ที่มา thaifreenews
โดย bozo
ผ่านพ้นไปแล้วกับการแข่งขันบอลกระชับมิตรระหว่าง
คณะรัฐมนตรีกัมพูชา และแกนนำ นปช. เมื่อวันที่ 24 ก.ย.
ที่สนามโอลิมปิก กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
โดยที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย
ร่วมทำพิธีเปิดการแข่งขัน
เป็นการแข่งขันเพื่อมุ่งกระชับความสัมพันธ์จริงๆ
จึงได้ใช้การแบ่งทีมผสมผู้เล่นทั้งไทยและกัมพูชาลงไปในทั้งสองทีม
โดยทีมเอ สวมเสื้อสีแดง มีสมเด็จฮุน เซน เล่นตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธ์ุ สอง ส.ส.เพื่อไทย ร่วมทีม
และทีมบี สวมเสื้อสีน้ำเงิน มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ใส่หมายเลข 9 พร้อมปลอกแขนกัปตันทีม
ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมเอเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 10-7 ประตู
ท่ามกลางบรรยากาศการเชียร์ที่สนุกสนาน
เพราะมีผู้ชมเต็มสนามทั้งกลุ่มแนวร่วมเสื้อแดงที่เดินทางไปกว่า 5,000 คน และชาวกัมพูชา
นั่นเป็นบรรยากาศที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เพื่อลบภาพเก่าเดิมๆ
ที่เคยไม่เข้าใจกันในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่ปล่อยนโยบายต่างประเทศให้กับนายกษิต ภิรมย์
เอาประเทศชาติไปเสี่ยงกับการมีปัญหากับมิตรประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าหวาดเสียว
ซ้ำเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น คือคนไทยโดนจับฐานเข้าไปในพื้นที่กัมพูชาโดยไม่ถูกกฏหมาย
มีคลิปที่ถ่ายกันเอาไว้เองเป็นเครื่องยืนยัน ทำให้คนไทยต้องโดนจับขังคุก
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลือกที่จะช่วยเฉพาะคนของพรรค คือ
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เพียงคนเดียว
ปล่อยให้นายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ติดคุกเปรซอว์
ยาวนานจนล่วงมาถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องมาสานสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาใหม่
และทำให้มีฟุตบอลกระชับมิตรเกิดขึ้น
ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายแล้วข่าวดีในเรื่องการปล่อยตัวนายวีระ และนางสาวราตรี
น่าจะไม่เป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แน่
เพราะท่าทีของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ดูอ่อนลงมาไม่น้อย
นี่คือข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนของการทำงานระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
และเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ดีถึงวิธีคิดในการทำงานของทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่
พรรคเพื่อไทย พยายามเร่งสร้างผลงานใหม่ๆออกมา
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่สนใจฟังข้อเท็จจริงของขั้วการเมือง และขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม
ในขณะที่พรรประชาธิปัตย์ อาศัยขั้วอำนาจพิงหลัง
แล้วเล่นการเมืองแบบเอาดีเข้าตัวเพียงอย่างเดียว
คนอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น
แม้แต่กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันพรรคประชาธิปัตย์ยังพร้อมโยนภาพลักษณ์ที่ติดลบเข้าใส่ให้ได้เสมอ
ขอเพียงให้ตนเองมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นพอ
นี่คือสิ่งที่ทำให้แม้แต่บรรดาคนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง
ยังอดเป็นห่วงลึกๆไม่ได้ กับสไตล์การบริหารพรค
ในยุคปัจจุบันที่มีนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งส์ ทำอยู่ในเวลานี้
อย่างกรณีของกล้องวงจรปิดหลอกลวงของ กทม. ที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมา
ก็เป็นผลงานในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.อยู่ในขณะนั้น
ซึ่งนายอภิรักษ์ ก็เป็นหนึ่งในแก็งส์ของนายอภิสิทธิ์ ที่นายอภิสิทธิ์ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่นั่นเอง
แม้ว่าจะมีชะนักปักหลังในเรื่องของทุจริตรถดับเพลิง – เรือดับเพลิง คาอยู่ก็ตาม
ล่าสุดเมื่อมาเจอประเด็นเรื่องผลงานกล้องวงจรปิดลวงโลกฉาวซ้ำขึ้นมาอีกเรื่อง ว่าเกิดในยุคเดียวกัน
ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าแก็งส์ยิ่งต้องโอบอุ้มนายอภิรักษ์จนหนักบ่ามากขึ้นไปอีก
เพราะล่าสุด ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.
มีการออกแฉซ้ำเรื่องกล้อง CCTV กทม. ด้วย
โดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน
เปิดเผยถึงการตรวจสอบกล้องซีซีทีวี ของ กทม.
