ที่มา มติชน
รายงานพิเศษ โดย สุเมศ ทองพันธ์
นอกจากจะทำให้ เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่คนเสื้อแดง กับ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" แล้ว
ยังปรากฏชื่อ "ตัวละครใหม่" จากฝั่งกัมพูชา ตามหน้าสื่อสารมวลชนไทย ตลอดช่วงการแข่งขัน
เป็น "ตัวละคร" ที่มีอิทธิพลต่อที่มาที่ไปความเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง" ไปจนถึงทางหนีทีไล่ในภาวะคับขันของ "แกนนำม็อบ"
นั่น คือ "จอมพล เตา สุขขะ" และ "นายเกียง ฮวด" 2 บิ๊กเนมจากฝ่ายกัมพูชา ที่ถือว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิด "สมเด็จฯ ฮุน เซน" มากที่สุดคนหนึ่ง
เป็น "2 บิ๊กเนม" ที่คอยให้การดูแล-รับรอง-ช่วยเหลือ-อำนวยความสะดวกให้ "แกนนำคนเสื้อแดง" ในดินแดนกัมพูชา ทุกคน ทุกที ทุกเวลา
รวมไปถึง "อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง", "ดารุณี กฤตบุญญาลัย" และ "จักรภพ เพ็ญแข" 3 ผู้หนีคดีจากกฎหมายไทย
ทำให้ "คนไทย" ได้เห็นสายสัมพันธ์ระดับ "ไม่ธรรมดา" ของ "แกนนำเสื้อแดง" กับ "ผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน"
"จอม พล เตา สุขขะ" มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการคือ "รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด" และ "ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ผู้นำกัมพูชา" ที่ "พล.ท.ฮุน มาเนต" บุตรชายของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" เป็น "รองผู้บัญชาการ" ในหน่วยงานนี้
"จอมพลเตา" คือ "1 ใน 5 จอมพล" ของ "กัมพูชา"
"ณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ" ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า "จอมพล เตา สุขขะ" นั้นคือผู้ที่ "เข้าใจหัวใจ" การต่อสู้ของ "คนเสื้อแดง" มากที่สุด
เพราะในอดีต "จอมพล เตา" คือหนึ่งในเหยื่อของ "ความแตกแยก" ในกัมพูชา
"สมัย อายุ 15-16 ปี เด็กชายเตา สุขขะ ได้เห็นทหารจับพ่อแม่ตัวเองไปฆ่าต่อหน้าต่อตา เห็นทหารจับพี่ชายมัดข้อมือแขน แล้วให้ทหารอีกนับร้อยคนรุมกระทืบจนตาย นับตั้งแต่วันนั้น เตา สุขขะ ตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้กับสมเด็จฯ ฮุน เซน จนถึงวันนี้อายุ 50 ปี สู้เคียงข้างสมเด็จฯ ฮุน เซน มาตลอด 30 กว่าปี ไม่เคยห่าง แม้กระทั่งช่วงหนึ่งที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ต้องถูกจับติดคุกอยู่ที่เวียดนาม ตอนที่ พล.ท.ฮุน มาเนต ยังอยู่ในครรภ์ของท่านผู้หญิงฯ (ภรรยาของสมเด็จฯ ฮุน เซน) ท่านเตาก็ติดคุกอยู่กับสมเด็จฯ ฮุน เซนด้วย" นายณัฐวุฒิกล่าว
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ "เตา สุขขะ" ในวันนี้ ได้รับความไว้วางใจจาก "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ในฐานะเพื่อนร่วมรบคนหนึ่ง
เมื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" และ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ประกาศตัวว่าเป็น "พี่-น้องอาเซียน"
"จอมพล เตา สุขขะ" จึงอยู่ในฐานะผู้ยืนเคียงข้าง "มวลชนเสื้อแดง" อย่างเต็มตัว
โดย เฉพาะในรายของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ที่ "จอมพล เตา" ประกาศตัวว่าคือ "พี่-น้อง" ด้วยการเรียกขาน "ณัฐวุฒิ" ว่า "มาย บราเธอร์ (My brother)" แทบจะทุกคำ
สำหรับ "นายเกียง ฮวด" นั้น ถือเป็นคนสำคัญในพนมเปญอีกคนที่ใกล้ชิดกับ "แกนนำเสื้อแดง" เนื่องจากเป็นคนที่ "ผู้นำกัมพูชา" ไว้วางใจอย่างมาก
นอกจากนั่งในตำแหน่ง "ผู้อำนวยการเขต" ในพื้นที่หลักของพนมเปญ จน "แกนนำคนเสื้อแดง" เรียกติดปากกันว่า "ผอ.ฮวด"
เขายังนั่งในตำแหน่ง "เลขานุการส่วนตัว" ของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ด้วย
เมื่อ "พรรคเพื่อไทย" ก่อตั้ง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จนสำเร็จ "เกียง ฮวด" ถือเป็น "บิ๊กเนมกัมพูชา" คนแรกๆ ที่เดินทางมาไทย เพื่อเข้าพบ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย อย่างเป็นทางการเพื่อแสดงความยินดี
