ที่มา ประชาไท
(Thanks to Liberal Thai blog for translation. Original English language version is here: http://bit.ly/96kT67)
เช่น เดียวกับนักข่าวต่างชาติอีกหลายคน ผลจากการรายงานข่าวเกี่ยวกับวิกฤติการเมืองในประเทศไทย ผมถูกกล่าวหาเป็นประจำว่า ซื่อ งมโข่ง และขาดความสามารถที่จะทำความเข้าใจถึงสถานการณ์อันซับซ้อนได้
แต่ก็ไม่เป็นอะไร แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของผมยังเรียกผมว่าปัญญานิ่มอยู่บ่อยๆ แล้วปกติก็เป็นจริงอย่างนั้นนะ
แต่ สื่อต่างชาติกำลังเผชิญกับการถูกกล่าวหาในเรื่องอื่น: ถูกกล่าวหาว่าเราตกเป็นเหยื่อ และถูกล้างสมองจากแผนปฏิบัติการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อบางอย่างที่สร้างความงม งายอย่างได้ผลของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือหนักไปกว่านั้น กล่าวหาว่าเรารับเงินจากทักษิณเพื่อเร่ขายเรื่องโกหกใส่ร้ายกับสิ่งที่กำลัง เกิดขึ้นในประเทศไทย
เรื่องนี้ถือว่าเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี ใครที่คิดว่าทักษิณจะมีสิทธิติดสินบนต่อการบริหารบริษัทสื่อต่างชาติใน ประเทศไทยเพื่อทำการบิดเบือนสถานการณ์ เป็นแน่ชัดว่า ผู้นั้นมีความเข้าใจอันจำกัดว่าอุตสาหกรรมสื่อของโลกทำงานกันอย่างไร และใครที่คิดว่านักข่าวที่เสี่ยงชีวิตเพื่อดำรงหลักการแห่งความยุติธรรม และความซื่อสัตย์จะถูกอดีตมหาเศรษฐีที่กำลังลี้ภัยซื้อตัวได้นั้น เป็นที่แน่ชัดว่า ผู้นั้นมีเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์อยู่อย่างจำกัด
แต่ แทนที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่อง และข้อผิดพลาดที่มีมากมายเมื่อผู้ตั้งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น โต้เถียงกัน ผมจึงต้องเล่าเรื่องระหว่าง ทักษิณและตัวผม
ผมมากรุงเทพ ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ ในฐานะผู้ช่วยสำนักงานข่าวรอยเตอร์ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังค่อยๆฟื้นตัวจากบาดแผลของวิกฤติฟองสบู่ของเอเชียในปี ๒๕๔๐/๒๕๔๓ และอำนาจทางการเมืองใหม่เพิ่งปรากฏโฉมขึ้นมา – ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยของเขา (ชื่อพรรคการเมืองที่ทักษิณเลือกขึ้นมา โดยเฉพาะในเวลานี้ดูเหมือนเป็นการตั้งเพื่อประชด ในแง่ความแตกแยกที่เต็มไปด้วยความขมขื่น และความเกลียดชัง ซึ่งได้อุบัติขึ้นมาในสังคมไทย)
ผมเป็นผู้ทำข่าวการผงาดในทางการ เมืองของทักษิณ คำมั่นในยามหาเสียง และการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งไทยรักไทยเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวในประเทศไทยที่กวาดที่นั่งมากที่สุด
ใน วันนี้ ทักษิณถูกวาดภาพในประเทศไทยว่าเป็นปีศาจอัจฉริยะ ผู้บงการร่างเงาด้วยทุนทรัพย์อันมหาศาล เป็นเพียงคนเดียวที่เกือบจะลากประเทศเข้าสู่ความหายนะ และความล่มจม แต่เพียงแค่ไม่กี่เดือนแรกที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯ เขาได้แตกต่างไปจากตัวแทนที่น่าขบขันเหล่านี้ ห่างไกลเกินกว่าที่จะดูเป็นปีศาจอัจฉริยะ ทักษิณสร้างความประทับใจ แทนที่จะเป็นผู้ที่ไม่มีความฉลาดเอาเสียเลย
