WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, March 24, 2010

เปิดหลักฐานจะๆเผด็จการใบสั่งทีวีปิดข่าวเสื้อแดง สื่ออเมริกาประจานสื่อหลักกระบอกเสียงรัฐ

ที่มา Thai E-News




แปรปรวน-(ภาพบน)APรายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงกับเครียดเมื่อถูกพรรคฝ่ายค้านบอยคอตไม่ร่วมประชุมสภา (ภาพล่าง)APเผยแต่หลังจากถูลู่ถูกังเปิดประชุมสำเร็จ นายอภิสิทธิ์ถึงกับหัวร่อสะใจ ขณะที่รอบนอกสภาถูกทหารล้อมไว้ทุกด้าน โดยแกนนำเสื้อแดงแนะให้ทหารออกประกาศคณะปฏิวัติยึดอำนาจเพื่อความสมบูรณ์แบบ

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 มีนาคม 2553



นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ อดีตผู้ประกาศข่าวช่อง 7 เปิดเผยบนเวทีคนเสื้อแดงว่า ตอนนี้วงการโทรทัศน์ได้ถูกรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่สื่อมวลชนทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มงวด สำหรับช่องรัฐบาลนั้นนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับงานด้านสื่อเข้ามาประชุมสั่งการตลอดเวลา นอกจากนั้นก็มีคิวให้โทรทัศน์ช่องต่างๆไปสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อเผยแพร่ข่าวจากฝ่ายรัฐบาล และบิดเบือนป้ายสีผู้ชุมนุม

เปิดหลักฐานคำสั่งเผด็จการให้ทีวีปิดข่าวเสื้อแดงกำลังชนะ

คนในวงการโทรทัศน์ช่องเอกชนช่องหนึ่งได้เปิดเผยกับ"ไทยอีนิวส์"ว่า รัฐบาลได้กำชับมายังผู้บริหารโทรทัศน์ทุกช่องให้มีแนวนโยบายและแนวปฏิบัติที่จะนำเสนอข่าวในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล และในทางที่เป็นโทษต่อฝ่ายเสื้อแดง โดยมีหนังสือเวียนมายังกองบรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

"แจ้งให้กองบรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าวทุกคนรับทราบและปฏิบัติ

ประเด็นข่าวสถานการณ์การชุมนุมเสื้อแดงที่ผู้บริหารสั่งกำชับ และขอความร่วมมือไม่ให้นำเสนอรายงานออกอากาศ ดังนี้

-ห้ามนำเสนอข่าวเสื้อแดงประกาศชัยชนะ ประกาศความสำเร็จ หรือประกาศได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน
-ห้ามระบุจำนวนประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมว่ามากเท่าไหร่
-ห้ามนำเสนอข่าวความเห็นของประชาชนและคนในวงการต่างๆที่สนับสนุนเสื้อแดง
-ห้ามรายงานข่าวที่ยั่วยุสร้างแรงกระตุ้นให้ประชาชนออกไปร่วมชุมนุมใหมากขึ้น
-ห้ามใช้ภาพข่าวเทเลือด ละเลงเลือด เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
-ห้ามนำเสนอข่าวประเด็นการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ต่างชนชั้น ห้ามใช้คำว่า"สงครามระหว่างชนชั้น","ไพร่"กับ"อำมาตย์"โดยเด็ดขาด


สื่ออเมริกาวิพากษ์สื่อทีวีไทยอคติตัวการสร้างความแตกแยก

หนังสือพิมพ์ christian science monitor ซึ่งเป็น นสพ.ชั้นแนวหน้า และมีคนอ่านล้วนเป็นปัญญาชนระดับสูงเน้นข่าวต่างประเทศและข่าวสหรัฐฯ เคยได้รางวัลพูลิซเซอร์ถึง 7 ครั้ง มีความน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่า washington post และ Newyork Times ได้รายงานข่าวเรื่อง ทีวีไทยที่มีอคติกำลังขยายการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศไทย ( Biased TV stations intensify divides in Thailand protests )โดยระบุตอนหนึ่งว่า การประท้วงในประเทศไทยย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง ทีวีไทยก็แพร่ข่าวไม่หยุดโดยเน้นภาพลบสารพัดของการประท้วง รวมทั้งดิสเครดิตผู้ประท้วงอย่างไร้จรรยาบรรณ