ที่มีการติดตั้งกล้องปลอม หรือ "กล้องดัมมี่" ว่า เมื่อปรากฏเป็นข่าว
ก็ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาดูทั้งหมด
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
โดยในการตรวจสอบขั้นแรก คือต้องดูว่า สัญญาเขียนอย่างไร ถูกต้องหรือไม่
จากนั้น ก็ต้องตรวจว่าจำนวนกล้องจริงที่ซื้อมา มีครบตามที่ระบุเอาไว้หรือไม่
โดย สตง.จะตรวจสอบให้เสร็จในไม่ช้า เพราะรู้ว่า ประชาชนตั้งข้อสงสัย
และอยากรู้ว่า งบประมาณที่จัดซื้อไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องมีความรอบคอบ
เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว จึงอาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อย
“เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนร้องมา
หรือพรรคเพื่อไทยร้องมา
หรือไม่มีใครร้องเรา ก็ต้องตรวจสอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ” นายพิสิษฐ์กล่าว
นายพิศิษฐ์ ยังเปิดเผยด้วยว่าก่อนที่จะมีข่าวเรื่องนี้ สตง.
ก็ได้ไปตรวจสัญญาการจ้างเหมา ซื้อกล้องซีซีทีวี ของ กทม.
ใน ปี 2553 ที่เริ่มสัญญาเมื่อเดือน มิ.ย. 2553
และ เสร็จสิ้นสัญญาในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ในวงเงิน 126 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อไปสุ่มตรวจกลับพบว่า บางส่วนกลับไม่ได้บรรจบไฟ ทำให้กล้องที่ซื้อมานั้น
แม้จะติดตั้งแล้ว แต่ก็ใช้งานไม่ได้ จึงยังไม่สามารถเซ็นมอบงานได้
ซึ่งเมื่อทราบเรื่องแล้ว สตง. ได้สอบถามไปยัง กทม. ก็ได้รับคำตอบว่า
ยังไม่สามารถเจรจากับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
จึงไม่มีการปล่อยสัญญานไฟมา ซึ่งเราก็ได้สอบถามกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ในขณะที่ทางด้านของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ
นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ด้านฝ่ายข่าว ของ ป.ป.ช. กำลังรวบรวมข้อมูลข่าวสารของสื่อมวชน
โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวการติดตั้งกล้องวงจรปิดของกทม.
ที่พบว่า บางจุดมีการติดตั้งกล้องหลอก
คาดว่า เจ้าหน้าที่จะประมวลข้อมูลเสร็จภายในวันที่ 22 ก.ย.54
และเสนอให้คณะกรรมการ ปปช. พิจารณาในวันที่ 27 ก.ย.นี้
โดยเบื้องต้นคาดว่า จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา
ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการจี้ด้วยว่า
ในกรณีคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต 172 โครงการของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พบว่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างกล้องซีซีทีวีของ กทม.น่าจะมีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าทีโออาร์
ตั้งข้อสังเกตมีการฮั้วประมูล
โดยได้ยื่นเรื่องนี้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการต่อไปแล้วนั้น
เรื่องนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
น่าจะเข้าดำเนินการโดยด่วน เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง
และได้มีการฝากไปถึงฝ่ายค้านอื่นๆให้ช่วยกันตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
อยากจะให้ฝ่ายค้านได้เข้ามาทำงานร่วมกันกับรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
โดนเข้าเต็มๆ ประชาธิปัตย์ก็เลยควันออกหู
และพยามพลิกเกมตามสไตล์ โดยนายอภิสิทธิ์
ซึ่งถูกถามถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับสอบในเรื่อง
การจัดซื้อกล้องวงจรปิด (CCTV) ของกรุงเทพมหานคร ว่าคงไม่เป็นปัญหา
เมื่อมีหน้าที่ที่จะตรวจสอบก็ตรวจสอบกันไป ในส่วนของผู้ว่าฯ กทม.ทั้งอดีตและคนปัจจุบัน
ก็ไม่มีปัญหา การทำงานในสถานะอะไรก็ตามผู้ทำงานต้องรับผิดชอบ ไม่อยากให้สังคมสับสน
แถมยังอ้างกลับด้วยว่า เรื่องกล้องวงจรปิด อย่างเช่น
กล้องพรางนั้นเป็นสิ่งที่ใช้และทำมาตั้งแต่เริ่มทำโครงการ CCTV
ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มไว้ที่ภาคใต้
โดยแยกเป็นกล้องจริงประมาณ 3,000 ตัว และกล้องดัมมี่ประมาณ 7,000 ตัว
เป็นเรื่องที่ทำกันมาแบบนี้ ต่างประเทศก็ทำเช่นนี้
แนวทางเดิมๆ ด้วยการออกตัวว่าสิ่งเหล่านี้คนอื่นๆก็ทำกัน
แต่ปัญหาก็คือ 2 ปี 7 เดือนที่เป็นรัฐบาล ทางนายอภิสิทธิ์
ไม่ได้มีการออกมาให้ข้อมูลประชาชน หรือว่ามีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเลย
แต่พอพวกตนเองโดนตรวจสอบ กลับเอามาใช้เป็นข้ออ้างในทันที
กับอีกปัญหาหนึ่งที่ประชาชนคนกรุงเทพฯคาใจ นั่นก็คือ
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ และนายอภิรักษ์
รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร
ทำไมจึงปล่อยให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน
รณรงค์ในเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดครบ 10,000 ตัว
จนถึงขั้นมีการทำประชาสัมพันธ์ถ่ายรูปเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกเป็นข่าวไปทั่ว
แต่ทำไมนายอภิสิทธิ์ และนายอภิรักษ์ ไม่มีการกระซิบบอก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์เลยสักคำ
อย่างน้อยถ้าบอก ใน 10,000 ตัวก็จะได้รีบเอาไปติดตั้งแทนกล้องลวงโลกได้ทัน
ไม่ต้องให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ต้องหน้าแตก
เอาในช่วงเวลาที่เหลืออีกเพียงปีเศษก็จะครบวาระ จะต้องเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คนใหม่แล้ว
หรือนี่คือแผนเตะตัดขากันเองภายในพรรค
ที่จะไม่ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้รีเทิร์นกลับมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เป็นสมัยที่ 2...