มารยาท และความเปิ่นได้สร้างรอยด่างพร้อยให้กับภาพพจน์ของทักษิณ และจากที่แย่ กลายเป็นย่ำแย่อย่างหนักเมื่อสมาชิกวุฒิสภาที่น่าจะประสาทอ้างว่าได้พบขุม ทอง และพันธบัตรสหรัฐฯที่ถูกทหารญี่ปุ่นที่หลบหนีนำมาทิ้งไว้ปลายสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ โดยซ่อนไว้ในโบกี้รถไฟแวดล้อมไปด้วยกระดูกของทหารญี่ปุ่น ซึ่งทำฮาราคีรี และหนีลึกลงไปในถ้ำใกล้จังหวัดกาญจนบุรี
ส่วนใหญ่ของ ประเทศมองการอ้างเหล่านี้ว่าเป็นการแต่งเติมรสชาติ แต่ไม่ใช่สำหรับทักษิณ ทักษิณตื่นเต้นขนาดถึงกับรีบรุดไปยังถ้ำด้วยเฮลิคอปเตอร์ และต่อมาประกาศว่าเขาจะใช้ดาวเทียมหาตำแหน่งสถานที่ซ่อนขุมทรัพย์นั้น คุณอ่านรายงานข่าวตำนานเรื่องนี้ได้จาก ที่นี่ และ ที่นี่
อะไรที่ เป็นประเด็นสำคัญซึ่งแขวนอยู่ในช่วงเดือนต้นๆของรัฐบาลทักษิณ นั่นคือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ใกล้จะมาถึงว่านายกฯจะถูกห้ามเล่นการ เมืองห้าปีหรือไม่ ในข้อหาปิดบังทรัพย์สินบางส่วน นี่เป็นบททดสอบที่ยากลำบากสำหรับประชาธิปไตยของไทย – เป็นเรื่องค่อนข้างแน่ชัดกับใครก็ตามซึ่งว่ากันตามหลักฐานแล้วว่า ทักษิณพยายามปิดบังทรัพย์สินบางส่วนของเขา และทักษิณยังโอนหุ้นจำนวนมหาศาลให้กับคนใช้ และคนขับรถ แต่เขาเพิ่งได้รับชัยชนะจากเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นเป็นประวัติศาสตร์ชาติ ไทย ศาลต้องการจะห้ามนายกฯซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมหาศาลจริงๆหรือ แม้ว่าจะพบว่าเขาได้กระทำผิดในข้อหาที่มีอยู่
นั่นหมายถึงว่า นอกจากคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งที่ทักษิณได้รับมาอย่างถล่มทลายแล้ว เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทักษิณที่จะเลี่ยงความผิดพลาดซึ่งจะทำลายคะแนนนิยม เพราะนั่นจะทำให้ศาลกล้าที่จะตัดสินเอาความผิดกับเขาได้
ผมชี้ให้เห็นจุดนี้จากการวิเคราะห์เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔:
นายกฯ ทักษิณ ชินวัตรแห่งประเทศไทยเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่อาจจะต้องถูกเด้งจากตำแหน่ง ในข้อหาซุกหุ้น ในขณะที่เสียงสนับสนุนจากมหาชนซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการต่อสู้กับคดีซุกหุ้นคดีแล้วคดีเล่า
การแก้ต่างในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. นั้นทักษิณจะต้องเจอศึกสองด้าน – ไม่เพียงต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญ แต่ตกเป็นจำเลยต่อความเห็นของคนทั้งประเทศ
ทักษิณถูกโจมตีจากศึกทั้ง สองด้านอย่างรวดเร็ว หัวหน้าแผนกวิจัยของบริษัทนายหน้าต่างชาติในกรุงเทพคนหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่แน่ๆก็คือ การดื่มน้ำผึ้งพระจันทน์มันหมดไปแล้ว” “บรรยากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
นักวิเคราะห์ยังได้ถกเถียงถึงความผิดพลาดของทักษิณเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงเรื่องแหกตาขุมทรัพย์ของชาวญี่ปุ่น:
เรื่องที่ทำให้ทักษิณเสียเครดิตล่าสุดนี้ จากเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับตำนานกรุสมบัติในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