"ความแตกต่างของข่าวทำให้คนดูมืดมน บก.ทีวีที่ขออนุญาตไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกเล่นงาน บอกเราว่า รัฐบาลกำลังเข้าไปแทรกแซงการเสนอข่าว ซึ่งในสมัยห้าปีของทักษิณก็ทำเช่นกัน แต่ตอนนี้ มันหนักกว่าเก่ามาก เขากล่าว"

สำหรับรายละเอียดของรายงานข่าวมีดังต่อไปนี้

ขณะที่การประท้วงในไทยดำเนินไปจนถึงสัปดาห์ที่สองแล้ว สถานีโทรทัศน์ที่เป็นคู่แข่งกันก็รายงานการชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นเรื่องผลกระทบด้านลบของการชุมนุม

กลุ่มเสื้อแดงพากันท่องไปทั่วกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์, รถกระบะ และ รถจักรยานยนต์ เมื่อวันเสาร์ (20) ที่ผ่านมา ในการชุมนุมประท้วงรัฐบาลครั้งล่าสุด ตำรวจระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว 65,000 รวมขบวน ที่มีความยาวหลายไมล์

แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง โทรทัศน์ของไทยที่เป็นสื่อที่คนนิยมดู บอกว่ามีผู้เข้าร่วม 25,000 คนและเช่นเคย ภาพข่าวของผู้ชุมนุมถูกการแถลงข่าวของรัฐบาลคลุมทับไปหมด ไม่มีการนำเสนอเรื่องของผู้ชุมนุมโดยทั่วไป

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยการเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลก็พากันโหมเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ เรื่องการใช้เลือดในเชิงจริยธรรม ขณะที่สื่อผ่ายต้านรัฐบาลเน้นเรื่องการใช้สัญลักษณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมหลั่งเลือดเพื่อประท้วง

และหลังจากที่การประท้วงดำเนินเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 สื่อกระแสหลักของไทยก็ควรถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง ซึ่งจริง ๆ ระยะเวลาที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการแบ่งขั้ว 4 ปี ที่ผ่านมา ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้ว มีนักวิจารณ์บอกว่าช่องสถานีฟรีทีวีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกองทัพนั้นเต็มไปด้วยอคติ

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวไทยหลายคนเริ่มหันไปหาสื่อที่อยู่ข้างเดียวกันอย่างพวกเคเบิลทีวี วิทยุชุมชน และอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองลึกขึ้น และทำให้การหาจุดร่วมทำได้ยากขึ้น

วันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธไม่ยอมรับการเจรจากับรักษาการนายกรัฐมนตรี และยืนยันอยากเจรจากับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ตัวนายกฯ อภิสิทธิ์เองก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้เขายุบสภาและเลือกตั้งใหม่

ก่อนหน้านี้อคติในสื่อไทยก็เคยทำให้เกิดความขัดแย้งมาแล้ว ในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535) เมื่อทหารยิงผู้ชุมนุมในกทม. ช่องสถานีของรัฐบาลรายงานว่ามีพวกคอมมิวนิสต์ปลุกระดมให้เกิดจลาจล ภาพที่ถูกใส่ความว่าเป็นการต่อต้านเชื้อพระวงศ์ในหนังสือพิมพ์ปี 1976 (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519) ก็ทำให้เกิดการสังหารหมู่นักศึกษาโดยกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยกองทัพ

ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มนักกิจกรรมที่ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่ายต่างกดดันสถานีโทรทัศน์เรื่องการเสนอข่าว และมีการคุกคามผู้สื่อข่าวที่นำเสนอจำนวนผู้ชุมนุมน้อยกว่าความจริง จากกรณีนี้เองทำให้สื่อบางแห่งหลีกเลี่ยงการประเมินจำนวนผู้ชุมนุม "พวกเราไม่อยากมีปัญหา เราจึงหลีกเลี่ยงการรายงานเรื่องจำนวน" บรรณาธิการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกล่าว

สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอคนละมุม

เรื่องที่ทำให้ยิ่งเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้นคือการที่แต่ละฝ่ายต่างมีสื่อของตัวเอง ฝ่ายเสื้อแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากคนชนบทและจากชนชั้นแรงงานของไทย เปิดสถานีพีเพิลแชนแนล ที่ถ่ายทอดการประท้วงตลอดวันตลอดคืน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือเสื้อเหลืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางสิทธิเลือกตั้งก็รับข่าวสารจาก เอเอสทีวี ทั้งสองช่องล้วนแต่มีอคติสูง

