ที่มา มติชน ที่มา - นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความจากพรรคประชาธิปัตย์ ซักค้านนายประจวบ (คณาปติ) สังขาว อายุ 40 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในฐานะพยานฝ่ายผู้ร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์เปิดให้ไต่สวนคดีเป็นนัดที่สาม เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายบัณฑิต : พยานรู้จัก ส.ต.ท.ทชภณ พรหมจันทร์ (ผู้ร้องคดีไซฟ่อนเงินไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ) นานหรือยัง
ประจวบ สังขาว
-----------
นายประจวบ : รู้จักมานานหลายปีแล้ว
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ที่ ส.ต.ท.ทชภณเป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่บุกมาปิดล้อม กกต.เพื่อทวงถามว่าเหตุใด กกต.ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์
นายประจวบ : เคยได้ยินเพียงข่าว
นายบัณฑิต : ที่พยานไปพบ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อดีตรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ดีเอสไอ เพื่อให้ปากคำ ส.ต.ท.ทชภณได้พาไปใช่หรือไม่ และยังให้เอกสารเกี่ยวข้องกับคดีนี้แก่ ส.ต.ท.ทชภณใช่หรือไม่ และ ส.ต.ท.ทชภณบอกว่าจะนำไปให้นายประดิษฐ์ (ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์) ดู เรียกเงินตามที่นายตำรวจคนหนึ่งแนะนำ
นายประจวบ : จำไม่ได้
นายบัณฑิต : เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2552 เวลา 10.00 น. พยานได้พบกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อพูดคุยคดีนี้ใช่หรือไม่
นายประจวบ : เวลาผ่านมาหลายปีแล้วจำไม่ได้
นายบัณฑิต : พยานได้ยอมรับกับนายตำรวจคนนั้นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจาก พ.ต.อ.สุชาติได้รับคำบอกเล่าจาก ส.ต.ท.ทชภณแล้วก็ได้แจ้งพยานให้ไปดีเอสไอและได้พบกับ พ.ต.อ.สุชาติ โดย พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ได้นำไปพบกับ พ.ต.อ.สุชาติที่ห้องสองต่อสอง ทันทีที่ พ.ต.อ.สุชาติพบพยานก็ได้จับมือพยานแล้วบอกว่า �จวบเรามาเป็นเพื่อนกันและขอให้คุณให้การพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์� และพยานยังได้เสนอว่าขณะนี้บ้านกำลังถูกยึดอยู่ ขอเงินให้ไปไถ่บ้านและยินดีจะช่วยเหลือโดย พ.ต.อ.สุชาติได้บอกว่าโอเคแต่ยังไม่ได้ให้เงินเพียงแต่ขอให้พยานให้การไป ก่อนและจะพาพยานไปหลบที่เซฟเฮาส์ที่พัทยาโดยมีตำรวจอารักขา 2 นาย ขอให้นายประจวบให้การตามจริง ผมเชื่อว่าคุณจำได้
นายประจวบ : ผมไม่ขอตอบ เพราะจะพาดพิงบุคคลที่สาม
นายบัณฑิต : ไม่ขอตอบคือถูกต้องใช่หรือไม่แต่กลัวจะไปพาดพิง พ.ต.อ.สุชาติใช่หรือไม่
นายประจวบ : ไม่ใช่ ผมไม่ขอตอบเพราะผมไปดีเอสไอครั้งแรกผมจำได้ว่า พ.ต.อ.สุชาติพาไปเจอลูกน้องที่ชื่อพี่ตู่ที่ดูแลคดีนี้อยู่ ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วเพราะเรื่องนี้นานแล้ว และไม่ได้มีการบันทึกเสียงด้วย
นายบัณฑิต : ที่ให้การดีเอสไอเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 ตามเอกสาร อยากถามนายประจวบว่าไปพบนายนิพนธ์ (บุญญามณี) นายประดิษฐ์ นายประชัย (เลี่ยวไพรัตน์) ที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ นายนิพนธ์และนายประดิษฐ์ได้ถามพยานว่าไปพบเขาเอาอะไรมาพูด ซึ่งพยานบอกว่าเขาให้การอย่างนั้น เขาในที่นี้คือ พ.ต.อ.สุชาติใช่ไหม