สมาชิก วุฒิสภาคนกล้ากล่าวว่า ขุมทรัพย์หลายหมื่นล้านดอลลาร์เป็นทั้งทอง และพันธบัตรสหรัฐฯที่กองทัพญี่ปุ่นทิ้งไว้ถูกขุดพบในถ้ำลึกเข้าไปในป่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอ้างเรื่องเช่นนี้ และหนังสือพิมพ์ต่างประโคมข่าวว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
แต่ทักษิณถือเอา รายงานนี้เป็นจริงเป็นจังพอที่จะบินโดยเฮลิคอปเตอร์ไป สำรวจถ้ำเมื่อวันศุกร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนกล่าวว่า การขุดสมบัติขึ้นมาจะมีค่าพอที่จะนำมาชำระหนี้สินของชาติที่มีถึง ๒๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และนำมาช่วยกู้วิกฤติของชาติที่ย่ำแย่เพราะเศรษฐกิจ
ด้วยพาด หัวข่าวที่มีแต่เสียงเย้ยหยัน ต่อมารัฐบาลได้ออกมายอมรับว่าการค้นพบนั้นเกือบจะเป็นข่าวโคมลอย เนชั่นกล่าวว่า ทักษิณตกเป็น “ตัวตลกอินเตอร์”
รุ่ง เช้าของวันต่อมา อย่างเคย ผมจับแท๊กซี่ใกล้ที่พักของผมในซอยสมคิดไปยังสำนักงานรอยเตอร์ที่ตึกอื้อจื่อ เหลียง ถนนพระราม ๔ คนขับฟังรายการวิทยุคุยกับคนฟังที่โทรเข้ามา ในขณะที่ภาษาไทยของผมในเวลานั้นแค่งูๆปลาๆ เป็นที่แน่ชัดว่าคนฟังที่โทรเข้ารายการกำลังแสดงความโกรธเกี่ยวกับเรื่อง อะไรบางอย่าง ฟังน้ำเสียงดูแล้วน่าจะไม่มีความสุข ไม่มีความสุขแน่ๆ
ผมเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น เมื่อผมได้ยินบางคนพูดถึงรอยเตอร์
ผมยิ่งต้องตั้งใจฟังหนักขึ้นไปอีก เมื่อผมได้ยินบางคนพาดพิงถึง แอนดรูว์ มาร์แชล
และ ในขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่ผมสามารถบอกได้ว่า พวกเขาโทรเข้ารายการวิทยุนี้ต้องไม่พูดอะไรที่ว่าผมเป็นคนที่วิเศษแน่ๆ ผมรู้จักอยู่สองคำคือ “ไม่ดี” – และดูเหมือนคนจะใช้คำนี้กันมาก
ผมถึงสำนักงานรอยเตอร์ แล้วพบว่า พนักงานกำลังหน้าซีดมองพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์มติชน:
ตัวหนังสือกลางหน้าแรก เป็นพาดหัวข่าวว่า “สื่อเทศประโคม “แม้ว” ตลกอินเตอร์”
แม้วเป็นชื่อเล่นของทักษิณ ในกรณีนี้ สื่อเทศหมายถึงผม
และ ในขณะเดียวกันผมไม่เรียกทักษิณว่าตลกอินเตอร์แน่ๆ ดูเหมือนมติชนจะแปลบทความของผมอย่างค่อนข้างหละหลวม และได้ฉวยเอาคำพูดมาจากเนชั่นว่าทักษิณได้กลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ
ในเนื้อข่าวยังคงกล่าวถึงต่อ ซึ่งข่าวเป็นภาษาไทยอ่านได้จากที่นี่
หาก ข่าวนี้ลงตีพิมพ์ในปี ๒๕๕๓ สื่อไทยส่วนใหญ่คงยกให้ผมเป็นวีรบุรุษ และคงมีคนที่เล่นเฟสบุ๊คจำนวนนับหมื่นร้องเรียกว่า “เราเกลียด แดน รีเวอส์ แต่เรารัก แอนดรูว์ มาร์แชล”
แต่นี่เป็นปี ๒๕๔๔ คนไทยส่วนใหญ่จะสนับสนุนทักษิณ แม้แต่ผู้ซึ่งไม่สนับสนุนเขายังไม่ขำไปด้วย เมื่อรู้ว่านักข่าวต่างชาติจองหองบางคนที่ถูกกล่าวหานั้นมาเรียกนายกฯของเขา ว่า เป็นตัวตลก
หัวหน้าของผมกำลังตื่นตระหนก เสียงโทรศัพท์ในห้องข่าวดังขี้นอย่างไม่ขาดสาย รัฐบาลมีหนังสือประณามข่าวของผม ประชาชนเกือบทั้งหมดในราชอาณาจักรไทย ดูเหมือนว่ากำลังโกรธแค้นในตัวผม