ก่อนใช้เวลาว่างหลังจากนั้น พบปะสังสรรค์กับ "แกนนำเสื้อแดง" นับร้อยคนอย่างไม่เป็นทางการด้วย
จุด เด่นของ "เกียง ฮวด" คือสามารถพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้เขามีโอกาสติดตามและศึกษาการเมืองไทย ผ่านการนำเสนอข่าวของสื่อสารมวลชนไทยตลอดเวลา
"ผอ.ฮวด" เล่าว่า เขาติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยจะอ่านหนังสือพิมพ์ไทยผ่านระบบอินเตอร์เน็ตทุกฉบับ อ่านอย่างละเอียดทุกวัน และจะติดตามรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยทุกช่อง โดยเฉพาะ "ทีวีสีเหลือง" ในเครือข่าย "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"
ทำให้ "เกียง ฮวด" สามารถวิพากษ์วิจารณ์การเมืองกัมพูชาและไทยได้อย่างถึงพริกถึงขิง และประเมินสถานการณ์ต่างๆ ได้แม่นยำไม่แพ้นักการเมืองบ้านเรา
"วิกฤต ประเทศไทยตอนนี้ คล้ายกับที่กัมพูชาเผชิญเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ที่ยังมีความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง ผมเคยผ่านจุดนั้นมา ตอนเด็กๆ ผมได้กินข้าววันละครึ่งมื้อ ได้นอนวันละชั่วโมงครึ่ง ได้ยินเสียงปืน เช้า กลาง วัน เย็น ไปจนถึงดึกดื่น มันทรมานมาก พอผ่านจุดนั้นมาได้ ผมบอกกับตัวเองเลยว่าจะไม่ยอมกลับไปเป็นอย่างนั้นอีก หลังกัมพูชาปฏิวัติประเทศ ศักดินาในกัมพูชาจึงไม่มี ทุกคนเท่ากันทั้งหมด พวกศักดินาจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าคุณอยากซื้อรถ คุณก็ต้องเสียภาษี ถ้าคุณเติมน้ำมัน ก็ต้องจ่ายเงิน ไม่เหมือนประเทศไทย ที่พวกศักดินายังมีอยู่"
ผอ.ฮวดเปิดฉากชี้จุดเหมือนระหว่างการเมืองไทย-กัมพูชา ประเทศที่มี "อำมาตย์-ไพร่" เหมือนกัน
ก่อน กล่าวต่อว่า "วันนี้คนเสื้อแดงในภาคอีสานเห็นความแตกต่างตรงนั้นแล้ว คุณจะแลกหรือ จะจัดการคนเสื้อแดงหรือ คุณจะทำได้หรือ กับแค่ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ที่มีโจรไม่กี่คน เงินทุน งบประมาณพวกนั้นก็ไม่มี คุณยังแก้ไม่ได้เลย ยังฆ่ากันทุกวัน แล้วนี่คนเสื้อแดงทั้งภาคอีสาน คุณจะจัดการอย่างไร" ผอ.ฮวดระบุ
เป็นวาทะที่จงใจสื่อให้ "ผู้มีอำนาจ-ผู้มีอาวุธ" ประหวั่นพรั่นพรึง ก่อนทิ้งอีกปริศนาออกมา...
"คุณรู้ไหม ท่านทักษิณกับสมเด็จฯ ฮุน เซน รู้จักกันมานานเท่าไร... ?
"ทั้ง 2 คนรู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนปี 1992 (พ.ศ.2535) ก่อนที่กัมพูชาจะสงบเสียอีก"
"อริ สมันต์ พงษ์เรืองรอง" ที่เพิ่งยอมรับว่าได้รับการช่วยเหลือจาก "นายกรัฐมนตรีกัมพูชา" เมื่อครั้งที่หนีออกจากประเทศไทยไปหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเสื้อแดง "19 พฤษภาคม 2553" เปิดเผยกับ "มติชน" ว่า เขาลอดตะเข็บชายแดนไทยด้าน จ.หนองคาย โดยลงเรือล่องไปตามแม่น้ำโขงเข้ากัมพูชา แล้วตรงมาที่พนมเปญ
และที่นั่นเองที่เขาได้รับการดูแลปูเสื่ออย่างดีจาก "ผู้มีอำนาจสูงสุด"
ตลอด เวลาที่พำนักอยู่ในกัมพูชา "ผอ.ฮวด" คือผู้รับภาระในการดูแล "แขกจากเมืองไทย" รวมไปถึงแกนนำคนอื่นที่หลบหนีออกจากประเทศไทยไปในช่วงเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น "สุภรณ์ อัตถาวงศ์" หรือแรมโบ้อีสาน, "ดารุณี กฤตบุญญาลัย" หรือไฮโซดา, "ธนกฤต ชะเอมน้อย" หรือ "วันชนะ เกิดดี" อดีตนักร้องลุกทุ่ง และ "พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัตน์" แกนนำ นปช.
ซึ่งถือเป็นแกนนำคนเสื้อแดง "5 คนแรก" ที่เดินทางไปถึงกัมพูชา
และ เป็น "5 แกนนำ" ที่ได้รับเชิญจาก "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ให้ไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว ในทันทีที่คนเหล่านี้ถึงเดินทางถึง
จึงไม่แปลกอะไรหากคนหนีคุก-ไม่ ได้นอนในแผ่นดินเกิด จะยอมรับเป็นการภายในว่า "พนมเปญ" และ "กัมพูชา" เปรียบได้กับ "บ้านหลังที่ 2" ของพวกเขา
ซึ่งสามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ-สมเด็จฯ ฮุน เซน-แกนนำเสื้อแดง" นั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่ "คนไทย" หลายคนเคยเข้าใจ!!!