นายประจวบ : จำไม่ได้
นายบัณฑิต : พยานให้การต่อดีเอสไอครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 ว่าได้รับจ้างทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท ทีพีไอฯ โดยมีสัญญาระหว่างวันที่ 25 มกราคม 2548 ระหว่างนายประชัย กับบริษัท ทีพีไอฯจำนวน 9 แผ่นซึ่งสัญญาทั้ง 2 ฉบับเป็นสัญญาใน 8 โครงการที่บริษัท เมซไซอะฯโดยข้าพเจ้าได้ทำกับบริษัท ทีพีไอฯและนายธงชัย (ดลศรีชัย พยานอีกคน) ยังรับเอง ส่วน 6 สัญญารับมาทำเอง
นายประจวบ : ยืนยันถูกต้อง
นายบัณฑิต : สรุปใน 8 โครงการ นายประจวบทำ 6 โครงการ ให้ 2 โครงการนายธงชัยทำ และเมื่อเสร็จงานบริษัทซับเอเย่นต์ก็ยังไม่ได้รับเงิน ส่วน 2 โครงการนายประจวบมีความขัดแย้งกับนายธงชัยและขอให้นายธงชัยรับภาระเรื่อง ภาษีด้วยแต่นายธงชัยไม่ยอมจึงมีปัญหากันใช่หรือไม่
นายประจวบ : ประมาณนั้น เพราะมีเรื่องเงินเกี่ยวข้องกันอยู่
นายบัณฑิต : เมื่อพยานได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯมาแล้วที่พยานให้กับคนใกล้ชิดเพราะว่าพยานไม่อยากเปิดเผยความจริง เพราะพยานกลัวเจ้าหนี้ที่มีหนี้เยอะใช่หรือไม่
นายประจวบ : ไม่ขอตอบ
นายบัณฑิต : ที่พยานให้เงินนายธงชัย แล้วนายธงชัยก็ให้เงินกับญาติใกล้ชิด พยานก็ทราบว่านายธงชัยมีหนี้สินเยอะถูกฟ้องล้มละลายเหมือนพยาน นายธงชัยก็หลบเจ้าหนี้เหมือนกัน
นายประจวบ : ทราบ
นายบัณฑิต : กรณีพรรคประชาธิปัตย์สั่งจ่ายเช็ค 23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 ให้บริษัท เมซไซอะฯ และยังสั่งจ่ายบุคคลต่างๆ เนื่องจากบริษัท เมซไซอะฯได้ใช้เงินบริษัท ทีพีไอฯจ่ายเช็คให้ก่อนหน้านั้นและกันไว้ทำป้ายหาเสียงแบบแบ่งเขต และป้ายนโยบายพรรค 5 หมื่นป้าย เมื่อพรรคได้รับเงินกองทุนฯจาก กกต.มาและมีนายสุชาติ เกิดเมฆยื่นคำงานด้วย แสดงว่าทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ทำป้าย 2 กรณี
นายประจวบ : ยืนยันที่เคยให้การไว้ต่อ กกต.
นายบัณฑิต : เงินที่พยานได้รับจากพรรคประชาธิปัตย์ 23 ล้านบาท พยานไม่ได้อธิบายว่ารับแล้วให้คนใกล้ชิด จึงถามว่าเมื่อได้รับเงินแล้วให้คนไว้วางใจได้เพื่อหลบเจ้าหนี้ใช่หรือไม่ ที่ถูกยึดบ้านใช่หรือไม่ เพราะถ้าไว้ในบัญชีประจวบจะถูกยึดได้
นายประจวบ : ไม่ขอตอบเพราะนอกเหนือจากนี้เป็นประเด็นส่วนตัวของผม
นายบัณฑิต : เงินที่พยานได้รับ 6 โครงการจากนายประชัยและไม่เคยให้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือกรรมการบริหารพรรคคนใดใช่หรือไม่
นายประจวบ : ในเอกสารยืนยันไม่มี
นายบัณฑิต : รู้จัก พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์และอดีตประธานวุฒิสภาและเรียกว่าพ่อใช่หรือไม่
นายประจวบ : รู้จักแต่ไม่นาน
นายบัณฑิต : รู้จัก ร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ เป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.มนูญกฤตเมื่อครั้งเป็นประธานวุฒิสภาหรือไม่ เพราะ ร.ต.อ.อรรถกวีก็นับถือ พล.ต.มนูญกฤตว่าพ่อ
นายประจวบ : ทราบทุกคนก็เรียกว่าพ่อ
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.อรรถกวี กับ พล.ต.มนูญกฤต เคยแนะนำให้พยานไปพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552 ใช่หรือไม่
นายประจวบ : ไม่ขอตอบ
นายบัณฑิต : แต่พยานยอมรับเคยเจอ ร.ต.อ.เฉลิม 2 ครั้งก่อนที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 20 มีนาคม 2552 นายประจวบ : จำไม่ได้
