ที่มา มติชน
โดย เกษียร เตชะพีระ
ฮาจูน ชาง กับหนังสือเล่มล่าสุด "23 เรื่องที่พวกเขาไม่บอกคุณเกี่ยวกับทุนนิยม" |
ใน บรรดานักเศรษฐศาสตร์เกาหลีวัยกลางคนที่ "โกอินเตอร์" แถมบังอาจทวนกระแสหลักของเสรีนิยมใหม่/โลกาภิวัตน์อย่างคงเส้นคงวามาแต่ เนิ่น ไม่มีใครเกิน ดร.ฮาจูน ชาง (ถ้าเรียกแบบไทยๆ ก็คงต้องสลับเอาแซ่ขึ้นหน้าว่า "ชางฮาจูน") อาจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ วัย 47 ปี (ดูเว็บไซต์ประวัติผลงานส่วนตัวของเขาได้ที่ www.hajoonchang.net/)
เขา ได้ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล มาต่อปริญญาโท-เอกด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ จบแล้วก็ถูกรับเข้าทำงานวิจัย-สอนหนังสือต่อที่นั่นเลย เป็นคนขยันมาก เขียนหนังสือมาแล้ว 13 เล่ม เป็นบรรณาธิการอีก 9 เล่ม ตีพิมพ์บทความลงวารสารวิชาการและเป็นบทตอนหนึ่งในหนังสือเล่มอีก 90 กว่าบท ได้รางวัลเศรษฐศาสตร์ระดับอินเตอร์มาแล้ว 2 รางวัล ได้แก่รางวัลกุนนาร์ มีร์ดาลสำหรับเอกสารเฉพาะเรื่องดีที่สุดประจำปี ค.ศ.2003 จากสมาคมเศรษฐศาสตร์การเมืองวิวัฒนาการแห่งยุโรป และรางวัลวาสสิลี เลออนติเอฟสำหรับการขยายพรมแดนความคิดเศรษฐศาสตร์ให้ก้าวหน้าประจำปี ค.ศ.2005 จากมหาวิทยาลัยทัฟส์ในอเมริกา หนังสือขายดีเป็นที่ฮือฮาของเขาก็เช่น: -
-Kicking Away the Ladder - Development Strategy in Historical Perspective (2002)
-Reclaiming Development - An Alternative Economic Policy Manual (2004 ร่วมเขียนกับ Ilene Grabel)
-Bad Samaritans - Rich Nations, Poor Policies, and the Threat to the Developing World (2007) และล่าสุด
-23 Things They Don"t Tell You About Capitalism (2010)
ใน โอกาสประธานาธิบดีบารัค โอบามา เข้าร่วมประชุดสุดยอดเอเปคที่โซลและโต้แย้งปกป้องมาตรการ Quantitative Easing 2 ("ผ่อนคลายเชิงปริมาณ" โดยธนาคารกลางสหรัฐปั๊มเงินอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ เข้าไปกว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ชั้นดีอื่นๆ "กดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว" ส่งผลลดค่าเงินดอลลาร์ลง) จากการถูกนานาชาติโวยวายโจมตีว่าเป็นการทำสงครามเงินตรา
แต่ในทางกลับกันโอบามาก็ไม่สามารถหาพวกมาร่วมกดดันจีนให้ขึ้นค่าเงินหยวนได้เมื่อต้นเดือน พฤศจิกายน ศกนี้
ดร.ฮาจูน ชาง ได้ให้สัมภาษณ์รายการทีวี DemocracyNow! ของอเมริกาเพื่อไขข้อข้องใจทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อ 12 พฤศจิกายน ศกนี้ว่า (www.democracynow.org/2010/11/19/economist_ha_joon_chang_on_currency): -
ฮวน กอนซาเลส : ทีนี้ในแง่การถกเถียงเรื่องเงินตรา เห็นได้ชัดว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในโลกได้กล่าวอ้างในเวทีระหว่างประเทศมาหลายปีแล้วว่าจีนไม่ยอมกำหนดค่าเงิน ตราของตนตามมูลค่าแท้จริงของมัน กระนั้นก็ตามมาตอนนี้ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐเริ่มดำเนินการกว้านซื้อ พันธบัตรรัฐบาลเพิ่มและส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ต่ำลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จู่ๆ ข้อกล่าวหาอันนั้นกลับกำลังถูกตั้งกับสหรัฐเอง ใครเป็นฝ่ายถูกล่ะครับทีนี้? และบทบาทของประเทศตลาดเกิดใหม่ในโลกที่สาม รวมทั้งสหภาพยุโรปในการถกเถียงนี้เป็นอย่างไร?
