WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 1, 2011

จากลูกกระสุน ถึงลูกฟุตบอล กระชับมิตร ดีกว่าคิดฆ่ากัน!

ที่มา thaifreenews

โดย bozo





บรรยากาศกระชับมิตรของการแข่งขันฟุบอล
ระหว่างทีมคณะรัฐมนตรีกัมพูชา กับทีมเสื้อแดงของไทย
สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกผูกพันของมนุษย์กับมนุษย์ที่พึงมีต่อกันได้เป็นอย่างดี และชัดเจน
การทะเลาะกับเพื่อนบ้านในช่วงระยะเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา
สมควรที่จะถูกตั้งคำถามจากทั้ง 2 ประเทศว่า
สุดท้ายแล้วได้อะไรบ้าง นอกจากความสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย
ในวันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายมีแต่น้ำตา ความเสียใจ และความเสียหาย
แต่ในวันนี้ในสนามฟุตบอล
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือผู้คนมีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ
แม้แต่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเอง
ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีความสุขมาก
ในการที่ได้เข้าร่วมลงสนามในเกมฟุตบอลกระชับมิตร
ได้ลงมาเปลี่ยนเสื้อเป็นสีแดง
ได้มาลงร่วมเล่นในสนามพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
แม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้ดูสนุกตื่นเต้นเร้าใจเท่ากับดูเกมฟุตบอลมืออาชีพในพรีเมียร์ลีก
แต่อารมณ์ในการเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่เห็นได้ชัดว่า สร้างความประทับใจได้อย่างมากมาย
ยิ่งหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับภาพ
ที่กองกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศเผชิญหน้ากัน
ยิงอาวุธสงครามยิงปืนใหญ่เข้าใส่กัน เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง
ที่ตามมาด้วยความพังพินาศของบ้านช่องราษฎรที่เสียหาย เศรษฐกิจพังทะลาย
แล้วเป็นคนละภาพกันโดยสิ้นเชิง
กับภาพการที่ใช้ลูกฟุตบอลมาปะทะกันแทนลูกกระสุนสังหาร
อย่างไหนที่จะสุนทรีย์ต่อความเป็นมนุษยชาติ
และเหมาะสมกับความเป็นเพื่อนบ้านเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมากกว่า
เชื่อว่าทุกๆฝ่ายของทั้ง 2 ประเทศย่อมจะต้องรู้ดี
ความบอบช้ำเสียหายจากการเผชิญหน้ากันด้วยกำลังทหาร
ได้ทำให้การค้าชายแดน ทำให้พ่อค้า นักธุรกิจ นักลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ
ต่างพากันเซ็งในอารมณ์เป็นอย่างมาก
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทำมาค้าขาย ลงทุนกันมาดีๆ กลับมามีปัญหาในช่วง 2 ปีนี้
แถมเป็นช่วงที่ประเทศกัมพูชากำลังอยู่ในภาวะของการเติบโตขึ้น ร่ำรวยขึ้น มีกำลังซื้อมากขึ้น
กัมพูชาในวันนี้ไม่ใช่ประเทศกัมพูชา หรือเขมร ที่หลายๆประเทศ
หรือหลายๆคนอาจจะเคยนึกดูถูก
หรือสบประมาทว่าเป็นประเทศยากจนเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว
วันนี้ประเทศกัมพูชา มีการขยายตัวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
จากการลงทุน จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายที่มี
ทำให้วันนี้ถือว่าเป็นเสี่ยน้องใหม่ที่กำลังจะไต่ระดับในภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้
ที่สำคัญถามว่า ทั้ง 2 ประเทศจะมัวไปขัดแย้งกันทำไมให้เสียผลประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝั่งไทย
เพราะจากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
โดยความร่วมมือจากศุลกากร พบว่า
ในช่วงปี 2549 ถึง ปี 2551 การค้าระหว่างไทย – กัมพูชา มีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ
โดยที่ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด
ปี 2549 มูลค่าการค้ารวมเท่ากับ 1,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มาปี 2550 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และกระโดดไปเป็น 2,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2551

