ที่มา ประชาไท
14 กรกฎาคม, 2012 - 10:03 | โดย buddhistcitizen
David Loy เขียน
วิจักขณ์ พานิช กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร แปล
ภาพประกอบจาก http://www.ibtimes.com/articles/228475/20111010/occupy-wall-street-protests-protestors-paid-hired-jobs-volunteer-chicago-hispanic.htm
ในข้อเขียนชิ้นหนึ่งที่สะท้อนทัศนะพุทธศาสนาต่อประเด็น Occupy Wall Street
(#OWS) ไมเคิล สโตนได้ยกคำกล่าวของนักปรัชญา สลาวอย ชิเช็ค
ผู้ปราศรัยต่อหน้าผู้ชุมนุม #OWS ที่สวนสาธารณะซัคกอตติ ในรัฐนิวยอร์ค
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ไว้ดังต่อไปนี้
”พวกเขาบอกว่าเรามันก็แค่พวกเพ้อฝัน
นักฝันที่แท้จริงคือพวกที่คิดว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินอย่างที่มันเป็นต่อไป
เรื่อยๆ ดังนั้นเราจึงไม่ใช่นักฝัน
แต่เราคือผู้ตื่นจากฝันที่กำลังจะกลายเป็นฝันร้าย
เราไม่ได้กำลังทำลายสิ่งใด
เราแค่กำลังเป็นสักขีพยานต่อระบบที่กำลังทำลายตัวมันเอง
เราต่างก็รู้ดีถึงฉากคลาสสิคจากหนังการ์ตูนทอมแอนด์เจอรี่
เจ้าแมวเดินมาถึงหน้าผา แต่กลับเดินต่อไปไม่รู้ไม่ชี้
เพิกเฉยราวกับไม่มีอะไรอยู่เบื้องล่าง
แต่แล้วเมื่อมันมองลงไปและเริ่มสังเกต มันก็ร่วงตกเหว
นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ที่นี่ เรากำลังบอกผู้คนในวอลล์ สตรีท ...
เฮ้ย! มองข้างล่าง!”
ดังที่สลาวอยกล่าวและไมเคิลเน้นย้ำ
เรากำลังเริ่มตื่นขึ้นจากความฝันนั้น นั่นถือเป็นวิธีอธิบายที่น่าสนใจ
เพราะพระพุทธเจ้าก็ตื่นขึ้นจากฝันเช่นเดียวกัน พุทธะ หมายถึง “ผู้ตื่น”
เขาตื่นขึ้นจากความฝันอันใดกัน
และความฝันนั้นสัมพันธ์กับฝันร้ายในยุคสมัยของเราหรือไม่?
ตั้งแต่แรกเริ่ม #OWS ถูกวิจารณ์ในความไม่ชัดเจนของข้อเรียกร้อง
แม้จะชัดเจนว่า ต่อต้าน ระบบปัจจุบัน
แต่ก็ไม่ชัดเจนนักว่าข้อเรียกร้องนั้นมีขึ้นเพื่ออะไร
จากนั้นดูเหมือนว่าการระดมความคิดและข้อมูลจะพัฒนาขึ้น
ผู้ประท้วงหลายคนเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีคนรวยให้สูงขึ้น
เสนอให้มีการเสียภาษีการค้า (Tax on Trades) ที่เรียกว่า “โรบินฮู้ด”
(โทบิน) และการปฏิรูประบบการเงิน
เพื่อแยกธนกิจเพื่อการพาณิชย์กับธนกิจเพื่อการลงทุนออกจากกัน
ประเด็นเหล่านี้เป็นเป้าประสงค์ที่มีคุณค่า
แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าข้อเสนอเหล่านั้นในตัวมันเองจะแก้ไขปัญหาพื้น
ฐานได้ทั้งหมด
เราต้องให้ความสำคัญกับความรู้สึกไม่พอใจอันไม่เฉพาะเจาะจงไปยังเรื่องใด
เรื่องหนึ่งที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึก
เพราะมันสะท้อนถึงการตระหนักรู้ทั่วไปอันไม่เฉพาะเจาะจง
การตระหนักรู้ที่ว่า...รากของวิกฤตนั้นหยั่งลึกมาก
และเราต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก (ตรงตามตัว)
วอลล์ สตรีท
คือส่วนที่มองเห็นและเข้มข้นที่สุดของฝันร้ายที่ใหญ่กว่านั้นมาก อันได้แก่
มายาคติแบบรวมหมู่ที่ว่า ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันทั้งในแง่โลกาภิวัฒน์
