ที่มา Thai E-News
การ ที่รายงานคอป.สรุปเสมือนเป็นความจริงว่าศอฉ.มั่นใจว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมมีผู้ ก่อการร้ายซึ่งมีอาวุธสงครามอยู่นั้น เป็นการสรุปที่มีปัญหาทั้งในทางระเบียบวิธีวิจัยทางวิชาการ และปัญหาจริยธรรมของผู้วิจัย..นอกจากบิดเบือนแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับ “คนชุดดำ” ยังเกิดจากวิธีสร้างข้อสรุปแบบ “จิตนิยม” เกินเลยไปจากที่มีข้อมูลหลักฐานยืนยัน
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรพล พรหมิกบุตร
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะ
กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ
(คอป.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๕๓
ได้แถลงและเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์ที่เป็นผลการสอบสวนค้นหาความจริงกรณี
เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) และความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
โดยแถลงต่อสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งที่โรงแรมแห่งหนึ่งเมื่อวัน
ที่
๑๖ กันยายน ๒๕๕๕
รายงานผลการค้นหาความจริงที่มีความยาวกว่า
๒๐๐
หน้าไม่มีการตรวจสอบหรือวิเคราะห์สรุปความจริงที่อาจเป็นประเด็นสำคัญบาง
ประเด็นแต่สามารถส่งผลต่อเนื่องในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้นำรัฐบาลที่แต่ง
ตั้งตนเอง
เช่น ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช.ก่อนวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕
ว่าผู้ชุมนุมได้ใช้ความรุนแรงหรือไม่และการประกาศใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการ
บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พุทธศักราช ๒๕๔๗
ที่เป็นช่องทางให้รัฐบาลสั่งการให้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายการ
ชุมนุมในเหตุการณ์ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม
๒๕๕๓นั้นเป็นการประกาศใช้อำนาจโดยมี “สถานการณ์ฉุกเฉิน” เกิดขึ้นจริงตามความหมายที่กฎหมายบัญญัติหรือไม่
รายงานฉบับสมบูรณ์ของคอป.สร้างขึ้นจากกระบวนการรวบรวมข้อมูลและการค้นคว้าที่ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร
(documentary
research) และวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative) เป็นเครื่องมือหลัก
แต่นักวิชาการที่มีความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยอาจตรวจพบความบกพร่อง ความผิดปกติ
และปัญหาการใช้เครื่องมือวิจัยอย่างบกพร่องจริยธรรมทางวิชาการได้ไม่ยากนักจากการตรวจสอบรายละเอียดในเนื้อหารายงานฉบับนั้นเอง
๑.
วิธีการใช้ข้อมูลและการสรุปความจริงในรายงานคอป.
ข้อมูลหลักที่คอป.ใช้ในการสรุปรายงานของตนเป็นข้อมูลเอกสารรวมทั้งข้อมูลที่มีผู้บันทึกไว้ก่อนแล้ว[i] (archival data) และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ (interview) ซึ่งคณะทำงานของคอป.รวบรวมเพิ่มเติม[ii]
ข้อมูลทั้งที่เป็นข้อมูลเอกสารและข้อมูลสัมภาษณ์มีปริมาณมากแต่ข้อมูลสำคัญจำนวนหนึ่งถูกบิดเบือน
(distorted)
ทั้งการบิดเบือนมาก่อนแล้วโดยแหล่งข้อมูลที่คอป.นำมาใช้อ้างอิงและการบิดเบือนโดยวิธีการเขียนของคอป.เอง
๑.๑.๑ ตัวอย่างของข้อมูลที่มีการบิดเบือนมาก่อนแล้วในแหล่งข้อมูลที่คอป.นำมาใช้อ้างอิง เช่น
การสรุปข้อมูลเหตุการณ์วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ในรายงานคอป. หน้า ๗๕
ซึ่งคอป.อ้างอิงจากรายงานข่าวใน www.komchadluek ว่า ; “การ
ที่สถานีพีเพิลแชนแนลถ่ายทอดการชุมนุมนปช.ที่เวทีราชประสงค์โดยมีการบิด
เบือนข้อมูลข่าวสาร....
