ผมคิดในด้านดี
รุ่งเช้าทนอยู่ไม่ไหว ถามไถ่จากเพื่อนมิตร และอ่านข่าวในเว็บของเสื้อแดงถึงรู้ว่า แม่น้ำสีแดงจากแต่ละภาค ไหลเข้ากรุงแดงฉานไปหมดแล้ว แต่ละภาคมีขบวนรถไม่ต่ำกว่าห้าหกพันคัน และตลอดการชุมนุมก็ไม่เคยปรากฏภาพข่าวในโทรทัศน์เลย
อ้อ จะว่าไปก็ต้องให้ความเป็นธรรมหน่อย ว่ามีบ้าง เช่น ถ่ายให้เห็นภาพขบวนเสื้อแดงตอนขากลับจากราบ 11 คงเป็นคันท้าย ๆจงใจให้ดูประหนึ่งว่ามีคนไม่มาก ทั้งที่ขบวนยาวเหยียด
คนที่เห็นขบวนรถเสื้อแดงผ่านเล่าว่า สามชั่วโมงแล้ว รถประดับธงแดงยังวิ่งผ่านไม่หมดเลย ขบวนไม่ใช่ขนาดเล็ก ๆ กินพื้นที่ถนนครึ่งหนึ่ง ยาวไม่รู้กี่กิโลเมตร กลับไม่มีภาพออกเลย บางครั้งเห็นนักข่าวพยายามปีนรั้วเอากล้องลอดไปถ่าย ภาพในทำเนียบหรือบ้านสี่เสา รู้สึกว่ามีความพยายามมาก
แต่งานนี้ภาพที่ออกกลับมีเพียงรถสามคันที่วิ่งกลับ
คำประกาศขอเลือดล้านซีซีไปเทหน้าทำเนียบ กลายเป็นประเด็นให้สื่อโทรทัศน์วิ่งไปสัมภาษณ์หมอ (ที่ชัดเจนแล้วว่าต้องไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง) ก็ได้เห็นอาการดัดจริต ประเภทห่วงใยความสะอาดเรื่องการเจาะเลือด อาจติดเชื้อสกปรก
ห่วงเสื้อแดงอาจหมดแรงเป็นลม(ใจอาจแช่งให้ตาย)
และลากยาวไปเรื่องจรรยาบรรณของหมอ พยาบาลที่จะเจาะเลือด พยายามพลิกกฎหมายกันมือสั่นเพื่อเอาผิดคนเจาะ และถ้าเทเลือดแล้ว คนไปเหยียบอาจจะติดเชื้อโรค อื๋ยย...
ดังนั้นเหตุการณ์สุดท้ายที่ผมกัดฟันดูจากโทรทัศน์คือข่าวเด่นเย็นนี้ นายธีระ กับนางวราภรณ์อ่าน ผมเคยชอบนายธีระหรือฮุยคนนี้มาก ดูบุคลิกดี สวมเสื้อผูกไทค์เข้าชุด ดูดี อ่านข่าวก็ไพเราะมีจังหวะจะโคน ถ้าเป็นผู้หญิงคงแอบรักไปแล้ว
แต่เย็นนั้น ขณะนปช.กำลังเทเลือดหน้าทำเนียบ นายธีระทำหน้าเมื่อย ๆพูดคล้ายเป็นเหตุการณ์ธรรมดา ๆ เหมือนคนขี่จักรยานหกล้มว่า
“เอ้า มีภาพหน้าทำเนียบหรือเปล่า” ภาพคนแบกถังเลือดเลือดปรากฏในจอ ไม่ถึง 7 วินาที โดยธีระ วราภรณ์ไม่พูดไม่บรรยายสักคำ แล้วนายธีระก็ตัดบทว่า“เอ้าไปดูข่าว M.79 ตกอีกแล้วครับ ใกล้บ้านท่านอักขราธร....” จบข่าว
หันมาทางสิ่งพิมพ์ก็เช่นกัน ขบวนการเสื้อแดงยาตราทัพเข้ากรุงครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโปงความชั่วร้ายฉ้อฉล ของกลุ่มผู้กุมบังเหียนของประเทศเท่านั้น แต่มันได้เปิดเปลือยสื่อมวลชนไทย ทั้งสื่อโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างล่อนจ้อน หมดเปลือก ไม่เหลืออะไรให้เคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป
โทรทัศน์คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียแล้วซ่อมไม่ได้ ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน หนังสือพิมพ์ นิตยสารข่าวเป็นกระดาษเปื้อนหมึกที่เอาไปห่อผักสดเข้าตู้เย็นยังไม่ได้ เพราะสารตะกั่วจากน้ำหมึกเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