ยิ่งเวลาล่วงเลยไป เรื่องยิ่งเลวร้ายหนักขึ้น ทักษิณถูกตั้งคำถามจากนักข่าวไทยซึ่งต้องการจะรู้ว่า เขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่รอยเตอร์ตั้งฉายานามว่าเป็นตัวตลก เป็นที่รู้กันจนถึงเวลานี้ว่า ทักษิณไม่ใช่เป็นแฟนตัวยงของนักข่าว นอกเสียจากว่านักข่าวจะเห็นด้วยกับเขาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา ทักษิณไม่เชี่ยวชาญในการรับมือกับการวิจารณ์ และเขาเป็นคนขี้หงุดหงิด บุคลิกอุปนิสัยทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายอย่างเพียงพอที่ทักษิณแสดงความเห็น อย่างมีสีสรรของทักษิณกับตัวผม ในเวลานั้นทีวีได้นำออกมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในสำนักงานของรอยเตอร์ในกรุงเทพได้นั่งจับจ้องอย่างตาไม่กระพริบ ผู้ร่วมงานคนไทยของผมช่วยคอยตามเก็บความเห็นของทักษิณ และแปลให้ผม: “ทักษิณเพิ่งพูดว่า แอนดรูว์ มาร์แชลเป็นนักข่าวที่ขาดจรรยาบรรณ…เขาพูดอีกว่า หากเขามีเวลา เขาจะบุกไปรอยเตอร์แล้วอัดผม…เขาพูดต่อว่า สื่อต่างชาติสมรู้ร่วมคิดต่อต้านทักษิณ และคุณ แอนดรูว์ มาร์แชล ร่วมอยู่ในนั้นด้วย….”
วันรุ่งขึ้น เรื่องนี้ยังคงประโคมเป็นข่าวใหญ่ทั้งในทีวี และพาดหัวหน้าแรกหนังสือพิมพ์ นี่เป็นข่าวพาดหัวจากแนวหน้าเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน
หัวข้อข่าวกล่าวว่า “ทักษิณฉุนถูกสะกิดแผล ขู่ทุบสำนักข่าวรอยเตอร์”
ผม อาจเป็นนักข่าวคนแรกที่ได้รับเกียรติอย่างชวนให้น่าแคลงใจ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวไทย หรือนักข่าวต่างชาติต่างถูกทักษิณเลือกมาวิจารณ์เป็นคนๆไปต่อหน้าสาธารณะ และจนถึงเวลานี้เราทราบกันแล้วว่า ผมไม่ใช่เป็นคนสุดท้าย
ทักษิณไม่ เคยมาจัดการผม แต่ในหลายปีต่อมา รายงานข่าวของผมยิ่งสร้างความรำคาญให้ทักษิณหลายต่อหลายครั้ง ผมเสนอข่าวทักษิณถูกศาลรัฐธรรมนูญยกฟ้องอย่างเหลือเชื่อ หลังจากผู้พิพากษาสองคนเปลี่ยนคำตัดสินในนาทีสุดท้าย โดยอ้างว่าได้รับความกดดันจากผู้มีอำนาจ ผมเสนอข่าวการคุกคามสื่ออย่างต่อเนื่อง ทั้งสื่อไทย และสื่อสากล เมื่อพวกเขาถูกโจมตีอย่างหนัก ผมรายงานข่าวความเสื่อมอย่างยิ่งในระบบการตรวจสอบ และการถ่วงดุลอำนาจที่ประเทศไทยนำมาใช้เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางผิด หากต่างคนต่างทำ ย่อมจะถูกทำลาย และพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ผมเห็นกบฏมุสลิมภาคใต้ของไทยขยายตัวอย่างมั่นคง จนยากที่จะควบคุมหลังจากนโยบายที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ผมรายงานการที่ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายย่อยถูกกระทำวิสามัญฆาตกรรม ในขณะที่ผู้ค้ารายใหญ่ที่มีอำนาจยังคงสาวไปไม่ถึงตัว ผมนั่งมองการทุจริตที่เฟื่องฟู
ในปลายปี ๒๕๔๕ สงครามในตะวันออกกลางดูจะเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ผมถูกส่งตัวไปทำข่าวที่คูเวตในขณะที่สหรัฐฯกำลังเตรียมพร้อมที่จะบุกอิรัก หลังจากซัดดัม ฮุสเซนถูกกองทัพสหรัฐฯโค่นอำนาจลง ผมได้รับตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ในแบกแดด ผมอยู่ที่นั่นสองปีในขณะที่ประเทศเคลื่อนเข้าสู่ภาวะนองเลือด และการจลาจล ชีวิตนักข่าวตกอยู่ในสภาพที่ต้องเสี่ยงตายมากขึ้น ข่าวของเราโดนทั้งถูกประณาม และถูกโจมตีเสมอ ส่วนใหญ่จากเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯซึ่งยืนยันว่าการฟื้นฟูอิรักกำลังดำเนิน ไปด้วยดี และเป็นผู้ที่ไม่พอใจกับความจริงที่เราเสนอให้เห็นความรุนแรงอย่างน่า สะเทือนใจในการทำลายล้างประเทศ และในช่วงปีแรกๆของการยึดอิรัก ลักษณะการทำงานอย่างมือไม่ถึงที่น่าใจหาย และมีการทุจริต