การถ่ายทอดการชุมนุมดังกล่าวซึ่งถูกประกาศว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและ
ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามคำสั่งศาลแพ่งจึงเป็นการทำผิดกฎหมายและสนับสนุนการทำผิด
กฎหมาย”
ข้อมูลหรือข้อความดังกล่าวถูกคอป.นำมาใช้เสมือนเป็นข้อสรุปเหตุการณ์ดังกล่าวและถูกใช้อ้างอิงซ้ำ
ในรายงาน หน้า ๙๑ ข้อมูลดังกล่าวมีการบิดเบือน
เนื่องจากในคำสั่งศาลแพ่งที่ถูกนำมาอ้างนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ได้วินิจฉัยว่า
การชุมนุม
(ของนปช.) เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย
ข้อความในคำสั่งศาลแพ่งส่วนที่กล่าวถึงนี้เป็นการปฏิเสธคำร้องขอของรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ที่จะให้ศาลแพ่งใช้อำนาจตุลาการสั่งระงับการชุมนุมของนปช.
แต่ศาลแพ่งทำคำสั่งโดยเขียนในเอกสารคำสั่งศาลแพ่งว่าหากรัฐบาลเห็นว่าเป็น
การชุมนุมที่ผิดกฎหมายก็สามารถใช้อำนาจดำเนินการได้เอง[iii]
๑.๑.๒ ตัวอย่างข้อมูลที่มีการบิดเบือนเพิ่มเติมในรายงานคอป.
เช่น การสรุปเหตุการณ์วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
กรณีที่นปช.ประกาศยังไม่ยุติการชุมนุม โดยรายงานของคอป. อ้างว่า ; “นายจตุพร
พรหมพันธ์แถลงไม่ยอมรับการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของรองนายกรัฐมนตรี
และประกาศชุมนุมต่อไป”
ข้อมูลส่วนนี้ในรายงานคอป.มีการบิดเบือนรายละเอียดข้อเท็จจริงเนื่องจากคำ
แถลงของนายจตุพรดังกล่าวเป็นการประกาศชุมนุมต่อไปเพราะเหตุที่รองนายก
รัฐมนตรี
(นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)
เดินทางไปที่สำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษแต่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี
รองนายกรัฐมนตรี
;
การ
สรุปข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่มีการใช้หรือเขียนข้อความที่
นำไปสู่ความหมายในทางบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายส่วน เช่น
ข้อความในรายงานคอป. เกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วงค่ำวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ว่า “หลังถูกโจมตีด้วยลูกระเบิด เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธ ปลย.กระสุนจริง
ยิงไปในทิศทางที่มีผู้ชุมนุมอยู่หนาแน่น” เป็นข้อความที่กลบเกลื่อนและบิดเบือนข้อเท็จจริงซึ่งพยานบุคคลจำนวนมากได้ให้ข้อมูลในที่ต่าง
ๆ ว่าทหารได้ใช้อาวุธสงครามที่บรรจุกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมที่หนาแน่นมาก่อนแล้วในวันที่
๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ตั้งแต่ ก่อน การถูกโจมตีด้วยระเบิดในค่ำวันดังกล่าว[iv] ;
ข้อความในรายงานสรุปเกี่ยวกับปฏิบัติการสลายการชุมนุมวันที่
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ หน้า ๘๖ ที่คอป. เขียนให้ผู้อ่านเข้าใจเสมือนเป็นความจริงว่า ;
“การกระชับวงล้อมของเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจมีความจำเป็น
ต้องอาศัยรถเกราะหรือรถสายพานลำเลียงพลเพื่อเป็นเกราะป้องกันอันตรายจาก
อาวุธยิงต่าง
ๆ
ให้กับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจและสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้
ชุมนุม
เพราะทางศอฉ.มั่นใจว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมมีผู้ก่อการร้ายซึ่งมีอาวุธสงคราม
อยู่” ข้อความนี้ของคอป.
นอกจากจะมีผลในการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และศอฉ.แล้วยัง
สามารถตรวจพบการบิดเบือนความจริงได้ด้วยการเทียบเคียงข้อมูลเพิ่มเติม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทียบเคียงจากข้อมูลในรายงานปฏิบัติการของทางราชการเอง
กล่าว
คือ
ตลอดช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยกองบัญชาการ
ตำรวจนครบาลได้รับคำสั่งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ติดตามตรวจสอบความเคลื่อน
ไหวและรายงานข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับการชุมนุมของนปช.ให้รัฐบาลและศอฉ.รับ
ทราบอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโดยพบว่าผู้
ชุมนุมไม่มีอาวุธ
การ
ที่รายงานคอป.สรุปเสมือนเป็นความจริงว่าศอฉ.มั่นใจว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมมีผู้
ก่อการร้ายซึ่งมีอาวุธสงครามอยู่นั้นเป็นการสรุปที่มีปัญหาทั้งในทางระเบียบ
วิธีวิจัยทางวิชาการและปัญหาจริยธรรมของผู้วิจัย
เนื่องจากเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคณะทำงานรวบรวมข้อมูลของคอป.ไม่ทราบว่ามี
รายงานทางราชการของตำรวจนครบาลที่แจ้งต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นมาก่อน
แล้วว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ
ข้อมูลทางราชการที่นำมาเทียบเคียงได้และอยู่ในวิสัยที่คณะทำงานรวบรวมข้อมูล
ของคอป.จะต้องตรวจพบมาก่อนแล้ว
(แต่ไม่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ในรายงานของตน
โดยหากนำมาใช้ประกอบด้วยแล้วจะไม่สามารถสร้างข้อสรุปอย่างที่ต้องการสรุปใน
รายงานหน้า
๘๖ ดังกล่าได้) คือ
ข้อมูลจากรายงานการทำงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ได้รับมอบหมายให้
ประสานงานกับกลุ่มผู้ชุมนุม
ข้อมูล
ส่วนนี้นอกจากจะสืบค้นได้จากเอกสารราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้วยัง
สามารถพิสูจน์ทราบได้โดยง่ายจากบันทึกคำให้การในศาลอาญาโดยพลตำรวจตรีวิชัย
สังข์ประไพ (ในฐานะพยานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ
มุสิกพงศ์กับพวกรวม ๑๙ คน) เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ในคดีหมายเลขดำที่
อ.๒๕๔๒/๒๕๕๓
เนื้อหาในบันทึกคำให้การของพลตำรวจตรีวิชัยที่คัดลอกจากสำเนาเอกสารในราชการศาลอาญารับรองถูกต้องตามกฎหมาย ระบุข้อความว่า ; “ใน
การชุมนุมของกลุ่มนปช.
ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
ข้าฯได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานกับกลุ่มผู้ชุมนุม
โดยข้าฯกระทำการในนามของกองบัญชาการตำรวจนครบาล
ข้าฯเป็นผู้ดูแลรักษาความสงบของเหตุการณ์ทั้งหมด
รวมทั้งทำหน้าที่เจรจากับหัวหน้าผู้ชุมนุม
นอกจากในเขตรับผิดชอบของกองบังคับการตำรวจนครบาล ๑
ข้าฯยังได้รับมอบหมายและเป็นคณะทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการประสาน
งานกับผู้ชุมนุมทั้งหมดทั่วประเทศ
ดังนั้นข้าฯจึงได้ร่วมประสานงานกับกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งหมด
ในการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม
ข้าฯได้รับความร่วมมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะในเรื่องการหลีกเลี่ยงการจราจรเพื่อไม่ให้ติดขัด
ในการชุมนุมดังกล่าว เท่าที่ข้าฯไปตรวจสอบ
ไม่พบว่าผู้ชุมนุมผู้ใดสะสมอาวุธแต่อย่างใด” ;
นอกเหนือไปจากข้อความสรุปที่มีการบิดเบือนข้อมูลจากเหตุการณ์จริงแล้วเนื้อหาในรายงานคอป.เกี่ยวกับ
“คนชุดดำ” เช่น
ข้อความในรายงานคอป.หน้า ๑๑๒ ยังเกิดจากวิธีสร้างข้อสรุปแบบ “จิตนิยม” (idealism) ซึ่งเป็นข้อสรุปเกินเลยไปจากที่มีข้อมูลหลักฐานยืนยัน โดยรายงานคอป. สรุปอ้างว่า ; “คนชุดดำได้รับการสนับสนุนหรือความร่วมมือจากการ์ดนปช.จำนวนหนึ่งด้วย” และรายงานคอป.