สุภิญญา กลางณรงค์ นักรณรงค์ด้านเสรีภาพสื่อกล่าวว่า การแพร่ขยายของ 'สื่อใหม่' (new media) ทำให้เกิดการตรวจสอบการควบคุมข่าวสารของรัฐบาล เธอกล่าวอีกว่าสื่อโทรทัศน์ไม่มีพลังในการบิดเบือนความจริงได้มากเท่าในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬพ.ศ. 2535) อีกแล้ว เพราะพวกเขาต้องแข่งกับสื่ออื่น ๆ รวมถึงการส่งรูปและข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต

"ฉันคิดว่า (รัฐบาล) รู้ว่าหากพวกเขาใช้การควบคุมหรือบงการมากเกินไป ประชาชนจะไม่เชื่ออีกต่อไป" สุภิญญากล่าว

บรรณาธิการข่าวโทรทัศน์ผู้ไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกคุกคามบอกอีกว่า ความแตกต่างจะทำให้ผู้ชมตกอยู่ในความมืด เขาบอกอีกว่ารัฐบาลแทรกแซงการนำเสนอข่าว ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ "แต่ในตอนนี้มันเลวร้ายกว่าเดิม" เขากล่าว

มีเดียมอนิเตอร์ชี้ชัดสื่อทีวีเอียงข้างรัฐบาล

พบว่า ขณะที่หากเป็นการสอบถามความคิดเห็นก็จะเน้นประเด็นเรื่องมาตรการการตั้งรับสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และความเห็นทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล


โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) หรือมีเดียมอนิเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ได้จัดทำรายงานเรื่อง"มีเดียมอนิเตอร์ชี้ข่าวชุมนุมเสื้อแดงในทีวี พบเน้นเฝ้ารอสถานการณ์ มากกว่าเฝ้าระวัง แข่งรายงานบรรยากาศสด จราจร มาตรการรับรุนแรง แนะเสนอข่าวเชิงรุก ลึก สันติภาพ" ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

จากเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่จัดชุมนุมในช่วงวันที่ 12 – 14 มีนาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ ก่อให้กระแสความตื่นตัวในสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งและความรุนแรงนี้ ผู้คนในสังคมต่างจับตาการทำหน้าที่ของสื่อว่าจะสามารถเป็นไปอย่างมีจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพได้หรือไม่ อีกทั้งการรายงานข่าวนั้นมีส่วนช่วยลดหรือขยายความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้นหรือไม่อย่างไร

โครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อและพัฒนาการรู้เท่าทันสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) ทำหน้าที่การเฝ้าระวังการรายงานข่าวของสื่อในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 (สมัยกลุ่มพันธมิตรฯ) จนรัฐบาลปัจจุบัน เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางการเมือง สังคมและสื่อมวลชน โครงการฯ พิจารณาแล้ว จึงจะเฝ้าระวังการรายงานข่าวเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม ใน 10 ช่องสถานีโทรทัศน์ตลอด 24 ชั่วโมง (ได้แก่ ฟรีทีวี 6 ช่อง คือ ช่อง 3, 5, 7, 9, 11, ทีวีไทย, และ เคเบิ้ลทีวีหรือทีวีผ่านดาวเทียมอีก 4 ช่องคือ เนชั่นชาแนล, เอเอสทีวี, ทีเอ็นเอ็น และ ดีสเตชั่น) ว่ามีลักษณะเนื้อหาข่าวเช่นไร

ผลการศึกษา เปรียบเทียบในระดับภาพรวม (ของวันที่ 12 มีนาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 00.00-16.00 น.) ดังนี้

1. การให้พื้นที่ข่าว พบว่า โดยรวมสื่อโทรทัศน์ทุกช่องสถานี ให้พื้นที่ข่าวการชุมนุมเป็นข่าวหลักในทุกช่วงข่าว และให้สัดส่วนพื้นที่ข่าวมากกว่าปกติ ช่องที่ให้พื้นที่ข่าวค่อนข้างน้อยได้แก่ช่อง 5 และช่อง 7

