ที่มา ข่าวสด
ข่าวสดออนไลน์
สัมภาษณ์พิเศษ
จ๋า-นฤมล วรุณรุ่งโรจน์
สุภาพสตรี วัย 50 ปี เป็นประชาชนคนไทยอีก 1 คน ที่ตกเป็นเหยื่อคำสั่งปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง ในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553
ทั้งยังถูกตั้งข้อหาหนัก
มีอาวุธสงครามสารพัดชนิดในครอบครองและหาญกล้ายิงเฮลิคอปเตอร์ทหาร ซึ่งออกบินโปรยแก๊สน้ำตาสลายม็อบคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553
เป็นเหตุให้ จ๋า-นฤมล ต้องเข้าไปติดคุกนาน 1 ปี 4 เดือน 2 วัน ก่อนที่ศาลจะยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา!
ภายหลังได้รับอิสรภาพ เดินออกจากเรือนจำท่ามกลางการต้อนรับอันอบอุ่นของคนเสื้อแดง นฤมลได้ให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักต่างกรรมต่างวาระ
ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง
พร้อมกับยอมรับว่ามีแนวคิดต่อต้านการรัฐประหาร19กันยาฯ2549 ซึ่งส่งผลสะเทือนทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่พังทลาย เพราะรัฐบาลชุดที่ตั้งขึ้นมาโดยผลพวงจากรัฐประหารไม่สามารถฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจได้ จึงตัดสินใจเริ่มเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเรื่อยๆ มา
โดยมีจุดเริ่มต้นสำคัญจากเวที ‘คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’ ที่สนามหลวง จากนั้นก็ร่วมชุมนุมมาต้านรัฐประหารและเรียกร้องประชาธิปไตยมาเรื่อยๆ กับคนเสื้อแดง ทั้งในยุคแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
กระทั่งถูกจับกุมด้วยคำให้การของ “พยาน” ล้วนๆ โดยไร้หลักฐานรองรับ ว่า นฤมลสะสมอาวุธสงครามมากมหาศาล
จากวันต่อสู้-สูญสิ้นอิสรภาพ-และรอดพ้นพันธนาการคุก แต่ต้องออกมากลายเป็นคนไร้บ้าน อาศัยเช่านอนตามห้องพักรายวันราคาถูกหรืออาศัยนอนบ้านเพื่อนไปวันๆ
จ๋า-นฤมล ได้บอกเล่าเสี้ยวชีวิตและความคิดบางส่วนกับ “ข่าวสดออนไลน์” ดังนี้
แม้ศาลจะมีคำสั่งยกฟ้อง และได้รับการปล่อยตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา
แต่ยังต้องเข้ารายงานตัวต่อศาลทุก 3 เดือน
ตอนนี้ทนายที่ดูแลคดีให้บอกว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเจ้าหน้าที่รัฐบาลเก่าอาจยื่นอุทธรณ์คดี โดยขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งจะรอดูท่าที และต่อสู้จนถึงที่สุดเช่นกัน
ที่ผ่านมาโดนยัดข้อหาสารพัด แต่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะได้ประชาธิปไตย
จะเดินหน้าสู้ต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม
หากเอาปืนออกมา เอารถถังออกมาก็จะสู้เหมือนเดิมให้ถึงที่สุด
หากจะมีการอุทธรณ์ก็ให้หาข้อมูลหลักฐานมาสู้ เหตุที่ศาลยกฟ้องก็เพราะพนักงานสอบสวน กับ พนักงานจับกุม ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
ส่วนตัวนั้นไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เหลือแต่ ‘ใจ’ ที่จะมาสู้กับพวกเขา เพราะตอนนี้ที่บ้านไม่เหลืออะไรแล้ว หลักฐานไม่มีต่อไปสู้
วันที่ตำรวจ-ทหารเข้าไปจับกุมก็รื้อค้นของมีค่าไม่เหลืออะไรเลย
แล้วยังใช้อาวุธสงครามจ่อหัวพาตัวไปที่ ‘ราบ 11’
อยากถามว่า ราบ 11 เป็นที่สอบสวนคดีหรืออย่างไร
เจ็บใจมากที่ถูกกล่าวหาว่า มีอาวุธสงคราม
ถามหน่อยว่าอาวุธแบบนั้นเดินถือเดินแบกได้หรือ
มันไม่ใช่ไม้จิ้มฟัน
ประชาชนจะเดินถือได้อย่างไร!