บริโภคนิยม และทุนนิยมบรรษัท ไม่ใช่แค่ระบบที่ดีที่สุด
แต่เป็นระบบเดียวที่เป็นไปได้ ดังคำกล่าวอันลือลั่นของมากาเร็ต
แท็ตเชอร์ที่ว่า “มันไม่มีทางอื่น”
ทว่าหลายเหตุการณ์ในรอบสองสามปีที่ที่ผ่านมาได้สั่นคลอนความมั่นใจที่ว่า
นั้น และเหตุการณ์ในสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
คือปฏิกิริยาสะท้อนการตระหนักรู้ที่ลุกลามออกไป
ว่าระบบเศรษฐกิจของเรานั้นเอื้อประโยชน์ให้แก่คนมีอันจะกิน (พวก ๑ %)
ในค่าใช้จ่ายที่คนชั้นกลาง (ลดเร็ว) และคนจน (เพิ่มเร็ว) ต้องเสีย
และแน่นอนว่ายังรวมถึงหายนะของระบบนิเวศทั้งหลาย
ซึ่งจะส่งผลไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
สิ่งที่เรากำลังตื่นขึ้นคือข้อเท็จจริงที่ว่าระบบอันอยุติธรรมนั้นกำลังพัง
ครืนลง และมัน “สมควร” แล้วที่จะพัง
เพื่อว่าทางเลือกอื่นจะสามารถพัฒนาขึ้นได้
ไม่เพียงแค่ระบบเศรษฐกิจเท่านั้นที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก
เพราะในความเป็นจริง หาได้มีเส้นแบ่งระหว่างเศรษฐกิจกับการเมืองไม่
ด้วยคำตัดสินของศาลสูงสุดต่อกรณี ”Citizens United”
เมื่อปีที่แล้วที่ได้ยกเลิกเพดานเงินสนับสนุนที่บรรษัทข้ามชาติสามารถสนับ
สนุนพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง
อำนาจของบรรษัทยักษ์ใหญ่จึงสามารถเข้ามาควบคุมองค์กรส่วนกลางและหน่วยงานรัฐ
ชั้นสูงทั้งหมด รวมถึงทำเนียบประธานาธิบดีด้วย
(โอบาม่าได้รับเงินสนับสนุนการหาเสียงเลือกตั้งจากวอลล์
สตรีทมากกว่าประธานาธิบดีคนอื่นๆ ทั้งหมดตั้งแต่ปี ๑๙๙๑ เป็นต้นมา
ซึ่งช่วยอธิบายทางเลือกที่น่าผิดหวังของที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของเขา)
วันนี้ปัญญาชนสามารถสลับหมวกไปมาได้อย่างง่ายดาย
จากซีอีโอไปสู่ตำแหน่งในคณะรัฐบาล และอื่นๆ
เพราะว่าทั้งสองด้านต่างก็ยึดโลกทัศน์แบบเดียวกัน
นั่นคือทางแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ
และแน่นอนว่าพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากวิสัยทัศน์แบบเกี๊ยะเซี๊
ยะนี้มากที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงความท้าทายของพวกเราที่เหลือ
ที่ต้องตระหนักว่ากลุ่มคนที่ควบคุมระบบการเมืองและเศรษฐกิจทั้งหมด
แทบไม่มีความมุ่งมั่นใดๆ
ต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากให้เกิดขึ้นได้เลย
แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะไม่ได้กลายเป็นตัวตลกแบบเดียวกับพรรครีพับลิกัน
ทว่าในขั้นพื้นฐานนี้ก็แทบไม่มีข้อแตกต่างอะไรระหว่างพรรคการเมืองทั้งสอง
แดน แฮมเบิร์ก วุฒิสภาพรรคเดโมแคร็ตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย
กล่าวข้อสรุปจากหลายปีในการดำรงตำแหน่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า
“รัฐบาลตัวจริงของประเทศเรา
คือระบบเศรษฐกิจที่ถูกครอบงำโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย
ซึ่งทำทุกวิถีทางให้รัฐต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา
สร้างบรรยากาศและความมั่นใจต่อการลงทุน