บางครั้งจะ เกิดความเครียดจากการเป็นหัวหน้าสำนักงานของรอยเตอร์ที่ต้อง เข้าไปทำข่าวอยู่ใน “พื้นที่สีแดง” กลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความหฤโหด ต้องเผชิญกับความกดดันขนาดหนัก และยังถูกระแวงจากผู้เชี่ยวชาญในห้องแอร์ห่างออกไปนับพันๆไมล์ซึ่งคอยกล่าว หาเราเป็นประจำว่าบิดเบือน และขาดสำนึก แต่ผมเรียนรู้ว่า การทำข่าวที่ถูกต้องย่อมขัดกับผู้มีอิทธิพลอันทรงอำนาจในทุกที่ และเป็นปกติที่จะสร้างความโกรธ และการถูกวิจารณ์ การตอบโต้เพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ คือการทำงานของคุณให้ดีที่สุด รักษาเกียรติ และหลักการของคุณ และยืนหยัดในเรื่องที่คุณเสนอ
ทุกสอง เดือนหรือประมาณนั้นที่ผมได้พักจากแบกแดด และผมจะกลับมาใช้เวลาในประเทศไทยเสมอ เพื่อนสนิทที่สุดของผมบางคนในโลกนี้อยู่ที่นี่ และในเวลานั้น ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่ผมจะพัก และผ่อนคลายความเครียด และความน่ากลัวจากอิรัก ยังคงเป็นความรู้สึกเหมือนสวรรค์บนดินในสมัยนั้น ผมต้องเป็นพยานกับการก่อตัวแห่งพายุของความแตกแยกทางสังคม และทางการเมืองในประเทศไทย และการอุบัติของการเคลื่อนไหวของ “เสื้อเหลือง” และการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อขับไล่ทักษิณ และล้มเหลวที่จะสมานแผลของประเทศ
ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ ผมกลับมาประจำที่เอเชีย ตำแหน่งหัวหน้านักข่าวรอยเตอร์ด้านความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งกำลังสั่นสะเทือนไปทั้งทวีป จากอัฟกานิสถานด้านตะวันตก ไปถึงญี่ปุ่น ยันออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ซึกตะวันออก สำหรับทุกประเทศในเอเชีย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประเทศหนึ่งซึ่งเข้าขั้นเสื่อมจนตกเหวมากที่สุดในหลายปีที่ผ่านมาคือ ประเทศไทย
ครั้งหนึ่งเคยบูมถึงขนาดเป็นหนึ่งในกลุ่ม “เสือแห่งเอเชีย” ของภูมิภาค เศรษฐกิจกำลังไปได้ด้วยดี แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมือง – ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจส่งออกมากที่สุดในเอเชียรองจากฮ่องกง และสิงคโปร์ ถูกกระตุ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภูมิภาคกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก สำหรับในระยะยาวแล้ว ความเสียหายยังคงเต็มไปด้วยความรุนแรง นักท่องเที่ยวจำนวนมากมีความหวาดกลัว และที่หนักมากไปกว่านั้น บริษัทระหว่างประเทศของต่างชาติได้ขีดฆ่าประเทศไทยออกจากประเทศที่จะลงทุนใน โครงการใหม่ การเมืองในไทยค่อนข้างวุ่นวายเป็นประจำ แต่จนไม่นานมานี้ นักลงทุนซึ่งต่างเคยคิดว่าเป็นการปลอดภัยหากทำเพิกเฉยกับประเทศซึ่งมีการก่อ รัฐประหารเป็นระยะ และมีความวุ่นวาย ซึ่งพวกเขารู้ซึ้งดีว่าไม่สามารถมองข้ามขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไทยไปได้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว
วิกฤติครั้งนี้ต่างไปกว่าทุก ครั้ง การปิดสนามบินจนกลายเป็นอัมพาตของ “เสื้อเหลือง” ในปี ๒๕๕๑ และการที่ผู้ประท้วง “เสื้อแดง” ยึดใจกลางกรุงเทพในปีนี้ ซึ่งจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงแห่งเดือนเมษายน และพฤษภาคม เมื่อคนไทยต่างฆ่าคนไทยด้วยกันเองบนท้องถนนกลางเมืองหลวงอันสวยงามของพวกเขา เอง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๘๘ ศพ รวมถึง ฮิโระ มูราโมโตะ นักข่าวชาวญี่ปุ่นของรอยเตอร์ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของผม ถูกสังหารในขณะที่กำลังบันทึกเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ประท้วง และทหารในวันที่ ๑๐ เมษายน
เกือบจะเป็นที่แน่ใจว่า จะต้องเกิดการสูญเสียชีวิตมากไปกว่านี้ในประเทศไทยอีกแน่ หากวิกฤติครั้งนี้ไม่ได้รับการแก้ไข
ทุกอย่าง ที่ตกค้างนี้เป็นประเด็นที่ทุกคนทราบดี แต่ไม่มีใครกล้าพูดในที่สาธารณะได้ กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดชซึ่งเป็นที่เคารพอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทรงชราภาพ และทรงอ่อนแอ และว่าที่องค์รัชทายาทมิได้ทรงเป็นศูนย์รวมใจเทียบเท่ากับพระบิดา และการที่พระบรมวงศานุวงศ์ของกษัตริย์บางพระองค์ และองคมนตรีบางคนแสดงการเข้าข้างอย่างเห็นได้ชัดในวิกฤติการเมืองในเวลานี้ ทำให้อนาคตแห่งระบบกษัตริย์ของประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพอันตราย
เป็น เรื่องสะท้อนใจที่ต้องนั่งมองประเทศไทยถอยหลังลงคลอง แต่เป็นเรื่องเศร้ายิ่งกว่าสำหรับคนไทยผู้ซึ่งภูมิใจประเทศของตัวเองต้องตก อยู่ในภาวะเช่นนี้
แต่ดูเหมือนว่าคนไทยหลายคนมีท่าทีไม่ยอมรับใน เรื่องนี้ โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงในกรุงเทพ พวกเขามีทัศนคติที่ว่า ประเทศไทยยังคงเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มที่เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทุกคนรู้ถึงฐานะของตัวเองในสังคม และทุกคนต่างยอมรับด้วยความหน้าชื่นตาบาน และพวกเขาดูเหมือนจะเชื่อว่าเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ไม่มีทางสิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะอิทธิพลอันชั่วร้ายของทักษิณ ผู้พยายามก่อปัญหาให้กับดินแดนแห่งสวรรค์ของพวกเขาเองซึ่งมีแต่ความเห็นแก่ ตัว พวกเขาอ้างว่า ทักษิณหลอกลวง และติดสินบนชาวไร่ชาวนาไทยทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เพื่อให้พวกเขาลืมกำพืดของตัวเอง หลงผิดกับความจริงของเป้าหมายในชีวิตของพวกเขาที่ว่ามีหน้าที่รับใช้คนร่ำ รวยด้วยความยินดี และด้วยความอดกลั้นเท่านั้น พวกเขาคิดว่าหากหยุดทักษิณได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม แม้ไร้ซึ่งคุณธรรม ประเทศไทยจะกลับไปสู่ประเทศตามอุดมคติ และทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม
นี่ เป็นมุมมองที่เพ้อเจ้อ ความพยายามทำการท้าทายเรื่องนี้ในประเทศถูกเซ็นเซอร์อย่างไม่ยั้ง และนักข่าวต่างชาติอย่างผมซึ่งแนะนำว่าสถานการณ์อาจจะซับซ้อนไปมากกว่านั้น กลายเป็นถูกบอกว่า ชาวต่างชาติอย่างเรานั้นไม่สามารถเข้าใจถึงความซับซ้อนของประเทศไทย และเราอาจจะรับเงินจากทักษิณ หรือถูกทักษิณล้างสมอง