2. ประเด็นข่าว พบว่า โดยรวมเน้นประเด็นเหตุการณ์-สถานการณ์/บรรยากาศ/ความพร้อมของกลุ่มผู้ชุมนุม ตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศและในกรุงเทพ เน้นใช้ภาพถ่ายทอดจำนวนผู้ชุมนุม ขณะที่หากเป็นการสอบถามความคิดเห็นก็จะเน้นประเด็นเรื่องมาตรการการตั้งรับสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และความเห็นทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ค่อนข้างขาดรายงานพิเศษ – บทวิเคราะห์ทางการเมือง ผลกระทบทางการเมือง-สังคม วัฒนธรรม แต่จะเน้นประเด็นข่าวเหตุการณ์/บรรยากาศ

3. แหล่งข่าว ส่วนมากข่าวเน้นบรรยากาศ/เหตุการณ์การเดินทางมาชุมนุม มีการใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดจากกองบังคับบัญชาตำรวจนครบาล (บก.02) ประกอบการรายงานข่าว เน้นเฝ้าระวังเหตุการณ์และรายการงานสภาพการจราจรตามจุดต่างๆ และแหล่งข่าวฝ่ายแกนนำ แต่ไม่มากและไม่เด่นชัด

โดยมากเป็นการรายงานโดยผู้สื่อข่าวภาคสนาม และเน้นสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร รัฐมนตรี นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล

4. การใช้ภาพข่าว ส่วนมากเป็นภาพบรรยากาศการรวมตัวของผู้ชุมนุม กิจกรรมการตั้งขบวน พิธีกรรมของผู้ชุมนุม การเดินทาง การตรวจค้นผ่านด่าน ณ จุดต่างๆ โดยใช้ภาพจากผู้สื่อข่าวภาคสนามและภาพกล้องจรปิดขณะที่ช่องเอเอสทีวีมีการปล่อยสกู๊ปพิเศษเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงการชุมนุมเดือนเมษายน 2552

ภาพข่าวที่สื่อนำเสนอ อาจมุ่งเน้นไปที่การสื่อความหมายในเชิงความรุนแรง (ภาพกองกำลังตำรวจและภาพกลุ่มผู้ชุมนุมในลักษณะการเตรียมความพร้อมการปะทะ)

5. การใช้ภาษาข่าว โดยรวมพบว่าใช้ภาษาค่อนข้างสุภาพ ปลอดอคติ และการแสดงความคิดเห็น


ผลการศึกษา สรุปแยกรายช่อง ดังนี้

ช่อง 3 :

รายการข่าวในช่วงผังข่าวปกติ เน้นเกาะติดสถานการณ์การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมในเส้นทางสายต่างๆ โดยเฉพาะภาคอีสาน รวมถึงจำนวนผู้ชุมนุม การรวมตัวของผู้ชุมนุมตามจุดสำคัญในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล สำหรับแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้มักมาจากฝั่งรัฐบาล ขณะที่ข้อมูลจากกลุ่มผู้ชุมนุมจะเน้นการสรุปเหตุการณ์โดยผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าวภาคสนามแทน

เน้นประเด็นข่าวมาตรการของรัฐในการรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม การตรวจค้นอาวุธ อุปกรณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง เส้นทางการจราจรในกรุงเทพฯ วิถีชีวิต ผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องหรือความคิดเห็นอื่นๆ จากผู้ชุมนุมมากนัก อีกทั้งพบว่าทิศทางการรายงานข่าวนั้นมุ่งนำเสนอทิศทางหรือเหตุการณ์ในประเด็นการรุก-รับของเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก

ช่อง 5 :

นำเสนอข่าวตามผังปกติ สลับกับการรายงานสดสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น และรายงานข่าวการชุมนุมในช่วงรายการข่าว เน้นประเด็นข่าว เรื่อง การเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด (การเคลื่อนขบวนไปยังสถานที่ต่างๆ) สภาพการจราจร บริเวณต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และประเด็นการเตรียมตัวรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

พื้นที่ข่าวมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยกว่าช่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด

เน้นการรายงานสดจากพื้นที่ต่างๆ เข้ามายังห้องส่ง เช่น อนุสาวรีย์หลักสี่ วงเวียนใหญ่ วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ด้านผู้ดำเนินรายการ, ผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าว ส่วนใหญ่รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์ และความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ด้วยลีลาภาษาแบบผู้ประกาศข่าว ไม่พบคำพูดที่ไม่สุภาพ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง

ช่อง 7 :

พื้นที่ข่าวค่อนข้างน้อย แต่เด่นในช่วงรายงานพิเศษ เน้นสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญเกิดขึ้น
มีการรายงานสดแทรกในรายการปกติ (ภาพยนตร์เกาหลีและถ่ายทอดสดการแข่งขันชกมวย) ใช้ชื่อรายการว่า “รายการเกาะติด สถานการณ์ชุมนุมเสื้อแดง” เน้น 3 ประเด็นข่าว คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด ประเด็นสภาพปัญหาการจราจร บริเวณต่างๆ และประเด็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ด้านผู้ดำเนินรายการ, ผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าว ส่วนใหญ่รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์ และความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ด้วยลีลาภาษาแบบผู้ประกาศข่าว ไม่พบคำพูดที่ไม่สุภาพ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง, มีการแนะนำและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและรักษาความเป็นกลาง

ช่อง 9 :

ให้พื้นที่ข่าวค่อนข้างมาก นำเสนอในทุกช่วงข่าวและเป็นข่าวสำคัญของทุกช่วง มีข่าวต้นชั่วโมงบ่อยและถี่มากกว่าช่องอื่นๆ เน้นประเด็น บรรยากาศการแถลงการณ์ชุมนุม รัฐคุมเข้ม การเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด สภาพการจราจร การตั้งด่านตรวจตรา ณ จุด บริเวณต่างๆ

เพิ่มการรายงานความเคลื่อนไหวในต่างจังหวัด ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และ จ.นครสวรรค์, ภาคอีสาน จ.ศรีสะเกษ, ภาคใต้ จ.สงขลา และภาคกลาง จ.นนทบุรี

การใช้ภาษาข่าวของผู้ประกาศข่าว ค่อนข้างสุภาพ ปลอดอคติ ความคิดเห็น รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์/ความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ไม่พบ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง, มีการแนะนำและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ ส่วนรายการคุยโขมงบ่าย 3 โมง พิธีกรชายใส่อารมณ์ขณะรายงานข่าว แต่ไม่ได้รายงานผิดไปจากข้อเท็จจริง

ช่อง 11 :

ให้พื้นที่ข่าวในระดับกลาง รายงานข่าวในช่วงผังข่าวปกติ มีเพลงรณรงค์สันติภาพในช่วงข่าว เน้นการรายงานเรื่องสภาพการจราจร ณ จุดต่างๆ ให้รายละเอียดเรื่องความคืบหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุมตามจุดต่างๆ ให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่าย มีการเสนอภาพกราฟฟิกผลโพลล์สำรวจ และหน่วยงานที่สามารถสอบถามปัญหาการจราจร หลายๆ ช่วง ทั้งการรายงานโพลล์จากกรุงเทพฯ โพลล์ และภาพกราฟฟิกศูนย์ปฏิบัติการทางการแพทย์ในพื้นที่ 10 จุด มี Vox Pop ของประชาชนที่ไม่สนับสนุนการชุมนุม ผู้ประกาศรายงานข่าวอย่างสุภาพ

เน้นการสัมภาษณ์เรื่อง การชุมนุมอย่างสันติวิธี จากนักวิชาการมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แทรกด้วยรายงานสดทางโทรศัพท์จากผู้สื่อข่าวในพื้นที่รวมทั้งประชาสัมพันธ์ของจังหวัดสมุทรปราการที่รายงานความคืบหน้าการชุมนุมตั้งแต่ต้น แต่การรายงานค่อนข้างใช้คำที่ให้ภาพลบกับฝั่งผู้ชุมนุม เช่น ออกมากล่าวปราศรัยว่า “ที่ออกมาชุมนุมเท่านี้แค่น้ำจิ้มนะ วันที่ 14 จะทำให้รัฐบาลหวั่นไหวมากกว่านี้” หรือผู้ชุมนุมออกมาส่งเสียงเชียร์เสียงดัง และยังทำให้รถติดยาวเหยียดหลายสิบกิโล นอกจากนี้ยังให้รายละเอียดเรื่องเส้นทางการเดินทางต่างๆทั้งทางรถ และทางเรือด้วย พิธีกรในรายการไม่ค่อยมีปัญหาในการรายงาน ไม่ได้ให้น้ำหนักไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