ฮาจูน ชาง : ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะครับว่าทำไมชาวอเมริกันถึงหงุดหงิดกับความล่าช้า ในการปรับตัวของเงินตราสกุลจีน แต่เอาข้อเท็จจริงให้ถูกต้องแม่นยำก่อนดีกว่าว่ามันก็ถูกปรับอยู่นะครับ เพียงแต่ออกจะช้าเอามากๆ
ดังนั้น มันก็ไม่เชิงว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรจีนก็ไม่ยอมขยับเอาเลยทีเดียวแต่ก็ใช่ ล่ะครับว่าเบื้องหน้าสภาพความไม่สมดุล (ทางเศรษฐกิจ) ที่สหรัฐเผชิญอยู่นั้น มันช่างดูอืดอาดล่าช้าทรมานใจเสียเหลือเกิน
แต่มองในมุมจีน คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้นะครับว่า ประการแรก พวกเขาไม่ต้องการปรับแบบฉุกละหุกฉับพลันอย่างที่ญี่ปุ่นต้องทำกับเงินตรา สกุลของตัวในคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ในสิ่งที่เรียกว่าข้อตกลงพลาซ่า ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดฟองสบู่การเงินมหึมาตามมาและทำลายเศรษฐกิจญี่ปุ่นลง ดังนั้น จีนจึงต้องการทำแบบช้าๆ
ประการที่สอง ก็อย่างที่คุณเองเพิ่งบอกตะกี้ ไม่ใช่มีแต่จีนที่ "บิดเบือนฉวยใช้" ค่าเงินของตน การที่ธนาคารกลางสหรัฐปล่อยเงินไหลท่วมเศรษฐกิจอเมริกันก็เป็นการบิดเบือน ฉวยใช้ค่าเงินตราเหมือนกันนั่นแหละ ฉะนั้นก็ชอบแล้วที่จีนจะขัดเคือง
ทว่า ในอีกแง่หนึ่ง ปัญหาก็คือนับแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา เราอยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่าประเทศที่ขาดดุลเท่านั้นที่ต้องปรับตัว ความจริงประเทศที่เกินดุลก็ควรต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน แต่ใน 30 ปีหลังมานี้ ความคิดหลักที่เป็นเจ้าเรือนก็คือใครก็แล้วแต่ที่ใช้จ่ายเงินเกินตัวต้องถูก ลงโทษ
ไอ้นี่แหละครับเป็นตรรกะที่อยู่เบื้องหลังการลงโทษ บรรดาประเทศโลกที่สาม ในภาวะวิกฤตหนี้สิน (ต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980) รวมทั้งเศรษฐกิจของเหล่าประเทศเอเชีย (ในวิกฤตต้มยำกุ้ง) และเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา (ค.ศ. 2001-02) ในเวลาต่อมา
ฉะนั้น ในความหมายนั้น ไอ้สิ่งที่สหรัฐได้เพียรพยายามยัดเยียดให้กับโลกก็กำลังกลับมาหลอกหลอนตัว เองแล้วตอนนี้ เพราะสหรัฐเองนั่นแหละที่คอยสะแหลนแจ๋นออกหน้านำเสนอตรรกะที่ว่าประเทศขาด ดุลเท่านั้นที่ต้องปรับตัว และตอนนี้ประเทศอื่นๆ เขาจึงชอบธรรมที่จะพูดบ้างว่า "แล้วทีนี้ทำไมลื้อไม่ทำอย่างเดียวกันมั่งล่ะ?"