ซึ่งในปี 49 นั้นไทยได้ดุลการค้า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปี 50 ก็ได้ดุลการค้า 1,306 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และยิ่งในปี 2551 ไทยได้ดุลการค้าสูงถึง 1,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่พอในปี 2552 ที่มีการเผชิญหน้ากัน มีปัญหากระทบกระทั่งกัน
การค้าระหว่างไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวมลดลงมาเหลือ 1,658.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หรือลดลงร้อยละ 22.16
เมื่อเทียบกับปี 51 และทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าเหลือ 1,502.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ชัดเจนแบบนี้ จึงสมควรเป็นคำถามย้อนกลับว่า
มีปัญหากระทบกระทั่งกันมา 2 ปีนั้น มีอะไรดีขึ้นมาบ้างหรือไม่
ช่วงก่อนหน้าที่ไม่มีปัญหาต่อกัน
คนกัมพูชาชอบมาเที่ยวเมืองไทย มากิน มาเที่ยว มาใช้ จับจ่ายซื้อของ
ปีๆนึงเป็นเงินหลายพันล้านบาท ยิ่งเศรษฐกิจเริ่มเติบโต คนกัมพูชาเริ่มมีเงิน ก็มาเที่ยวเมืองไทย
แต่พอมามีปัญหาขึ้น พวกนี้ลดหายลงไปอย่างน่าใจหาย
คนทำการค้า ทำท่องเที่ยวกับกัมพูชารู้ดี ว่าเขาเลิกมาไทย
หันไปเที่ยว หันไปใช้จ่ายที่สิงคโปร์ ที่ฮ่องกง ที่จีนแทน ปล่อยให้ไทยสลบซบเซา
สิ่งเหล่านี้พ่อค้า นักลงทุนไทยชายแดนรู้ดีถึงผลกระทบ
แต่คนในกรุงไม่รู้ จึงทำให้ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามที่จะใช้การปลุกระดม
ในลักษณะของการคลั่งชาติมาก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 ประเทศ
โดยหารู้ไม่ว่า ในวันนี้คนกัมพูชาเป็นฝ่ายเลือกที่ว่าจะมาไทย หรือไปที่อื่น
ซึ่งผิดจากอดีตที่เขาอยากมาไทยไปแล้ว
การจุดประเด็นในรูปแบบของการคลั่งชาติน่าที่จะหมดไปได้แล้ว
หันมามองกันในมุมของการเป็นเพื่อนบ้าน เป็นคนที่อยู่ในอินโดจีนด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ
แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้อาจจะยังคงพูดยาก
หากคนบางคนยังเห็นว่าการปลุกเร้าความคลั่งชาติสามารถ
ที่จะสร้างผลประโยชน์ในทางการเมืองให้กับตนเองได้
ทำให้แม้ในวันนี้ก็ยังคงมีคนบางกลุ่ม นักการเมืองบางคนพยายามที่จะทำอยู่
แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ
นักการเมืองบางคนที่เคยถูกมองว่าจะเป็นคนรุ่นใหญ่ที่มีคุณภาพได้บนถนนการเมืองไทย
ก็ยังมีแนวคิดในการปลุกเร้าเช่นนี้ปนอยู่ อย่างเช่น
ในการเปิดที่ทำการพรรคกิจสังคมล่าสุด ก่อนการเลือกตั้ง 4 กรกฎาคมนั้น
สุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค
กลับมีการนำเอาข้อเขียนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ที่มีมุมมองที่รุนแรงกับกัมพูชามาติดประดับที่ทำการพรรค
ซึ่งทำให้คนหลายๆคนถึงกับอึ้งว่าคนรุ่นนายสุวิทย์ ยังคิดเช่นนั้นจริงๆหรือ???
ยุคนี้ เป็นยุคที่ควรจะมาปลุกเร้าแบบในอดีตที่ว่า
ต้องเอาเลือดของอีกฝ่ายมาล้างให้หายแค้นกันอย่างนั้นหรือ
เรียกว่าผิดบุคลิกที่สังคมเคยคิดเคยวาดภาพเอาไว้มาก
