ที่มา บางกอกทูเดย์
“มาเป็นแสน”
คำนี้ไม่รู้แปลว่า “แสนอาดูร” หรือ “แสนสาหัส” กับภาพการรวมตัวที่ประกาศคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มันเกิดอะไรขึ้นกับ “กลุ่มพันธมิตรฯ” ทุกวันนี้?
ในอดีตคนกลุ่มนี้มิใช่หรือ? ที่ออกมารวมตัวเต็มท้องถนน และขับไล่นายกรัฐมนตรีของไทยถึง 3 คน คือ ทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และ สมชายวงศ์สวัสดิ์
โดยเฉพาะภาพของมวลชนเพียง “ไม่กี่ร้อยคน” ในวันชุมนุมกันที่หน้าสภาฯ ทั้งที่มีการป่าวประเทศตามสื่อในเครือผู้จัดการ...ทั้งที่ไม่ถูก ศอฉ. จำกัดสิทธิ์เรื่องการใช้เครื่องขยายเสียง
แต่ทำไมนับวันมวลชนพันธมิตรฯ กลับยิ่งร่อยหรอลดน้อยลง...พวกเขาไปเห็นอะไร...หรือพวกเขาไปรู้อะไรมา?
ใครบ้างจะเชื่อว่า...ก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมประท้วงที่หน้ารัฐสภาวันนั้น ยังมีคนเห็น “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไปนั่งทานข้าวและหัวร่อต่อกระซิกกับ “คนในรัฐบาล” ซึ่งมีระดับเป็นถึง “รัฐมนตรี” ที่โรงแรมย่านสีลมแห่งหนึ่ง
จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นว่า...รัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังจะเล่นละครอะไรให้คนไทยได้ดูกันอีก...โดยเฉพาะละครที่ว่า “มวลชนเสื้อเหลือง” ไม่มีส่วนรู้เห็น...แต่เป็น “แกนนำ” ที่รู้เห็นเต็มใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นตลอดจนพระอาทิตย์ตกดินจึงเกิดปรากฎการณ์อย่างที่เห็น นั่นคือ “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก ต้องมานั่งพูดนั่งแพล่มแหกปากเรียกมวลชนผ่านทางช่อง ASTV จนแก้วเสียงแทบแตก...แต่สุดท้ายก็มีมวลชนมาเต็มที่เพียงเท่านั้น
ผู้สังเกตุการณ์รู้ได้ทันทีว่า “เจ๊ปอง” ออกอาการ “ไปไหนมา...สามวาสองศอก” เพราะหมดปัญญหาเรียกแขก...แต่จำเป็นต้องทำ เพราะมันคือหน้าที่
หญิงแกร่งแห่งพันธมิตรฯ เลยพูดยาวไปถึงเรื่อง “ทำคลอด”
ก็พันธมิตรฯ มิใช่หรือที่ทำคลอดให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ประคบประหงมจากเด็กที่คลานต้วมเตี้ยมจนมายืนสองขาได้แข็งแกร่ง
แต่ไม่ว่าจะออกลีลาและวาดลวดลายดุเด็ดเผ็ดมันอย่างไร...สุดท้ายเจ๊ปองก็นั่ง “ว้าเหว่” จ้อหน้าไมค์ เหมือนหญิงไร้ตัวตน
เหตุผล สำคัญของการดึงดูดมวลชนของแกนนำพันธมิตรฯ คงหนีไม่พ้นข้อมูลความเป็นจริงและความยึดมั่นใน “อุดมการณ์” และ “สัจจะ” ของการเป็นผู้นำ
“สนธิ ลิ้มทองกุล” รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ เคยแสดงพฤติกรรมอะไรให้คนหมู่มากได้เห็น...พวกเขามีสัจจะหรือไม่...พวกเขา น่าเชื่อถือหรือไม่...เชื่อว่า “มวลชนเสื้อเหลือง” (บางคน) มีคำตอบรู้อยู่แก่ใจ
อดีตมวลชนเสื้อเหลืองคนหนึ่ง ได้โพสต์ถ้อยคำระบายถึงความอัดอั้นตันใจว่าเพราะเหตุผลอะไร...ทำไมต้องสวมคอนเวิร์สแยกทาง?
เขากล่าวตอนหนึ่งว่า...ในฐานะที่เคยสวมเสื้อเหลือง ถือมือตบ เข้าร่วมต่อสู้กับพี่น้องมาตั้งแต่ปี 49 ก็ยังติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหม่อยู่ตลอด
แต่วันหนึ่งเห็น “คุณสนธิ” กำลังพูดอยู่ในจอทีวี และได้ปล่อยประโยคเด็ดว่า...
“ในอนาคตเราไม่อาจจะบอกได้ว่าจะมีการปฏิวัติอีกหรือไม่ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องรังเกียจการปฏิวัติ...”
นี่ คือคำพูดจากปากของคนที่เคยเป็นแกนนำพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้เพื่อ เรียกร้องประชาธิปไตย และทุกวันนี้โดยพฤตินัยก็ยังเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย
มันเหมือนถูกชกเข้าที่หน้าอย่างจัง...ทำไมคนเป็นแกนนำจึงไม่ยึดมั่นใน อุดมการณ์...หรือความเป็นจริงคือพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น
จบกัน...สำหรับความรู้สึกที่ยังรัก ยังผูกพันกับการได้ร่วมใส่เสื้อเหลือง ร่วมชูมือตบ อยู่กลางฝน ณ สะพานมัฆวานรังสรรค์
จบกัน...สำหรับความรู้สึกดีๆ ของการต่อสู้ของภาคประชาชนที่ต้องการสร้างการเมืองใหม่
และสำหรับผม...จบกัน! สำหรับคำว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
น่าเห็นใจกับความรู้สึกที่ต้องสูญเสียไปกับความทุ่มเทแรงใจในการยึดมั่น “อุดมการณ์” แต่หากมองใน “แง่ดี” ของเหรียญอีกด้าน...
เราคงได้เห็นความโลภโมโทสันของคน...ได้เห็นความเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์... ได้เห็นความเข่นฆ่าทำลายล้างต่อสู้กัน...ได้เห็นการตอบสนองความต้องการกิเลส และตัณหา
สุดท้ายก็เพื่อวิ่งตะเกียกตะกายหาใส่ปากใส่ท้องของตน
หาก แกนนำไม่รีบปรับปรุงตัว...แก้ไข...และเปลี่ยนแปลง...อีกไม่นาน พันธมิตรฯ คงเหลือแต่ชื่อ...ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผงในอากาศ...และการคาดหวังจะให้มวลชนกลับ มาเห็นด้วยและร่วมชุมนุมต่อสู้เป็นล้านเฉกเช่นอดีต
บางทีล้านนี้อาจต้องเข้าคลินิกไปปรึกษา “สมศักดิ์ โกศัยสุข”!!