เน้นรายงานความคืบหน้าจากที่ชุมนุมเป็นหลัก มีการรายงานหน้าสทท.ที่ผู้ชุมนุมเดินทางมาชุมนุมด้วย แต่ออกมารายงานหลังจากที่ผู้ชุมนุมเดินขบวนไปแล้ว ไม่มีภาพขณะผู้ชุมนุมมาถึงมารายงาน มีภาพความรุนแรงตอนที่เสื้อแดงทำร้ายประชาชนนำเสนอด้วย ผู้ประกาศและผู้สื่อข่าวภาคสนามใช้ภาษาสุภาพในการรายงานข่าว

ทีวีไทย :

เน้นภาพเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุม ให้รายละเอียดการเคลื่อนขบวน ณ จุดต่างๆ กำลังทำอะไรอยู่บ้าง ไม่มีการสัมภาษณ์แกนนำหรือกลุ่มผู้ชุมนุม การรายงานข่าวทางฝ่ายรัฐบาลเน้นที่ตัวนายกรัฐมนตรีว่ากำลังไปไหน และทำอะไรอยู่ มีการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้มีการให้รายละเอียดเรื่องการจราจรกับผู้ชมว่าบริเวณที่มีการชุมนุมมีสภาพการจราจรเป็นอย่างไร รายละเอียดของสภาพแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียง ทั้งร้านค้า ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน ว่ามีที่ไหนเปิดบริการและที่ไหนปิดบริการไปแล้ว

มีการนำเทปรายการ ตอบโจทย์ ที่มาออกอากาศซ้ำ โดยนำคำสัมภาษณ์ของแกนนำนปช.และฝ่ายรัฐบาลที่เป็นประเด็นสำคัญมาออกอากาศให้ชม มีการรายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์การชุมนุม และมี Vox Pop ของประชาชนเกี่ยวกับสันติวิธีในการชุมนุม

ผู้ประกาศใช้ภาษาข่าวสุภาพ มีการตั้งคำถามในเชิงรุกต่อแหล่งข่าวและผู้สื่อข่าว ภาคสนามเพื่อต่อยอดประเด็นต่างๆ ออกไป ให้ผู้ชมเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ในขณะนั้น

ช่อง TNN :

เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่มักรายงานสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น เนื้อหามุ่งนำเสนอการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมในภาคส่วนต่างๆ ทั้งแกนนำ จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม การตรวจค้นอาวุธ การเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญในรัฐบาล และเน้นหนักไปที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สถาบันทางการเงิน ตลาดหุ้น การจราจรในกรุงเทพฯ ข้อมูลที่ได้มักมาจากผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ และบุคคลในรัฐบาลมากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเปิดพื้นที่เพียงการสรุปความโดยผู้สื่อข่าว และผู้ประกาศข่าวเท่านั้น

ช่อง เอเอสทีวี :

ให้พื้นที่ข่าวอย่างต่อเนื่อง เน้นรายการสนทนา และนำเสนอผลกระทบจากการชุมนุม เช่น สถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์ เน้นวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมากกว่ารายงานข่าวการติดตามสถานการณ์ มีการใช้ภาพข่าวความรุนแรงจากการชุมนุมมานำเสนอประกอบ (ภาพเก่าช่วง เม.ย.52) ในลักษณะสารคดี เน้นการใช้ภาษาบรรยายที่สื่อถึงความรุนแรง ใช้คำสนทนาระหว่างพิธีกรที่แสดงความคิดเห็นรุนแรง เช่น “ชั่วช้าที่สุดเลย”, และในช่วงรายการบิสสิเนสเฮดไลน์ พิธีกรพูดว่า “เรามาติดตามลิ่วล้อระบบทักษิณ” เน้นแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่ากลุ่มเสื้อแดง และมีการสัมภาษณ์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนขบวนของกลุ่มเสื้อแดง

ช่อง D Station :

เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื้อหามุ่งนำเสนอความเคลื่อนไหวของการชุมนุมในลักษณะของการปลุกระดม ผ่านการให้ข้อมูลโดยแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม และพบว่าผู้ประกาศข่าวมีบทบาทในการสรุปเหตุการณ์ ให้ข้อมูล บรรยาย หรือแม้กระทั่งร่วมแสดงความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ โดยข้อมูลมุ่งวิพากษ์บุคคลในรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ องคมนตรี และมักปรากฏถ้อยคำลักษณะ “ประกาศสงคราม” อยู่เสมอ

ทิศทางการนำเสนอไม่ได้อธิบายเหตุการณ์ในมุมของกลุ่มผู้ชุมนุมมากนัก แต่มักนำเสนอการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ดูแลควบคุมการชุมนุม และให้พื้นที่มากเป็นพิเศษกับการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลุ่มทหาร และมุ่งสร้างความเกลียดชังฝั่งรัฐบาลอย่างชัดเจน มีการใช้คำชักชวนผู้ชุมนุมให้ออกมาชุมนุม เช่น “ผมขอเชิญให้ประชาชนออกมาร่วมกันชุมนุมเพื่อทำสงครามครั้งสุดท้าย….”


ข้อเสนอแนะจากโครงการฯ

1) สื่อควรให้ความสำคัญกับการรายงานข่าวเหตุการณ์ชุมนุมในสัดส่วนพื้นที่เหมาะสมกับเหตุการณ์

2) สื่อควรเน้นการรายงานข่าวเชิงลึก ข่าวเชิงวิเคราะห์ ข่าวเชิงตีความ จุดสำคัญต่างๆ ที่มีการชุมนุม เน้นข่าวที่มีการใช้ความรุนแรง เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มผู้ชุมนุม และเน้นรายงาน-สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวเป็นหลัก ขาดมิติทางด้านสังคม การเมือง วัฒนธรรม

3) ควรลดการให้ความสำคัญของแหล่งข่าวที่เป็นคู่ขัดแย้งลง (เฉพาะรัฐกับผู้ชุมนุม) แต่เพิ่มน้ำหนัก ความสมดุลและความหลากหลายของข่าว จากกลุ่มอื่นๆ ของสังคม เช่น กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้ง กลุ่มพลังเงียบ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม หรือกลุ่มรณรงค์สันติ กลุ่มภาคประชาสังคม หรือนักวิชาการอิสระ

ควรเน้นความสมดุล และความเป็นธรรมในการรายงานข่าว ให้มีความเหมาะสม

4) ควรแสดงความเป็นกลาง (การปลอดอคติ) ทั้งในการแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ สันติ และการตั้งคำถามควรเป็นไปในลักษณะที่ไม่สร้างความแตกแยก เน้นคำถามที่หาทางออกของสถานการณ์ ถามเพื่อหาคำตอบเพื่อลดความรุนแรงของเหตุการณ์ ไม่ถามคำถามที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความรุนแรง เช่น “จะใช้มาตรการใดในการจัดการสลาย” ควรถามว่า “จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดความรุนแรงกับลุ่มผู้ชุมนุม”

5) ไม่ควรนำเสนอภาพความรุนแรง ผ่านภาพข่าว ภาษาพูด ที่มีลักษณะซ้ำไปซ้ำมา หรือการเน้นให้เห็นภาพความรุนแรงของเหตุการณ์ ไม่ควรขยายเพิ่มเติมความรุนแรงโดยการใช้ภาษาบรรยายข่าว คำขยาย คำอคติ คำสรรพนาม หรือคำกริยาที่มุ่งเน้นความรุนแรง

เสนอข้อมูลอย่างรัดกุม ไม่ควรนำเสนอข้อมูลที่จะสร้างความตระหนกแก่สาธารณะชนให้เพิ่มขึ้น สื่อควรเน้นเฉพาะข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ นำเสนออย่างเข้าใจและรู้

6) สื่อควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอข่าว ตระหนักในผลกระทบของข้อเท็จจริงที่จะนำเสนอว่าอาจสร้างความแตกแยก หรือทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ไม่ควรนำเสนอข่าวลือ หรือข่าวที่ยังไม่มีความแน่ชัดต่อสาธารณะ นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้ภาษาข่าวที่ส่งสัญญาณความรุนแรงดู การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การตราหน้า การเหมากลุ่ม การเหยียดหยาม