ดังนั้นเมื่อนายสุวิทย์ บุ่มบ่ามในการไปประกาศลาออกจากภาคีคณะกรรมการมรดกโลก
จึงทำให้หลายคนหันกลับมาเชื่อมโยงกับแนวคิด
ในการนำข้อความของ ม.ร.ว.คึกฤทธ์มาใช้ประดับพรรค จึงทำให้ถึงบางอ้อ
ข้อเขียนของอาจารย์หม่อม ที่คมๆ ลึกๆ มีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก
ทำไมต้องเลือกอย่างล่อแหลมในสถานการณ์ที่กำลังมีปัญหากับกัมพูชาเช่นนั้นด้วย ตรงนี้น่าคิด
และทำให้หลายๆฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่า
เพราะเรื่องกัมพูชา เรื่องมรดกโลกหรือไม่
ที่ทำให้พรรคกิจสังคมพ่ายแพ้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งที่ผ่านมา... ตรงนี้ก็น่าคิดอีกเช่นกัน
วันนี้การมองเพื่อนบ้านแบบอคติ ควรจะเลิกไปได้แล้ว
เพราะจริงๆแล้วในภูมิภาคอินโดจีน
ในถิ่นสุวรรณภูมิ คนไทย คนลาว คนเขมร หน้าตาไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด
ให้ไปเดินอยู่ปะปนกัน ดูเผินก็ดูไม่ออก
นอกจากฟังภาษาที่พูด กับสไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปตามแนวทางของแต่ละประเทศ
แต่จริงๆแล้วในสุวรรณภูมิ จารีต ประเพณีวัฒนธรรม
ก็มาจากอาณาจักรขอม มาจากทวาราวดี
แล้วก็ประยุกต์กันไปตามพัฒนาการของแต่ละชาตินั่นเอง
ศิลปะหลายๆอย่างจึงคล้ายกัน นาฏศิลป์ท่วงท่าร่ายรำ จึงมีที่มาจากต้นตอเดียวกัน
ทำไมจึงไม่จับมือกัน
เพราะข่าวจากกัมพูชา มีการให้ข้อมูลว่า
ในช่วงที่ไทยมีการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล สมเด็จฮุน เซน
มีการติดตามดูข่าวอย่างใจจดใจจ่อ
พอมีการสลายการชุมนุม มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น
ก็เศร้าใจในประเทศเพื่อนบ้านถึงต้องกินยากันเลยทีเดียว
และในวันที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
สมเด็จฮุน เซน ก็ยินดีไปด้วย เพราะเชื่อว่าระดับความสัมพันธ์ที่ดีจะมีโอกาสกลับคืนมาได้
ซึ่งก็จริงๆ เพราะการเผชิญหน้า และการเจรจาที่ล้มเหลวในช่วง 2 ปี
กลับสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ด้วยกีฬาเพียงวันเดียว ด้วยลูกบอลเพียงลูกเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้กับ จตุพร พรหมพันธ์ุ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
2 แกนนำเสื้อแดง ที่งัดกลยุทธกีฬากระชับมิตรมาใช้อย่างได้ผล
แม้ที่ผ่านทั้งคู่ จะถูกโจมตีว่าไม่รักชาติ เป็นแกนนำในการทำลายชาติ
แต่การจัดกีฬาครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า
ทั้งคู่เป็นห่วงประเทศชาติ ไม่อยากให้เผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านอีกต่อไป
ซึ่งก็ไม่ได้เจาะจงเลือกเฉพาะกัมพูชา
แต่บอลกระชับมิตรนี้มีสิทธิที่จะไปแข่งที่ลาว พม่า เวียดนาม ได้ในอนาคตเช่นกัน
เพราะวันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่า
หันหน้าเข้าหากันด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ย่อมดีกว่าเผชิญหน้าหมายห้ำหั่นกันแน่นอน


http://www.bangkok-today.com/node/10501