ยังเขียนรายงานส่วนนี้ “ถลำล้ำเส้น”
ต่อไปอีกว่า ; “โดยผู้ชุมนุมและการ์ดนปช.ไม่ได้ห้ามปรามหรือขัดขวางการปฏิบัติการด้วยอาวุธของคนชุดดำแต่ประการใด”[v]
๑.๑.๓ ตัวอย่างข้อมูลที่มีความลำเอียงโดยการเลือก
(selection
bias) หมายถึงข้อมูลหรือกลุ่มข้อมูลที่ถูกนำไปใช้อ้างใน
รายงานการศึกษาโดยเจาะจงเลือกเอาเฉพาะข้อมูลที่สามารถใช้ประโยชน์ในการสร้าง
ข้อสรุปในทิศทางหนึ่งขณะที่ตัดทิ้งข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงและผู้ศึกษาทราบว่า
เกิดขึ้นจริงแต่จงใจตัดทิ้งเพื่อโน้มนำให้ผู้อื่นเชื่อตามข้อสรุปที่มีทิศ
ทางอย่างที่ผู้เสนอรายงานต้องการเผยแพร่
กรณีการใช้ข้อมูลที่ลำเอียงโดยการเลือกของคอป.
ปรากฎตัวอย่างมากมาย เช่น การสรุปรายงานที่นำข้อความจากคำปราศรัยของแกนนำนปช.
จำนวนหนึ่งมาเสนอในรายงานคอป. หน้า ๑๖๒-๑๖๗ ซึ่งคอป. ระบุว่าเป็น “ข้อค้นพบเกี่ยวกับพฤติการณ์การชุมนุมระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๕๓”
ทั้ง
นี้เป็นการเลือกเอาเฉพาะกรณีคำปราศรัยส่วนที่มีเนื้อหาเป็นการกระตุ้นความ
เตรียมพร้อมของผู้ชุมนุมในการตอบโต้กับการใช้ความรุนแรงของทางราชการ
โดยคอป.จัดระเบียบข้อมูลที่นำเสนอเป็นตารางที่อำนวยความสะดวกในการอ่านและตี
ความหมายในทางร้ายต่อนปช.ว่าเป็นการชุมนุมที่แกนนำยั่วยุประชาชนให้ใช้ความ
รุนแรง[vi] การเลือกข้อมูลเฉพาะด้านเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ขัดจริยธรรมทางวิชาการ
ทั้ง
นี้
ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าผู้วิจัยไม่สามารถนำเสนอข้อมูลส่วนดังกล่าวในรายงานสรุป
ของตน
แต่ด้วยเหตุผลว่าผู้วิจัยจงใจปิดบังข้อมูลการปราศรัยส่วนอื่นที่มีอยู่เป็น
จำนวนมากที่เป็นคำปราศรัยในทางป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมก่อความรุนแรง
การปราศรัยที่มีลักษณะสร้างสรรค์ให้ผู้ชุมนุมร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทาง
ราชการเช่นตำรวจที่ปฏิบัติงานโดยชอบด้วยกฎหมาย
การปราศรัยที่เป็นการแจ้งข้อมูลพัฒนาการของการเจรจาหรือการต่อสู้ทางการ
เมืองในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ให้ผู้ร่วมชุมนุมได้รับรู้และเข้าใจ
สถานการณ์ที่ผันแปรอย่างรวดเร็วและคาดคะเนล่วงหน้าได้ยาก
รวมทั้งการปราศรัยที่มีเนื้อหาเป็นการเปิดเผยข้อมูลทางประวัติศาสตร์การ
เมืองและหลักการประชาธิปไตย
เป็นต้น
การไม่นำเสนอตารางแจกแจงคำปราศรัยที่ตีความได้ในทางบวกต่อนปช.
เป็นความลำเอียงในการเลือกข้อมูลและทำให้รายงานคอป.เป็นเพียง “นิยาย” ที่แต่งขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกเลือกและบิดเบือน
ใน
ขณะเดียวกัน รายงานคอป.
ได้นำเสนอตารางสรุปข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการของศอฉ.ในลักษณะที่เป็นการ
เลือกใช้เอกสารทางราชการของศอฉ.และเอกสารอื่นที่เป็นบวกกับศอฉ.เป็นสำคัญ
(ดู รายงาน คอป. หน้า ๑๗๔-๑๙๔)
การนำเสนอข้อมูลส่วนนี้ยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาความลำเอียงในการเลือกข้อมูล
ยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้รายงาน คอป.
มีสาระสำคัญเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
๒. ผลที่คาดว่าจะได้รับจากรายงานฉบับสมบูรณ์ของคอป.
วิธีการจัดทำข้อมูลและวิธีเขียนข้อสรุปต่าง ๆ
ในรายงานคอป.มีผลที่คาดคะเนได้ว่าเป็นผลโดยตรงอย่างน้อย ๒ ประการ คือ
หนึ่ง การสร้างฐานข้อมูลทางราชการเพื่อรองรับการสรุปหรือการวินิจฉัยที่สร้างความชอบธรรมทางการเมืองและทางข้อกฎหมายให้แก่รัฐบาลและศอฉ.