อย่าพูดเลยว่า สื่อถูกคุกคาม ถูกบีบ ถูกกดดัน ยุคนี้ไม่มีใครกลัวปืน หรือไม่มีใครโง่ใช้ปืนมาจ่อหัวนักข่าวหรอก ต่างจากยุคสฤษดิ์ ที่แท่นพิมพ์ถูกล่ามโซ่ บก.ถูกจับไปขัง เมื่อออกมาก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้ปากกระบอกปืน ยังยืนหยัดรายงานข้อเท็จจริงด้วยวิญญาณนักข่าวหัวใจเกินร้อย สฤษดิ์โง่กว่าผู้ปกครองประเทศยุคนี้เยอะ มีบางสิ่งบางอย่างที่ใช้ได้ผลกว่าโซ่ตรวนและกำแพงคุกเป็นไหน ๆ
ลิลิตพระลอ ยังสรุปไว้เลยว่า“แข็งดังเหล็ก เงินง้าง อ่อนได้โดยใจ”
มีข่าวเชิงลึกว่า นับตั้งแต่รัฐบาลมีงบไทยเข้มแข็ง และอีกสารพัดงบหว่านโปรยไปทุกกระทรวงทบวงกรม สื่อไทยทั้งหลายก็พลอยเข้มแข็งไปด้วย รับงบมาโฆษณาบ้าเลือดให้รัฐอย่างไม่ลืมหูลืมตา
นักการเมืองแข่งกันโฆษณาตัวเอง โฆษณาผลงานของหน่วยงาน บางหน่วยงานไม่เห็นต้องมาออกสื่อเลยสักนิดเดียว ที่น่าขันคือบางกระทรวงพูดในนามรัฐมนตรีว่าการ แต่ไพล่ไปโฆษณาพรรคที่ตัวเองสังกัดเฉยเลย คงลืมตัวคิดว่าอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
เคยมีความพยายามแก้ตัวจากเจ้าของสื่อว่า ถ้าเชียร์ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็กลัวถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ได้สปอนเซอร์รายใหญ่จากบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ๆหลายเจ้า คุณอาจจะเถียงว่าอุดมการณ์กินไม่ได้ ขณะที่คนทำสื่อต้องกินต้องใช้มีลูกมีเมียต้องรับผิดชอบ พนักงานอีกหลายปากหลายท้อง
เราไม่ได้เรียกร้องให้สื่อเข้าข้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาล แต่เรียกร้องให้รายงานข้อเท็จจริงเท่านั้น ! ?
ประชาชนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพ ฯ ผู้สื่อข่าวภาคสนามได้ชี้แจงว่า พวกเขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว ส่งภาพ เสียงและข้อมูลไปให้สถานีโทรทัศน์และโรงพิมพ์แล้ว ถึงตรงนี้จึงพอสรุปได้ว่า เงินค่าโฆษณาอุดปากจนจุก ก็เลยรายงานข่าว ลงข่าวไม่ได้ (ถ้ามีผู้ใดอยากพิสูจน์ ลองไปหาซื้อหนังสือพิมพ์หรือดูโฆษณาย้อนหลังทั้งในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ว่ามีโฆษณาจากหน่วยงานของรัฐทุ่มโฆษณามากขนาดไหน ยังไม่นับโฆษณาจากบริษัทใหญ่ ๆ)
สื่อบางฉบับรับทรัพย์ทั้งรายวันรายสัปดาห์ รับเต็ม ๆ รับจนไม่มีเนื้อที่กระดาษว่างพอสำหรับรายงานข้อเท็จจริง แม้แต่นักข่าวในค่ายตัวเองยังอึดอัด อดออกมากระแนะกระแหนติติงในคอลัมน์ตัวเองไม่ได้
สื่อทุกชนิดหากินบนความศรัทธาของมหาประชาชนนับล้าน ๆ เหมือนคนอยากกินส้มตำ เขาก็ไปซื้อคาดหวังว่ามันจะเป็นส้มตำ แต่กลายเป็นมะละกอสับคลุกน้ำปลา ผงชูรส อยากกินแกงมัสมั่นก็กลับกลายเป็นกะทิต้มใส่ซอสพริกให้สีดูใกล้เคียง
สื่อช่วยเอานิ้วก้อยเท้าซ้ายคิดหน่อยเป็นไรว่า ใครยังจะซื้ออาหารแม่ค้าเจ้านั้นอยู่ไหม ?