กอนซาเลส : แต่ในแง่ของเงินตรา - ทุนอเมริกันที่กำลังไหลบ่ามุ่งหน้าข้ามน้ำข้ามทะเลเพราะรัฐบาลสหรัฐกดอัตรา ดอกเบี้ยที่นี่ไหลรูดต่ำลง - ส่งผลให้ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่หลายประเทศที่แน่ๆ คือบราซิล, อินเดียและที่อื่นๆ กำลังพากันหันมาหาทางป้องกันแข็งขันยิ่งขึ้นไม่ให้เงินเก็งกำไร
โดย พื้นฐานพวกนี้ไหลเข้ามาในเศรษฐกิจของตน คุณคิดว่ามันจะพัฒนาไปอย่างไรและยุโรปซึ่งเป็นพลังอำนาจยักษ์ใหญ่อีกพลัง หนึ่งในเวทีเศรษฐกิจโลกจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้การถกเถียงระหว่างบรรดาประเทศ ตลาดเกิดใหม่กับสหรัฐในเรื่องการควบคุมเงินตราอย่างไร?
ชาง : ก่อนอื่นต้องมองปัญหานี้ในมิติที่ถูกต้องเหมาะสมครับ สาเหตุที่ธนาคารกลางสหรัฐต้องดำเนินการผ่อนคลายเชิงปริมาณขนานใหญ่ก็เพราะ ระบบการเมืองอเมริกันไม่สามารถตกลงกันให้ใช้จ่ายงบประมาณขาดดุลสืบต่อไป ดังนั้น ภาระการปรับตัวทั้งหมดจึงตกหนักอยู่กับนโยบายการเงินและนี่แหละครับคือราก เหง้าของปัญหา ฉะนั้น ในแง่หนึ่งการผ่อนคลายเชิงปริมาณก็อาจจะไม่ใหญ่โตขนาดนั้นถ้าหากฉากการ เมืองอเมริกันเป็นไปในลักษณะที่สามารถใช้งบประมาณรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ไปได้ แต่ฉากที่ว่านั้นคงจะไม่เกิดขึ้นหรอก เราก็เลยติดแหง็กอยู่กับสถานการณ์แบบนี้
คราวนี้ในเมื่ออัตรา ดอกเบี้ยต่ำและมีสภาพคล่องปริมาณมหาศาลถูกปล่อยเข้าสู่ระบบ, เงินเหล่านี้จำนวนมากกำลังไหลเข้าไปสู่กลุ่มประเทศที่เรียกกันว่าเศรษฐกิจ ตลาดเกิดใหม่ - ซึ่งก็คือประเทศกำลังพัฒนาระดับกลางนั่นเอง - ส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นตกอยู่ในสภาพหมดหวังเลือดเข้าตาจริงๆ บางประเทศเห็นค่าเงินของตนเพิ่มสูงลิ่ว ซึ่งทำให้ส่งสินค้าออกลำบาก และประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็กำลังเริ่มจัดวางมาตรการควบคุมเงินทุนแล้วตอน นี้ นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจมากเลยนะครับ เพราะไม่นานมานี้เองการควบคุมเงินทุนยังถือเป็นบาปมรณะอยู่เลย มาบัดนี้บางประเทศหรือแม้กระทั่งไอเอ็มเอฟเองก็ยังบอกว่า "บางทีเราควรจะวางมาตรการควบคุมเงินทุนซะ เพื่อว่าทุนเก็งกำไรจะได้ไม่ทำให้เศรษฐกิจของคุณไร้เสถียรภาพ"
กอนซาเลส : เวลาบอกว่า "ควบคุมเงินทุน" คุณหมายถึงอะไรกันแน่ครับ? เก็บภาษีเงินลงทุนและทุนการเงินที่เข้ามาจากนอกใช่ไหม? หรือจำกัดการถอนทุนกลับออกไป?