และ สอง
การสร้างฐานข้อมูลสำหรับการปรักปรำที่อาจดำเนินการต่อไปทั้งในทางคดีความตาม
ข้อกฎหมายและการปรักปรำทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอนาคตให้ความผิดและ
ความรับผิดชอบตกเป็นของนปช.
นอกจากนี้
รายงานคอป.ยังสามารถส่งผลทางอ้อมที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นต่อไป
(หากไม่มีการแก้ไขและป้องกัน) ได้แก่
การสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธ์ในอดีตกับผู้สนันสนุนการเคลื่อนไหวของนปช.
ความขัดแย้งดังกล่าวมองเห็นล่วงหน้าได้ไม่ยากนักเนื่องจากสาระสำคัญของรายงานคอป.เต็มไปด้วยข้อความที่ปรักปรำความผิดให้นปช.
และแก้ต่างให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กับศอฉ.ว่ามีสาเหตุและความจำเป็นในการปฏิบัติการสลายการชุมนุมครั้งนั้น
นอก
จากนี้ผลทางอ้อมในระยะยาวจากรายงานดังกล่าวยังจะครอบคลุมระบบศึกษาและองค์
ความรู้ทางประวัติศาสตร์การเมืองของไทยให้กลายเป็นองค์ความรู้ของทางการที่
บิดเบือนความจริง
ก่อผลในการสร้างและกล่อมเกลาให้เกิดภาวะความโง่เขลาแก่อนุชนรุ่นหลังที่ไม่
ได้มีชีวิตร่วมสมัยอยู่ในเหตุการณ์แต่ต้องศึกษาประวัติศาสตร์เหตุการณ์จาก
หนังสือตำราและหลักสูตรที่ถูกบิดเบือนล่วงหน้ามาก่อนแล้วโดยบุคคลผู้เกี่ยว
ข้องในปัจจุบัน
ผลงานของคอป.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายงานฉบับสมบูรณ์ฉบับดังกล่าวของคอป.
ไม่สามารช่วยให้เกิดความปรองดองแห่งชาติตามที่อ้างในชื่อคณะกรรมการและคำสั่งแต่งตั้ง
แต่กลับมีผลในทางตรงข้ามคือการสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งแห่งชาติเพิ่มเติมซ้ำซ้อน ด้วยเหตุผลที่ผู้เขียนกล่าวข้างต้น
นอกเหนือไปจากนั้น เนื้อหาในรายงานคอป. ส่วนที่ ๓ เรื่อง “สาเหตุและรากเหง้าของความขัดแย้ง”
ก็เป็นเพียงการทบทวนทางวรรณกรรมและการนำเสนอหลักการและความคิดเชิงทฤษฎีที่
มิได้พยายามวิเคราะห์ข้อมูลรูปธรรมต่าง
ๆ ที่มีอยู่เป็นอันมาก
เพื่อสรุปสาเหตุรูปธรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงและความขัดแย้งในเหตุการณ์
ที่เป็นกรณีศึกษาดังกล่าวในรายงานส่วนดังกล่าวจึงไม่มีข้อสรุปที่อธิบาย
สาเหตุโดยตรงของความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
๒๕๕๓ ตามที่ตั้งขึ้นให้เป็นโจทย์สำหรับการค้นหาความจริงของคอป.
รวม
ทั้งไม่มีข้อเสนอทางปฏิบัติที่สามารถใช้ประโยชน์เป็นรูปธรรมในการช่วยคลี่
คลายแก้ไขปัญหาเพื่อการปรองดองแห่งชาติตามที่กำหนดในคำสั่งแต่งตั้งคณะ
กรรมการชุดดังกล่าว
การ
ทำงานของคอป.