7) สื่อควรเน้นการรายงานข่าวเชิงสันติภาพ (Peace Journalism) ดังนี้

หลีกเลี่ยงการตราหน้าว่าเป็นคนดีหรือผู้ร้าย, รายงานทั้งสาเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, คำนึงถึงความหลากหลายของผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์, เสนอข่าวเชิงลึก ริเริ่ม และนำเสนอมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชัดเจน, ใช้ภาษาเป็นกลางไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก หลีกเลี่ยงคำที่แสดงอารมณ์เกินจริง, รายงานเหตุการณ์หรือข้อตกลงต่างๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้ง, หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่แสดงถึงการตกเป็นเหยื่อทำให้รู้สึกเวทนา, รายงานข้อมูลผลกระทบรอบด้านทั้งกายภาพ จิตใจ สังคมและวัฒนธรรม, หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่แสดงถึงความเป็นผู้ร้าย, เน้นแนวทางประนีประนอมทั้ง 2 ฝ่าย, ให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนทั่วไป ทั้งในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์ และการเป็นแหล่งข่าว, เกาะติดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง แม้เหตุการณ์สงบลงแล้ว

และสื่อควรเน้นการนำเสนอข่าวเชิงโครงสร้าง (Structural) ให้มากขึ้นโดยยึดหลัก

1) การอธิบายถึง สาเหตุ ที่มาของปัญหาความขัดแย้ง
2) สภาพบริบทแวดล้อมตัวเหตุการณ์ ปัญหาความรุนแรงและความขัดแย้งเชิงโครงสร้างมากกว่าความรุนแรงเชิงกายภาพที่มองเห็น
3) ทางออกสำหรับปัญหาความขัดแย้ง
4) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งและความรุนแรงในบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม เน้นผลลัพธ์ที่มองไม่เห็นจากปัญหาความรุนแรงมากกว่าฉายภาพความรุนแรงจากการปะทะ การทำงายสิ่งของ การทำร้ายร่างกาย
และ 5) เสนอแนะความคิดร่วม ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งคืออะไร อย่างไร และใครควรมีส่วนร่วมในการแก้ไขความจัดแย้งบ้าง

พร้อมกันนั้นโครงการญได้กำหนดการเสวนา“การรายงานข่าวชุมนุมทางการเมืองในฟรีทีวี” วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ห้องประชุม ๒ ชั้น ๒ จัดโดย โครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อและพัฒนาการรู้เท่าทันสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor)ร่วมกับ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

กำหนดการ

๐๙.๓๐ - ๐๙.๔๕ น. ลงทะเบียน รับเอกสารผลการศึกษาและรับประทานอาหารว่าง

๐๙.๔๕ – ๑๐.๑๕ น. กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วม
โดย แพทย์หญิงพรรณพิมล หล่อตระกูล
ผู้จัดการโครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อฯ (Media Monitor)

๑๐.๑๕ – ๑๐.๔๕ น. นำเสนอผลการศึกษา “การรายงานข่าวชุมนุมทางการเมืองในฟรีทีวี”
โดย คุณธาม เชื้อสถาปนศิริ
ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อฯ

๑๐.๔๕ – ๑๑.๓๐ น. วิทยากรร่วมเสวนาการรายงานข่าวชุมนุมทางการเมืองในฟรีทีวี “สันติภาพหรือสงคราม” โดย

ผศ. ดร. อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว*
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล*
อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คุณประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ *
เลขาธิการสมาคมนักข่าวและหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

คุณสมชัย สุวรรณบรรณ *
อดีตบรรณาธิการข่าววิทยุบีบีซีภาคภาษาไทยประจำกรุงลอนดอน

คุณสุนัย ผาสุก *
ผู้ประสานงานที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอชท์ ประจำประเทศไทย

คุณสมปรารถนา คล้ายวิเชียร *
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ตัวแทนจากกลุ่มสันติอาสา *

ดำเนินการอภิปราย อ.อังคณา พรมรักษา ผู้จัดการกลุ่มงานขยายผลฯ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อฯ

๑๑.๓๐ – ๑๒.๐๐ น. ตอบข้อซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น สรุปสาระสำคัญ และปิดแถลงผลการศึกษา

หมายเหตุ *วิทยากรอยู่ระหว่างการประสาน // ผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังการแถลงผลการศึกษาและเสวนา สามารถติดต่อได้ที่ คุณอมรรัตน์ (เจี๊ยบ) โทร.02-246-7440