นฤมล ยังเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เม.ย. ปีที่ผ่านมาด้วยว่า
อยู่กับเพื่อนที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า
ยังวิ่งหลบ ‘แก๊สน้ำตา’ ที่ทหารโยนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์จ้าละหวั่น
ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อาวุธยิงใส่เฮลิคอปเตอร์แน่นอน แต่ที่ถูกจับเพราะพยานคนหนึ่งไปให้การกับดีเอสไอ ว่าเห็นตนกับพวกจอดรถอยู่หลังเวทีตรงสะพานผ่านฟ้า แลัวหยิบปืน 2 กระบอก ขึ้นมายิงใส่เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร
“อาวุธสงครามไม่ใช่กิโล สองกิโล หรือเป็นขีด แล้วแรงที่ยิงมันต้องแรงขนาดไหนถึงจะขึ้นไปถึงเฮลิคอปเตอร์ได้ การที่พยานอ้างแบบนั้นมันไม่เป็นความจริง ยังไงก็ยืนยันว่าไปร่วมชุมนุม แต่ไม่มีอาวุธปืนไม่มีอาวุธสงครามไปยิงทหารเหมือนที่ถูกกล่าวหาแน่นอน หลังจากนี้จะทำทุกทางเพื่อจะนำคนผิด-คนที่บงการสั่งฆ่าประชาชนขึ้นสู่ศาลโลกให้ได้” นฤมล บอกหนักแน่น
ช่วงที่อยู่ในคุกเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 2 วัน นฤมลเล่าว่า ก้าวแรกเข้าไปก็ได้รับคำถามจากผอ.เรือนจำ ที่กล่าวหาว่าเป็นพวกล้มล้างสถาบัน อยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด
และเมื่อเข้าไปถึงก็โดนควบคุมตัวอีกชั้นหนึ่ง กักไว้ไม่ให้เดินไปไหน ให้นั่งเฝ้าพระพุทธรูป
จะเดินไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำก็มีคนคุม
นั่งเหยียดขาไม่ได้ หาว่าไม่มีมารยาท
“เวลาเจ้าหน้าที่เดินมา เราต้องนั่งลงคุยกับเจ้าหน้าที่ ก็ต้องนั่งลงไม่ให้ยืนค้ำหัว ส่วนเวลาที่ใครจะไปเยี่ยมจะถูกส่งชื่อให้ดีเอสไอหมด เวลาพุดคุยกับใครก็ถูกดักฟัง เป็นการริดรอนสิทธิกันเกินไป พอได้รับการปล่อยตัวความรู้สึกแรก คือ รู้สึกว่าได้ก้าวออกมา แต่ความเคียดแค้นยังอยู่ และจะจองล้างจองผลาญทุกชาติไป!”
อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่รุนแรง-ก้าวร้าว-ระคายหูคนทั่วไป..
แต่ก็เป็นการกลั่นออกมาจากใจผู้หญิงที่เชื่อมั่นว่า ถูกจองจำโดยอย่างอยุติธรรมเป็นเวลาเนิ่นนานนับปี
โบราณว่า ‘เวลา’ สามารถช่วยเยียวยารักษาหัวใจคน และลบล้างความเกลียดชังให้หมดสิ้นไป..
แต่สำหรับ จ๋า-นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ ดูเหมือนคงมีแต่ ‘ความยุติธรรม’ เท่านั้นที่จะช่วยได้!!