ขอสารภาพว่าแต่ก่อนผมไม่อ่านไทยรัฐ ดูถูกว่าหัวสี มีแต่ข่าวชาวบ้าน เหมือนคนชั้นกลางที่สนใจการบ้านการเมืองก็มักจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่วันนี้ผมกลับซื้อไทยรัฐเพียงเล่มเดียว บางวันไม่ได้ออกไปร้านหนังสือก็เปิดเว็บของไทยรัฐ ที่เสนอข่าวอย่างเป็นกลาง ๆ
ผมขอโทษไทยรัฐมา ณ.โอกาสนี้ด้วยที่เคยหมิ่นแคลนท่าน
นกตัวหนึ่งที่บินฝ่าพายุ ฝ่าฝนทนหนาวมายาวนาน ประคองปีกมาได้ในวันที่ฝนกระหน่ำหนัก พายุพัดจัด แต่ไม่เสียจิตวิญญาณของความเป็นสื่อ ไทยรัฐอาจไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการชุมนุม แต่ไทยรัฐ “ฟ้องด้วยภาพ”ภาพเพียงภาพเดียว หรือสองภาพแทนคำอธิบาย คำร้องทุกข์ได้แสนล้านคำจริง ๆ
เช่นเดียวกับ TNN.ช่องข่าวของเคเบิลทีวีรายใหญ่ที่สุดของประเทศ คนที่ไม่ได้ออกไปดูเหตุการณ์จริง ได้อาศัยดูภาพของเหตุการณ์ในแต่ละวัน ซึ่งมีภาพให้ดูมากที่สุด และสรุปข้อมูลให้พอเข้าใจ ได้รู้เรื่องแต่ช่องนี้มีวิธีเอาใจรัฐบาล โดยการมีตัววิ่งด้านล่างจอ ดูคล้าย ๆมีคนส่ง SMS.เข้ามาเชียร์รัฐบาล แต่มีเพียงหกข้อความเท่านั้น ข้อความด่าไม่มีเช่น“เป็นกำลังใจให้นายกค่ะ”
“นายกอภิสิทธิ์สู้ต่อไป”
ขึ้นวนเวียนไปอย่างนี้ตลอด ทำให้รู้สึกเห็นใจและอดขำไม่ได้กับเทคนิคของคนที่ควบคุมรายการนี้
ยุคพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกก็พยายามควบคุมสื่อ แต่ไม่มากขนาดนี้ เราจึงได้ดูการชุมนุมของพวกพันธมิตร ในทำเนียบและสถานที่ต่าง ๆได้ทุกเหตุการณ์ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของ “พ่อตาลต่ำเตี้ย” หรือเป็นเพราะว่าอิทธิพลของเงินค่าโฆษณาที่ท่วมหน้ากระดาษและท่วมจอ เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์สะกดวิญญาณสื่อลงหม้อไปหมด
วันที่ 5 มีนาที่ผ่านมาเป็นวันนักข่าว พวกคุณย่อมทราบดีว่า ความรับผิดชอบในอาชีพของคุณคืออะไร ? คุณรู้จักอิศรา อมันตกุลกันดีไม่ใช่หรือ ? ป่านนี้ วิญญาณ”พี่อิศ” คงร่ำไห้ ถ้ารู้ว่าลูกหลานในสายธารน้ำหมึก ได้ก้าวไปสู่จุดตกต่ำที่สุดของพวก ฐานันดรที่สี่ แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ อยากถามเป็นพิเศษสำหรับเจ้าของสื่อที่เคยเป็นนักข่าวว่า คุณจะตอบคำถามสังคมว่าอย่างไร ? คุณกำลังทำอะไร ?
และ เพื่อใคร ?
อย่ามาพูดว่าสื่อคือ “นกน้อยในไร่ส้ม” อีกนะผมอายแทน ทุกวันนี้ เป็นแค่ “หนอนน้อยในเวจขี้”เท่านั้นแหละ คือไม่ต้องกระดืบไปหากิน แค่กระดิกตัว อุจจาระก็หล่นมาทับถมจนพูดไม่ได้ ไอไม่ออกแล้ว
สื่อบางคนบอกว่าเขาทนไม่ได้ หากมีใครท้าทายหรือหมิ่นแคลนศักดิ์และสิทธิ์ของคนทำข่าว วันนี้ถือว่าผมขอลุกขึ้นท้าทายก็แล้วกัน ย้ำ... ท้าทายและเหยียดหยามสื่อหลักทั้งหลาย ที่เคยได้รับความศรัทธาจากสังคมว่าพวกเขาดีกว่า เครื่องตรวจระเบิด G.T.200 ตรงไหน ?