ให้ผมแจงราย ละเอียดอีกครั้ง ถึงเวลานี้ควรเห็นได้ชัดแล้วว่า ทักษิณ และผมไม่ได้เป็นเพื่อนรักกัน ผมไม่มีความหลงว่าทักษิณเป็นใคร หรือทักษิณยึดมั่นในเรื่องอะไร ผมรู้อยู่เต็มอกว่าทักษิณไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย และมีหลักฐานที่จะให้พิจารณาได้ว่า บทบาทของทักษิณทำให้ในเหตุการณ์ในเดือนเมษายน และพฤษภาคมเลวร้ายลง และเป็นผู้ไม่รับข้อเสนอแผนปรองดองนั้น
แต่การที่จะเชื่อว่าวิกฤติ ครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างทักษิณ และประเทศไทยเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม ในทางประชาธิปไตย และสิทธิเท่าเทียมกัน เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมหันต์ต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คนไทยจำพวกที่มองข้ามการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าชาวไร่ชาวนาโง่เขลาต่ำช้า ซึ่งไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่าประชาธิปไตย และความยุติธรรม พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะโกรธแค้น และพวกเขารับเงินจากทักษิณ หรือถูกหลอกให้สนับสนุนแผนการอันชั่วชาติของทักษิณ ชินวัตร คนไทยพวกนี้ที่แน่ๆกำลังแสดงความจองหอง ความเป็นสองมาตรฐาน และการดูถูกเหยียดหยามคนยากไร้ ซึ่งคนไทยเหล่านี้อ้างว่าไม่มีตัวตนในประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่สวยงาม แต่ต้องถูกทำลายเป็นชิ้นๆเพราะความไม่ยุติธรรมในทางสังคม การทุจริตที่ถูกปกป้อง ความเป็นสองมาตรฐาน การเซ็นเซอร์ ลัทธิใช้กำลังทางทหาร การปฏิเสธของพวกศักดินาไม่ยอมรับผลพวงแห่งความเป็นประชาธิปไตย และคลานกลับเข้าไปสู่ลัทธิเผด็จการเต็มรูปแบบ แน่นอน ความซับซ้อน และความยุ่งยากเหล่านี้ ไม่ได้ลดลงอย่างง่ายๆเพียงแค่สีดำและสีขาว (หรือสีแดงและสีเหลือง) ที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง และเต็มไปด้วยความอึมครึม แต่การปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับปัญหาที่แสนสาหัส และความคับข้องใจของตัวการของวิกฤติในครั้งนี้ ย่อมยากที่จะหาทางออก
หาก มีสิ่งใดที่ผมเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของทักษิณและผม สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะทำได้ในฐานะนักข่าวคือ การรายงานอย่างตรงไปตรงมา ให้รับรู้ว่าปัญหาหลักนั้นถูกละเลย เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระราชาไม่ได้ทรงสวมเสื้อผ้า
หากเราเห็นกองขี้ ควายที่กำลังส่งกลิ่น เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องบอกให้ชัดว่านั่นกองขี้ควาย แต่คนร่ำรวย และผู้มีอำนาจ ยิ่งพยายามชักชวนให้เราเชื่อว่า นั่นน่ะ คือไหทองคำนะ
หมายเหตุ
เนื้อหาฉบับภาษาอังกฤษเขียนเผยแพร่ในบล็อกของแอนดรูว์ มาร์แชล ในเว็บไซต์รอยเตอร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2553
และเผยแพร่ในฉบับภาษาไทยอีกครั้งที่เว็บไซต์ zenjournalist.com วันที่ 25 มิถุนายน 2554