แต่ยังต้องเข้ารายงานตัวต่อศาลทุก 3 เดือน
ตอนนี้ทนายที่ดูแลคดีให้บอกว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเจ้าหน้าที่รัฐบาลเก่าอาจยื่นอุทธรณ์คดี โดยขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งจะรอดูท่าที และต่อสู้จนถึงที่สุดเช่นกัน
ที่ผ่านมาโดนยัดข้อหาสารพัด แต่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะได้ประชาธิปไตย
จะเดินหน้าสู้ต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม
หากเอาปืนออกมา เอารถถังออกมาก็จะสู้เหมือนเดิมให้ถึงที่สุด
หากจะมีการอุทธรณ์ก็ให้หาข้อมูลหลักฐานมาสู้ เหตุที่ศาลยกฟ้องก็เพราะพนักงานสอบสวน กับ พนักงานจับกุม ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
ส่วนตัวนั้นไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เหลือแต่ ‘ใจ’ ที่จะมาสู้กับพวกเขา เพราะตอนนี้ที่บ้านไม่เหลืออะไรแล้ว หลักฐานไม่มีต่อไปสู้
วันที่ตำรวจ-ทหารเข้าไปจับกุมก็รื้อค้นของมีค่าไม่เหลืออะไรเลย
แล้วยังใช้อาวุธสงครามจ่อหัวพาตัวไปที่ ‘ราบ 11’
อยากถามว่า ราบ 11 เป็นที่สอบสวนคดีหรืออย่างไร
เจ็บใจมากที่ถูกกล่าวหาว่า มีอาวุธสงคราม
ถามหน่อยว่าอาวุธแบบนั้นเดินถือเดินแบกได้หรือ
มันไม่ใช่ไม้จิ้มฟัน
ประชาชนจะเดินถือได้อย่างไร!
นฤมล ยังเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เม.ย. ปีที่ผ่านมาด้วยว่า
อยู่กับเพื่อนที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า
ยังวิ่งหลบ ‘แก๊สน้ำตา’ ที่ทหารโยนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์จ้าละหวั่น
ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อาวุธยิงใส่เฮลิคอปเตอร์แน่นอน แต่ที่ถูกจับเพราะพยานคนหนึ่งไปให้การกับดีเอสไอ ว่าเห็นตนกับพวกจอดรถอยู่หลังเวทีตรงสะพานผ่านฟ้า แลัวหยิบปืน 2 กระบอก ขึ้นมายิงใส่เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร
“อาวุธสงครามไม่ใช่กิโล สองกิโล หรือเป็นขีด แล้วแรงที่ยิงมันต้องแรงขนาดไหนถึงจะขึ้นไปถึงเฮลิคอปเตอร์ได้ การที่พยานอ้างแบบนั้นมันไม่เป็นความจริง ยังไงก็ยืนยันว่าไปร่วมชุมนุม แต่ไม่มีอาวุธปืนไม่มีอาวุธสงครามไปยิงทหารเหมือนที่ถูกกล่าวหาแน่นอน หลังจากนี้จะทำทุกทางเพื่อจะนำคนผิด-คนที่บงการสั่งฆ่าประชาชนขึ้นสู่ศาลโลกให้ได้” นฤมล บอกหนักแน่น
ช่วงที่อยู่ในคุกเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 2 วัน นฤมลเล่าว่า ก้าวแรกเข้าไปก็ได้รับคำถามจากผอ.เรือนจำ ที่กล่าวหาว่าเป็นพวกล้มล้างสถาบัน อยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด
และเมื่อเข้าไปถึงก็โดนควบคุมตัวอีกชั้นหนึ่ง กักไว้ไม่ให้เดินไปไหน ให้นั่งเฝ้าพระพุทธรูป
จะเดินไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำก็มีคนคุม
นั่งเหยียดขาไม่ได้ หาว่าไม่มีมารยาท
“เวลาเจ้าหน้าที่เดินมา เราต้องนั่งลงคุยกับเจ้าหน้าที่ ก็ต้องนั่งลงไม่ให้ยืนค้ำหัว ส่วนเวลาที่ใครจะไปเยี่ยมจะถูกส่งชื่อให้ดีเอสไอหมด เวลาพุดคุยกับใครก็ถูกดักฟัง เป็นการริดรอนสิทธิกันเกินไป พอได้รับการปล่อยตัวความรู้สึกแรก คือ รู้สึกว่าได้ก้าวออกมา แต่ความเคียดแค้นยังอยู่ และจะจองล้างจองผลาญทุกชาติไป!”
อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่รุนแรง-ก้าวร้าว-ระคายหูคนทั่วไป..
แต่ก็เป็นการกลั่นออกมาจากใจผู้หญิงที่เชื่อมั่นว่า ถูกจองจำโดยอย่างอยุติธรรมเป็นเวลาเนิ่นนานนับปี
โบราณว่า ‘เวลา’ สามารถช่วยเยียวยารักษาหัวใจคน และลบล้างความเกลียดชังให้หมดสิ้นไป..
แต่สำหรับ จ๋า-นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ ดูเหมือนคงมีแต่ ‘ความยุติธรรม’ เท่านั้นที่จะช่วยได้!!