ที่บรรษัทเหล่านั้นและผู้ลงทุนสามารถแสวงหาผลกำไรเป็นตัวเลขมหาศาล
อันเป็นเป้าหมายของทั้งสองพรรคใหญ่”
นอกจากนั้นเรายังมีรัฐสภาที่ดีที่สุดที่เงินสามารถซื้อได้ ดังที่วิล
โรเจอร์ส ตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่ยุค ๑๙๒๐
จากทัศนะของพุทธศาสนา
ประเด็นคือระบบทั้งหมดนี้ไม่สอดคล้องกับคำสอนพุทธศาสนา
เพราะมันเป็นระบบที่ส่งเสริมความโลภและความหลง อันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์
แก่นของวิกฤติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือบทบาททางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองของบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย
อันดำรงอยู่ได้อย่างเป็นเอกเทศโดยตัวมันเอง
และกระทำการเพื่อเป้าหมายแอบแฝงของตัวเองอีกด้วย
นอกเหนือจากการประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อต่อสาธารณะที่พวกเราต่างรู้
กันดี
สิ่งที่บรรษัทเหล่านั้นสนใจที่สุดแตกต่างไปจากสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา
บางครั้งเราจะได้ยินเกี่ยวกับ “บรรษัทรู้แจ้ง”
ทว่าอุปมาอุปมัยนั้นหลอกลวงและไม่มีอะไรเหมือนกันระหว่าง
“การรู้แจ้ง”แบบนั้น กับการรู้แจ้งที่สอนกันในพุทธศาสนา
อำนาจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของบรรษัทยักษ์ใหญ่ ค่อยๆ
พัฒนาสู่ความเป็นสถาบันในปี ๑๘๘๖ เมื่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ
ได้ออกกฏหมายให้บรรษัทเอกชนกลายเป็น “บุคคลโดยธรรมชาติ”
ภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และได้รับการปกป้องภายใต้รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of
Rights) ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นี่แสดงให้เห็นชัดถึงปัญหาอันน่าขัน
ดังที่โปสเตอร์ของผู้ประท้วงหลายชิ้นได้อ้างถึง บรรษัททั้งหลายไม่ใช่คน
เพราะว่ามันคือการผลิตสร้างทางสังคม และที่แน่ๆ
คำว่าการรวมตัวกันเป็นบริษัท (incorporations: from the Latin corpus,
corporis “ร่างกาย”) ไม่ได้หมายความถึงการมีร่างกาย
บรรษัททั้งหลายเป็นเพียงนวนิยายทางกฏหมายที่สร้างขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐ
ซึ่งหมายความว่าโดยธรรมชาติภายใน
พวกมันเพิกเฉยต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ผู้คนสัมผัสได้
บรรษัทไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้
มันไม่สามารถรื่นรมย์กับโลกหรือมีความทุกข์กับโลก
มันไม่รู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่มันทำ (บางโอกาสมันอาจขอโทษ
แต่นั่นเป็นเพียงความสัมพันธ์ที่มีต่อสาธารณะเท่านั้น)
ที่สำคัญที่สุด บรรษัทข้ามชาตินั้นไม่สามารถรักใครได้
ความรักคือการตระหนักถึงความเชื่อมสัมพันธ์กับคนอื่น
และใช้ชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของพวกเขา
ความรักไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแต่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น
ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้คน
ความรับผิดชอบที่ข้ามพ้นความสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
บรรษัทข้ามชาติทั้งหลายไม่สามารถสัมผัสกับความรัก หรือกระทำการใดๆ
ตามอำนาจของความรัก
ซีอีโอคนใดก็ตามที่พยายามจะบริหารกำไรของบริษัทด้วยความรักที่มีต่อโลกใบ
นี้ จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งทันที
เพราะพวกเขากำลังเพิกเฉยต่อการเติมเต็มเป้าหมายหลัก
นั่นคือการแสวงหาผลกำไรสูงสุด
อันเป็นความรับผิดชอบที่พวกเขาต้องมีต่อเจ้าของและผู้ถือหุ้นทั้งหลาย
การรู้แจ้งในทางพุทธ โดยนัยหนึ่ง คือการตระหนักว่า
สัญชาตญาณของการมีชีวิตอยู่ในแง่ตัวตนที่แยกขาดจากโลกนั้นเป็นมายาคติที่ก่อ
ให้เกิดความทุกข์ทั้งสองทาง (ทั้งต่อโลกและต่อตัวฉัน) การตระหนักว่าฉัน
เป็น โลกใบนี้ และตระหนักว่า “ฉัน”
เป็นหนึ่งในหลายหนทางที่โลกใบนี้เผยแสดง --
ถือเป็นด้านแห่งการรับรู้ความรักอันเป็นสากล
ซึ่งอริยบุคคลผู้รู้แจ้งรู้สึกต่อโลกใบนี้และสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่
การรู้แจ้ง(ปัญญาญาณ) และความรัก (กรุณา) คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมธรรมาจารย์ในพุทธศาสนาจึงเน้นย้ำอยู่บ่อยๆว่ า
การตื่นรู้อย่างแท้จริงจะมาพร้อมกับความรักต่อสรรพชีวิตบนโลกใบนี้
บรรษัทถูก “เติมเชื้อ” พร้อม ๆ
ไปกับการเสริมสร้างลักษณะความเป็นมนุษย์ในแบบที่แตกต่างจากทั่วๆไป
ระบบเศรษฐกิจที่ครอบงำโดยบรรษัทข้ามชาติต้องอาศัยความโลภในอย่างน้อยสองทาง
ด้วยกัน คือ หนึ่ง ความปรารถนาที่จะแสวงหาผลกำไรแบบไม่บันยะบันยัง
และนั่นคือเครื่องจักรของกระบวนการทางเศรษฐกิจ และสอง
การจะรักษาผลเติบโตทางเศรษฐกิจให้พุ่งสูงยิ่งขึ้น
จะต้องมีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าเกิดความต้องการมากขึ้นอยู่เสมอ
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับความโลภได้กลายเป็นเรื่องแย่หนักขึ้นไปอีก
เมื่อถูกทำให้กลายเป็นสถาบันในรูปของโครงสร้างอันถูกต้องตามกฏหมายที่ได้ยึด
ครองอภิสิทธิ์อย่างเป็นอิสระจากคุณค่าในตัวมันเองและแรงจูงใจของผู้คนที่ถูก
ใช้โดยมัน ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น โดยนัยหนึ่ง
นักลงทุนต้องการเพิ่มรายได้ในรูปของโบนัสและราคาหุ้นที่สูงขึ้น
และอีกนัยหนึ่งความคาดหวังอันไม่ระบุนามนี้ได้แปรไปสู่แรงกดดันอันต่อเนื่อง
ต่อผลกำไรและการเติบโตทางธุรกิจในระยะสั้น ส่วนสิ่งอื่นๆ
รวมถึงสิ่งแวดล้อม การจ้างงาน และคุณภาพชีวิต ได้กลายเป็น “สิ่งนอกตัว”
ภายใต้ความต้องการอันไม่ระบุนาม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่มีทางจะเติมเต็มได้
เราต่างมีส่วนร่วมในกระบวนการที่ว่านี้ ในฐานะคนงาน ลูกจ้าง ผู้บริโภค
และนักลงทุน
ซึ่งมีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
เพราะการตระหนักรู้เช่นนั้นได้สูญหายไปภายใต้ความไม่เป็นบุคคลของระบบทั้ง
หมด
แต่เราอาจแย้งว่า บรรษัทบางแห่ง
(ซึ่งมักเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือบริหารงานกันในครอบครัว)
ให้การดูแลลูกจ้างของพวกเขาเป็นอย่างดี และยังห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ
ข้อโต้แย้งลักษณะนี้เป็นข้อโต้แย้งเดียวกับเรื่องทาส
ที่ว่านายทาสบางคนดูแลลูกทาสของพวกเขาอย่างดี
แต่นี่ไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่าสถาบันทาสนั้นมาถึงจุดที่สุดจะทานทน
เช่นเดียวกับที่ทุกวันนี้
เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไปที่คุณภาพชีวิตรวมถึงวิธีการจัดสรร
“ทรัพยากร”
อันจำกัดของโลกใบนี้กำลังเป็นไปเพื่อผลกำไรสูงสุดของบรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง
หลาย
โดยย่อ เรากำลังตื่นขึ้นมาสู่ความจริงที่ว่า
แม้บรรษัทข้ามชาติทั้งหลายอาจทำกำไรได้มากมายในทางเศรษฐกิจ
ทว่าพวกมันก็ถูกสร้างขึ้นในหนทางที่ทำให้ตัวมันเองมีข้อบกพร่องในทางสังคม
เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่พวกมันสร้างขึ้นอยู่ตลอด
ด้วยการชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในทุก ๆ ครั้ง (มอร์แกน สแตนลีย์,
แบงก์ออฟอเมริกา) เพราะว่ามันคือตัวสถาบันเองต่างหากที่เป็นปัญหา
เมื่อได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือกระบวนการทางการเมือง
การท้าทายบทบาทของมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าพวกมันมีสายสะดืออันใหญ่
นั่นคือ
ข้อตกลงของบรรษัทสามารถถูกเขียนขึ้นใหม่โดยเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคมและ
สิ่งแวดล้อม กลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
(Network of Spiritual Progressives)
ได้เรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชอบทางสังคม
และสิ่งแวดล้อม Environmental and Social Responsibility Amendment (ESRA)
ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐเพื่อให้มีผลบังคับใช้ หากโชคชะตาของเรา
คือการอยู่ในอุ้งมือของบรรษัทต่อไป
บรรษัทเหล่านั้นจะต้องมีความรับผิดชอบต่อชุมชนที่บรรษัทนั้นตั้งอยู่
ไม่ใช่ต่อกลุ่มนักลงทุนซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร บางที #OWS
คือจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวซึ่งจะทำให้สิ่งนี้ประสบผลสำเร็จก็เป็นได้
ทว่า เพียงเท่านี้อาจไม่เพียงพอ มีสิ่งที่สำคัญและเป็นพื้นฐานยิ่งกว่า
นั่นคือโลกทัศน์ที่ส่งเสริมและให้เหตุผลต่อฝันร้ายทางเศรษฐกิจที่เรากำลังจะ
ตื่นขึ้นมาจากมัน ในพุทธศาสนา ปัญหาไม่ใช่อยู่แค่ความโลภ
แต่ยังรวมถึงอวิชชา
ทฤษฎีที่ใช้กันบ่อยที่สุดเพื่อแก้ต่างให้กับทุนนิยมก็คือ
“มือที่มองไม่เห็น” ของอดัม สมิทธิ์
ที่พยายามบอกเราว่าความสนใจของเราแต่ละคนนั่นเองที่ทำหน้าที่สร้างกำไรต่อ
สังคมส่วนรวมทั้งหมด อย่างไรก็ดี ฉันยังสงสัยว่า
บ่อยครั้งที่ซีอีโอทั้งหลายถูกจูงใจโดยบางสิ่งที่ดูน่าสนใจน้อยกว่า
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อิทธิพลของบรรษัทข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ
กับการเป็นที่นิยมของทฤษฎีสังคมแบบดาร์วิน