อย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในเวลานี้
เพราะในพรรคประชาธิปัตย์เอง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
มีการออกมาให้ข้อมูลว่า สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง
ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ผ่านมาของ กทม. มีจำนวน 4 ฉบับ
โดยอ้างว่าในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีการทำสัญญาเพียงหนึ่งฉบับ คือ
ติดตั้งกล้องจริง 347 ตัว ดัมมี่ 242 ตัว ราคาตัวละ 2,900 บาท เป็นเงิน 7 แสนบาท
ส่วนสัญญาฉบับที่สองถึงฉบับที่สี่เกิดขึ้นในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร
โดยฉบับที่ 2 มีการติดตั้งกล้องจริง 533 ตัว กล้องดัมมี่ 373 ตัว
ฉบับที่สามมีการติดตั้งกล้องจริง 490 ตัว กล้องดัมมี่ 343 ตัว และ
ฉบับที่สี่ ติดตั้งกล้องจริง 676 ตัว กล้องดัมมี่ 367 ตัว
รวมทั้งหมดมีการติดตั้งกล้องจริง 2,046 ตัว และกล้องดัมมี่ 1,325 ตัว วงเงินทั้งหมดรวม 330 ล้านบาท
เป็นการให้ข้อมูลที่เหมือนจะบอกว่า
นายอภิรักษ์ ที่ใช้เงินซื้อกล้องลวงโลกไปเพียงแค่ 7 แสนกว่าบาทเท่านั้น
ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ใช้เงินถึง 330 ล้านบาทในการซื้อกล้องลวงโลก
เพราะนายอภิสิทธิ์ เองเมื่อถูกถามว่า
จะมีผลกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมีขึ้นหรือไม่นั้น ก็ตอบสั้นๆแค่ว่าไม่ทราบ
แต่ก็ให้ตรวจสอบทำความเข้าใจกันไป และอ้างว่ายังอีกนานกว่ามีจะมีการเลือกตั้ง
งานนี้น่าเห็นใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์เป็นที่สุด
และก็อดห่วงพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับที่บรรดาผู้อาวุโสของพรรคหลายคน
ที่มีความอึดอัดใจกับสไตล์ของ อภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งส์ ไม่ได้
เพราะหากยังขืนเล่นการเมืองสไตล์นี้
โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมาเลือกตั้งชนะพรรคเพื่อไทยด้วยลำพังตัวเอง
ด้วยผลงานของพรรคเอง โดยที่ไม่ต้องอาศัยพึ่งพิงขั้วอำนาจต่างๆนั้น
เป็นเรื่องที่ถือว่ายากมากจริงๆ
เพราะล่าสุด เอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ได้รายงานผลสำรวจเรื่องเปรียบเทียบ
ความนิยมศรัทธาของสาธารณชน ต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48.5 ไม่นิยมใครเลย
ในขณะที่ร้อยละ 38.6 นิยมศรัทธาต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์
และร้อยละ 12.9 นิยมศรัทธาต่อนายอภิสิทธิ์
โดยที่พบว่ากลุ่มเกษตรกรร้อยละ 43.0 พ่อบ้านแม่บ้านร้อยละ 42.2
และกลุ่มคนว่างงานไม่มีอาชีพร้อยละ 43.1 เป็นกลุ่มที่นิยมศรัทธานางสาวยิ่งลักษณ์มากที่สุด
และกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เป็นกลุ่มที่มีคนนิยมศรัทธาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 28.7
ขณะที่ในกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 39.2 นิยมนางสาวยิ่งลักษณ์
โดยที่ร้อยละ 16.7 นิยมนายอภิสิทธิ์
เรียกว่าความนิยมต่างกันเกินกว่าเท่าตัวเช่นนี้
จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์หันมาทบทวนสไตล์ของตนเองบ้างดีหรือไม่???
หรือจะปล่อยให้พรรคเสี่ยงต่อไปเรื่อยๆเช่นนี้
http://www.bangkok-today.com/node/10467