รวมทั้งรายงานฉบับสมบูรณ์ของคอป.เป็นความสูญเสียเพิ่มเติมของประชาชนที่ได้
รับความสูญเสียมากมายมาก่อนแล้วจากเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
๒๕๕๓
******************************************************************************************************
เชิงอรรถ
[i] ได้แก่
หนังสือคำสั่งทางราชการ
บันทึกการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทางราชการ
บันทึกความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ รายงานรายงานข่าวหนังสือพิมพ์
รายงานข่าวทางสื่ออิเลกโทรนิกส์ของสำนักสื่อมวลชน บันทึกภาพเหตุการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ
ทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
[ii] การสัมภาษณ์ที่คอป.ใช้ในการรวบรวมข้อมูลของตนเพิ่มเติมมีทั้งการสัมภาษณ์กลุ่ม
(focus group) และการสัมภาษณ์รายบุคคล
[iii] การ
บิดเบือนข้อความคำสั่งศาลแพ่งฉบับนี้เป็นแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลนาย
อภิสิทธิ์ใช้ประโยชน์อ้างอิงและกล่าวหานปช.ก่อนที่รัฐบาลจะเริ่มออกคำสั่ง
ปฏิบัติการให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศฮฉ.)
นำกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามกระสุนสังหารจริงออกสลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่
๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
[iv] การ
ที่ทหารยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมที่อยู่หนาแน่น
ทั้งในกรณีที่เป็นการยิงใส่ผู้ชุมนุมก่อนและหลังการถูกโจมตีด้วยระเบิด
การยิงใส่ผู้ชุมนุมที่หนาแน่นเช่นนั้นเป็นการผิดกฎหมายและผิดกฎการใช้กำลัง
ของทางราชการ
เพราะเป็นการยิงใส่ฝูงชนที่มีผู้บริสุทธิ์ปะปนอยู่เป็นจำนวนมากอันสามารถก่อ
ผลให้เป็นการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ได้
การกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น
[v] ภาย
ในคณะกรรมการ คอป.
และที่ปรึกษา มีทั้งอดีตอัยการสูงสุด
นักกฎหมาย เอ็นจีโอ ตุลาการ
และนักวิชาการที่มี
และ/หรือเคยมีตำแหน่งระดับสูงในวงราชการและมหาวิทยาลัย
แต่กลับจงใจเขียนรายงานส่วนนี้ที่มีความหมายในทางตำหนิว่าเป็นความผิดหรือ
ความรับผิดชอบของผู้ชุมนุมในการห้ามปรามหรือขัดขวางการปฏิบัติการด้วยอาวุธ
ของคนชุดดำ ข้อความส่วนนี้ของ คอป. บ่งชี้ถึง “ความลำเอียง” (bias)
ที่เป็นปัญหาร้ายแรงทั้งในทางวิชาการและทางการเมือง
เนื่องจากเป็นความลำเอียงที่เกี่ยวข้องกับการทำเอกสารที่จะเป็นบันทึกทาง
ประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในระยะยาวและยังเป็นบันทึกที่จะถูกนำไปใช้ประโยชน์
ทางคดีในศาลและทางการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองต่อไป
ผู้เขียนเห็นว่าหากคณะกรรมการ คอป.
ไปปรากฎตัวอยู่ในที่เกิดเหตุในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่มีกลุ่มคนชุดดำ
ถืออาวุธสงครามปฏิบัติการอยู่เช่นนั้น คณะกรรมการ คอป.
ก็ไม่มีความกล้าหาญประการใดในการเสียสละเสี่ยงชีวิตตนเองเข้าห้ามปรามคนชุด
ดำ ในขณะเดียวกัน
ผู้เขียนเห็นว่าความรับผิดชอบในการขัดขวาง ห้ามปราม
และจับกุมคนชุดดำในขณะเกิดเหตุการณ์นั้นเป็นความรับผิดชอบของทหารและศอฉ.ที่
ร่วมกันปฏิบัติการสลายการชุมนุมดังกล่าวและไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้ชุมนุม
ที่ปราศจากอาวุธ
ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบทางคุณธรรมหนรือความรับผิดชอบทางกฎหมาย
การที่กองทหารที่โอบล้อมพื้นที่ชุมนุมอย่างหนาแน่นในขณะนั้นไม่เข้าขัดขวาง
และจับกุมกลุ่มชายชุดดำในเหตุการณ์ช่วงค่ำวันที่
๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
กลับทำให้เกิดข้อสันนิษฐานหรือสมมุติฐานที่รอการพิสูจน์ด้วยหลักฐานข้อมูล
ว่าปฏิบัติการของคนชุดดำเป็นปฏิบัติการของกองกำลังพิเศษภายใต้คำสั่งของฝ่าย
ที่ใช้อำนาจสลายการชุมนุมมากกว่าจะเป็นฝ่ายผู้นำการชุมนุม อย่างไรก็ตาม
คอป. ไม่แสดงเจตนาในการทดสอบสมมุติฐานนี้ในรายงานฉบับสมบูรณ์ของตน