อันเป็นอุดมการณ์ที่ใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินอย่างผิดๆ
ต่อชีวิตทางสังคมและทางเศรษฐกิจ “สังคมคือป่าทึบ
และคนที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด” หากเธอไม่เอาเปรียบคนอื่น
คนอื่นก็จะเอาเปรียบเธอ
วิวัฒนาการแบบดาร์วินได้กำจัดความต้องการการมีอยู่ของ “ผู้สร้าง”
และความต้องการที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของท่าน
มาถึงตอนนี้มันคือการต่อสู้เพื่อจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองของคนทุกคน
ทฤษฎีทางสังคมแบบดาร์วินสร้างวงจรป้อนกลับ (feedback loop) ขึ้นมา
ยิ่งมีคนศรัทธาและปฏิบัติตามมากเท่าไร
สังคมก็ยิ่งกลายเป็นผืนป่าทางสังคมแบบดาร์วินมากเท่านั้น
นี่คือตัวอย่างคลาสสิคของวิธีการที่เราร่วมกันสร้างโลกที่เราอยู่ขึ้นมา
และนี่อาจเป็นที่ที่พุทธศาสนามีคุณูปการมากที่สุด
เพราะว่าพุทธศาสนาได้ให้โลกทัศน์ทางเลือก
อันตั้งอยู่บนความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
ซึ่งมุ่งอธิบายว่าทำไมเราจึงไม่มีความสุขและทำอย่างไรที่เราจะมีความสุขยิ่ง
ขึ้น
งานวิจัยล่าสุดทางจิตวิทยาและทางเศรษฐศาสตร์ยืนยันถึงบทบาททำลายล้างของ
ความโลภ และความสำคัญของสายสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี
ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนในพุทธศาสนาเรื่องการแบ่งปัน และการเอื้ออิงอาศัยกัน
อีกนัยหนึ่ง ไม่ใช่แค่ระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองเท่านั้นที่เป็นปัญหา
แต่ยังรวมถึงโลกทัศน์ผิดๆ ที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวและการแก่งแย่งแข่งขัน
แทนที่การอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน และความปรองดองกันฉันท์มิตร
ในสังคมตะวันตกได้เกิดรอยแยกระหว่างความเชื่อเทวนิยมที่ค่อยๆ
กลายเป็นสิ่งที่ยากที่จะเชื่อ และอุดมการณ์แบบหมากินหมา
ซึ่งได้ทำให้ชีวิตย่ำแย่หนักเข้าไปอีกสำหรับทุกคน โชคดีที่ ณ
ปัจจุบันนี้เรามีทางเลือกอื่นๆ
พุทธศาสนายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้จาก #OWS นั่นคือ
การจะมุ่งเน้นไปที่การตื่นจากความฝันของเราแต่ละคนในแง่ปัจเจกเท่านั้นยัง
ไม่พอ ถึงเวลาที่เราต้องตื่นขึ้นจากฝันร้ายแบบรวมหมู่ไปด้วยกัน
แล้วนี่ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่จะนำเอาการปฏิบัติภาวนาออกมาสู่ท้องถนน?
"หากเรายังคงทำร้ายโลกในหนทางเช่นนี้
ก็ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติกำลังจะพินาศในท้ายที่
สุด การหมุนกลับนี้ต้องอาศัยการตื่น หรือการรู้แจ้ง
พระพุทธะบรรลุถึงการรู้แจ้งเชิงปัจเจก แต่ในตอนนี้
เราต้องการการรู้แจ้งร่วมกันเพื่อหยุดยั้งวิถีทางแห่งการทำลายล้าง
ความเจริญรุ่งเรืองกำลังเดินทางมาถึงจุดจบ
หากเรายังคงจ่อมจมอยู่กับการแก่งแย่งแข่งขัน เพื่อช่วงชิงอำนาจ ชื่อเสียง
เซ็กซ์ และผลกำไร"
---- ติช นัท ฮันห์
(แปลจาก Waking Up from the Nightmare: Buddhist Reflections on Occupy Wall Street by David Loy)