เครื่องที่ว่าเมื่อมีการพิสูจน์ 20 จุด ยังถูกตั้ง 4 จุด แต่พวกสื่อ ผู้ใฝ่หาเสรีภาพ พิทักษ์รักษาเสรีภาพ กลับมีประโยชน์น้อยกว่าG.T.200 เสียอีก เพราะในช่วงเวลานี้ 20 สื่อ แทบจะไม่มีแม้แต่ 1 ช่องหรือ 1 ฉบับที่กล้าเปิดเผยความจริง
ต่อไปนี้อย่าได้กล่าวหาใครเขาว่าคดโกง อย่ากล่าวหาใครว่าไม่ซื่อสัตย์ ฉ้อฉล เพราะพวกคุณก็อยู่ในประเภทเดียวกัน บางคนฉ้อโกงแค่เงินหนึ่งบริษัท โจรปล้นแค่ร้านทองร้านเดียว แต่สื่อปล้นความเชื่อถือ คดโกงความจริง ต่อหน้าคนนับล้านทั่วประเทศ พวกคุณไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นฐานันดรที่สี่ ในขณะที่ประชาชนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกคุณกลับพยายามปกปิด เพราะกลัวว่า ถ้าทำหน้าที่คุณจะไม่ได้รับค่าจ้าง ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา ทำอย่างนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับพวกคดโกง คอรัปชั่นแม้แต่นิดเดียว
ถ้ามีความกล้าหาญอยู่เพียงนี้ ก็อย่ามาทำหน้าที่ฐานันดรที่สี่ พวกคุณอย่าลืมว่า พวกคุณไม่ใช่คนธรรมดานะ...อายแทนจริง ๆ.เป็นสื่อหรือเป็นสาก ไม่มีปากไม่มีเสียง
เงินทองที่หล่อเลี้ยง มันทับท่วมทั้งวิญญาณ
ลืมสิ้นทั้งหน้าที่ ทั้งไม่มีความกล้าหาญ
ฐานันดรแต่ก่อนกาล เพียงสวมหัวเพื่อหลอกคน.
อดิศักดิ์ ผู้บริหารเครือเนชั่นโต้ถึง"ตะบันไฟ"กับอคติของอคติต่อการทำงานของสื่อไทยกับการชุมนุมคนเสื้อแดง
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ เนชั่น แชนแนล ผู้บริหารเครือเนชั่น เขียนแสดงปฏิกริยาของเขาต่อบทความนี้ในเฟสบุ๊ค ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ถึง"ตะบันไฟ"กับอคติของอคติต่อการทำงานของสื่อไทยกับการชุมนุมคนเสื้อแดง
ผมคิดว่าผู้เขียนมองอย่างอคติกับการทำหน้าที่สื่อโทรทัศน์มากๆจนถึงมากที่สุด ช่วงข่าวทุกเบรคของทุกช่องรายงานการเคลื่อนขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันเสาร์ที่๑๓ มี.ค.อย่างถี่ยิบ ให้พื้นที่ข่าวสำหรับคนเสื้อแดงตั้งแต่ตั้งหลักอยู่ในแต่ละจังหวัด ทั้งทำแผนที่เดินทางและรายงานเป็นระยะๆระหว่างเดินทาง
โดยเฉพาะช่อง ๙ มากที่สุดและรายการเชิงข่าวทุกรายการได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นบนสะพานผ่านฟ้าทั้งภาพและนักข่าวรายงานอย่างต่อเนื่องทุกเช้าสายบ่ายค่ำ
รวมทั้งสื่อนสพ.ด้วยที่ก็เห็นแทบทุกฉบับให้พื้นที่"ข่าว"กับการชุมนุมของคนเสือ้แดงไม่น้อยกว่าสมัยคนเสื้อเหลืองชุมนุม พาดหัวใหญ่ทุกฉบับไม่ว่าหัวสีอะไร แต่เมื่อคิดแต่ว่าไม่ถูกใจก็กลายเป็นไม่ถูกต้องไปเสียทุกอย่าง
โดยเฉพาะในส่วนของคอลัมนิสต์นสพ.ที่ไม่ค่อยมีใครแสดงความเห็นใจกลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะทำให้กลายเป็นไม่ถูกใจ ซึ่งผมยอมรับความจริงอยู่บ้างว่าอคติในคอลัมนิสต์กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่สลัดไม่หลุดจากคุณทักษิณทำให้น้ำเสียงยังเหยียดๆว่าถูกซื้อมาเสียรู้เรื่องอำมาตย์หรือเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ เพราะพวกเขาก็เคยไปลงคะแนนเลือกตั้งครั้งที่แล้วและเลือกตั้งท้องถิ่นอีกนับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าหากนิยามประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงเน้นที่เรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่อย่างเดียว มันจะต่างอะไรกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมาแล้วบิดเบือนข้อมูลบอกประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย อย่าบอกว่าเลือกตั้งใต้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ เพราะพรรคการเมืองของคุณทักษิณเคยใช้กติกานี้ชนะเลือกตั้งมาแล้วและเป็นรับบาลถึง ๒ นายกฯ
ผมคิดว่าสังคมไทยชอบทึกทักบอกตัวเองว่าเป็นสังคมพุทธนิยมเดินสายกลาง แต่พอประเด็นทางการเมืองเมื่อไหร่มักมองกันอย่างสุดโต่งทั้งสองฝ่ายจะเอาชนะแบบเอาเป็นเอาตายกันให้ได้ มักเริ่มจากด้วยความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งในใจอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็เอียงไปแบบไม่ถูกใจคือไม่ถูกต้อง โดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่
สื่อจึงมักกลายเป็นจำเลยในเหตุการณ์ทางการเมืองที่มักว่าอำนาจรัฐซื้อไปแล้ว ผมอยากให้องค์กรสื่อออกมาทำหน้าที่มอร์นิเตอร์สิ่งที่เกิดขึ้นและเสียงวิจารณ์เป็นจริงแค่ไหน
ผมกลับคิดว่าสื่อโทรทัศน์และนสพ.รวมทั้งวิทยุกระแสหลักที่มีฐานคิดของคนทำงานที่มีพื้นฐานจากคนเมืองเป็นส่วนใหญ่แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานคนต่างจังหวัดเช่นเดียวกันได้ทำหน้าที่ในกรอบแนวทางสันติวิธีได้ดีพอสมควร โดยไม่เติมเชื้อไฟให้สังคมเคียดแค้นชิงชังกันมากกว่าเดิม
อย่าไปนับวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เติมเชื้อไฟความรุนแรงตลอดเวลาและบนเวทีเสื้อแดงที่ใช้ข้อมูลเท็จในหลายๆเรื่องเพื่อกล่าวหาคุณอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่คนเสื้อแดงบอกว่าบิดเบือน
รวมทั้งการใช่คำพูดตอกลิ่มความแตกต่างทางชนชั้นไปจนเกินจริงระหว่างไพร่กับอำมาตย์ที่เป็นสาเหตุให้ประเทศของเราล้าหลังมากขนาดนั้นเชียวหรือ ผมเห็นแต่เมืองที่ขยายตัว urbanization ที่ความเป็นไพร่จางลง ลูกหลานชาวนาเกษตรมีโอกาสในการดำรงชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้นๆ แต่ยอมรับว่าช่องว่างระหว่างรายได้ของชนชั้นยังห่างมากขึ้นจริงที่ไม่ได้แก้ด้วยการไล่ล้างชนชั้นสูงอยู่นั่นแหละ
ทำไมไม่มีใครตั้งคำถามกับกระฎุมพีอย่างคุณทักษิณที่ได้ประโยชน์จากอำมาตย์และขุนศึกที่เคยปฏิวัติรสช.ปี ๒๕๓๔ยังเสวยสุขบนทรัพย์สินมหาศาลที่กอบโกยจากสัมปทานผูกขาดหากำไรส่วนเกินจากพวกไพร่รากหญ้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือกันอย่างไม่สนใจค่าบริการแล้วปลุกปั่นให้คนรากหญ้ามาลำบากลำบนในกรุงเทพเพือ่ให้ตัวเองกลับมาเสวยสุขกับเหล่าอำมาตย์และขุนศึกเช่นเดิม
ขอร้องเถอะช่วยกันลดละอคติและคำพูดส่อเสียดลงไปบ้างเพื่อให้สังคมได้ใช้สติในการไตร่ตรองปัญหาของประเทศ อคติและคำพูดส่อเสียดสร้างความเกลียดโกรธในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ถือเป็นความรุนแรงในอีกรูปแบบหนึ่งที่พึงปฏิเสธโดยสิ้นเชิง