ชาง : มีชุดมาตรการที่จะดำเนินได้หลายอย่างใช่ครับประเภทที่หนักหน่วงที่สุดได้แก่ การที่คุณจะต้องขออนุญาตรัฐบาลเวลานำเงินเข้ามา และต้องขออนุญาตเวลาคุณเอาเงินออกไปเช่นกัน มาตรการแบบนั้นยังหายากสักหน่อย แต่หลายประเทศกำลังวางมาตรการอย่างเช่นข้อกำหนดเรื่องเงินฝาก หมายความว่าเวลาคุณนำเงินเข้ามา คุณต้องแบ่งเงินออกมาฝากไว้มีมูลค่าเท่ากับประมาณ 30 ถึง 50% ของเงินของคุณ ซึ่งคุณจะได้คืนเมื่อออกจากประเทศหลังเวลาผ่านไปปีสองปี แต่ถ้าคุณกลับออกไปก่อนกำหนดละก็ คุณจะเสียเงินที่ฝากไว้ไป....
กอนซาเลส : นั่นเพื่อเล่นงานการเก็งกำไรค่าเงินใช่ไหมครับ?
ชาง : ใช่แล้วครับ และอีกบางประเทศก็ได้เริ่มเก็บภาษีผลกำไรจากการลงทุนเอากับกระแสเงินทุนเก็ง กำไรเหล่านี้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามาตรการที่กำลังถูกใช้นี่น่ะหลากหลาย แต่ทิศทางแน่วแน่แจ่มชัด กล่าวคือไม่อาจจัดการกับเงินเก็งกำไรไหลเข้าเหล่านี้โดยกลไกตลาดได้ เพราะว่า - ที่พูดนี่ก็เพื่อให้เห็นมิติของมุมมองนะครับ - แม้แต่ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกำลังพัฒนาก็ยังมีมูลค่าไม่ถึง 1 หรือ 2% ของตลาดหุ้นสหรัฐเลย ดังนั้น เงินทุนหยดน้อยๆ ที่หยาดย้อยออกมาจากสหรัฐก็จะกลับกลายเป็นกระแสน้ำไหลบ่าเข้าท่วมท้น เศรษฐกิจเหล่านี้ ดังนั้น พวกเขาจึงจำต้องมีกลไกป้องกันตัวทั้งหลายแหล่ที่ว่ามา.....
กอนซาเลส : แล้วในแง่บทบาทของจีนกับเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ของเอเชียที่กำลังเติบโต รวมทั้งในแง่วิกฤตการเงิน คุณเห็นบทบาทของจีนแค่ไหนอย่างไรบ้างในหลายปีข้างหน้านี้?
ชาง : จีนเป็นกรณีพิเศษเฉพาะมากในความหมายที่ว่าตอนนี้กล่าวโดยทางการจีนเป็น เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับสองในโลกแล้ว แต่ในแง่รายได้ต่อหัวประชากร จีนยังอยู่แค่ระดับ 1 ใน 10 ของสหรัฐเท่านั้น ดังนั้น จีนก็เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญ และต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่แน่นอนเพื่อความสมดุลของโลก ฯลฯ
ทว่า กล่าวในแง่ภายในประเทศแล้ว จีนมีคนจนจำนวนมาก, มีรัฐสวัสดิการที่อ่อนแอและระบบการเมืองที่เปราะบางอย่างยิ่ง เสียจนกระทั่งเอาเข้าจริงจีนไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เรียกร้องต้องการการปรับตัวภายในประเทศอย่างมากมายได้ ที่เรื่องมันยุ่งก็ตรงนั้นล่ะครับ ตอนที่สหรัฐอยู่ในฐานะคล้ายจีนตอนนี้ (คือเป็นมหาอำนาจอันดับสองของโลก)
เมื่อสมัยปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 19 ต่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น ระดับรายได้ของสหรัฐใกล้เคียงกับของประเทศที่ครองความเป็นเจ้าสมัยนั้นคือ อังกฤษ แต่ทุกวันนี้ เรากำลังประสบพบเห็นมหาอำนาจที่กำลังจะขึ้นครองความเป็นเจ้ารายใหม่ต่อไปภาย หน้า (หมายถึงจีน) ซึ่งยากจนขัดสนกว่ามหาอำนาจที่ครองความเป็นเจ้าอยู่ตอนนี้ (หมายถึงสหรัฐ) ณ ระดับรายได้แค่หนึ่งในสิบของฝ่ายหลังเท่านั้นเอง
เราก็เลยมีปัญหาใหญ่ล่ะครับเรื่องนั้นน่ะ