นายบัณฑิต : ถามตรงๆ เอกสารทั้งหมดนอกจาก ร.ต.อ.เฉลิมได้รับจากดีเอสไอแล้ว ร.ต.อ.เฉลิมยังได้รับจากพยานใช่หรือไม่ที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นายประจวบ : ไม่ขอตอบ เพราะเกรงว่าอาจถูก ร.ต.อ.เฉลิมฟ้องผมได้
นายบัณฑิต : พยานเคยถูกธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทยฟ้องเป็นหนี้กว่า 10 ล้านบาทและไม่มีเงินชำระหนี้ ทำให้พยานเป็นบุคคลล้มละลาย และพยานยังถูกยึดบ้านที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
นายประจวบ : ครับ
นายบัณฑิต : ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2552 ได้มีการซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดโดย ร.ต.อ.อรรถกวีได้เป็นประมูลและซื้อบ้านของพยานได้ 4 ล้านบาท และให้นายประจวบอยู่บ้านหลังนั้นใช่หรือไม่
นายประจวบ : ครับ เพราะท่านสงสารผม เพราะเห็นผมประกอบกิจการ แต่ท่านก็บอกว่าพร้อมจะขายคืนให้ผมในภายหลัง
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.อรรถกวีซื้อบ้านให้พยาน ทางพยานไม่เคยมีหนี้บุญคุณด้วย ถามตรงๆ เงินที่ได้รับมาจำนวน 5 ล้านทางฝ่ายค้านให้มาและนำมาให้ ร.ต.อ.อรรถกวีในฐานะให้ข้อมูลฝ่ายค้านเพื่อเป็นการตอบแทนและให้ไปไถ่บ้านมา 4 ล้านบาท แต่ยังใส่ชื่อ ร.ต.อ.อรรถกวีอยู่ใช่ไหม
นายประจวบ : ไม่แน่ใจ เพราะ ร.ต.อ.อรรถกวีก็มีกิจการ
นายบัณฑิต : เหตุที่ ร.ต.อ.อรรถกวีไปซื้อที่ดินและบ้านจากการขายทอดตลาดในราคา 4 ล้าน พยานไม่ยอมใส่ชื่อพยานในบ้านดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าหนี้มายึดใช่ไหม และทราบหรือไม่ว่ามีการไถ่บ้านคืนในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 หลังผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมา 2 เดือน
นายประจวบ : ไม่ใช่ เพราะบ้านหลังนี้มีมูลค่า 7 ล้าน ผมรู้จัก ร.ต.อ.อรรถกวีเพราะผมเคยไปพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ให้ ร.ต.อ.อรรถกวีที่มีเพาเวอร์จัดการกับธนาคารได้ช่วยหน่อย เพราะถ้าหากไม่มีเงินไปไถ่ถอนคืน บ้านหลังนี้ก็เป็นของ ร.ต.อ.อรรถกวี
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ที่ ร.ต.อ.อรรถกวี จดทะเบียนพรรคประชาภิวัฒน์ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค พรรคดังกล่าวจะขึ้นมาแทนโดย ร.ต.อ.อรรถกวี เป็นรองหัวหน้าพรรค ส่วน นายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรคซึ่งเป็นลูกเขย พล.ต.มนูญกฤต
นายประจวบ : ไม่ทราบและไม่เป็นสมาชิกพรรคด้วย และผมเพิ่งทราบจากท่านที่บอกว่านายภณเป็นลูกเขย พล.ต.มนูญกฤต
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่พรรคนี้ไม่มีหัวหน้าพรรค เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป ร.ต.อ.อรรถกวีจะให้ พล.ต.มนูญกฤตมาเป็นหัวหน้าพรรค ทางพยานทราบหรือไม่
นายประจวบ : ไม่ขอตอบ เป็นเรื่องผู้ใหญ่
นายบัณฑิต : หลังจากพยานถูกฟ้องล้มละลาย พยานได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณาปติ สังขาวใช่ไหม
นายประจวบ : ครับ
นายบัณฑิต : ผมได้ถ่ายภาพบ้านพยานที่ จ.นนทบุรี ที่ได้ถูกขายทอดตลาดมามอบให้ศาลด้วยโดยจะยื่นเป็นบัญชีพยานต่อศาลไว้ โดยภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นภาพบ้านพยานหรือไม่ ซึ่งบ้านดังกล่าว ร.ต.อ.อรรถกวีประมูลได้มาให้พยาน
นายประจวบ : ใช่ครับ ยามให้ไปถ่ายได้อย่างไร (หัวเราะ)